ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 131 สองคนสุดท้ายที่ส่งข้อสอบ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

พู่กันจรดลงบนกระดาษสีขาวราวหิมะ ก็เหมือนกับคนที่กำลังเดินอยู่บนทะเลทราย บางเวลามีเสียงดังสวบสาบ บางเวลาไร้สุ้มเสียง

ในตำหนักประจักษ์อักษรราวกับว่าในชั่วพริบตาก็มีต้นหม่อนจำนวนมากที่เลี้ยงตัวไหมไว้มากมาย

เฉินฉางเซิงจับพู่กัน ตั้งใจอธิบายปัญหาในข้อสอบอย่างยิ่ง พู่กันของเขาที่อยู่ที่บนข้อสอบมิได้ตวัดประหนึ่งมังกรอสรพิษ แต่ว่าตั้งใจเขียนทีละขีด ตั้งใจจนขนาดที่ว่าเป็นการระมัดระวัง

เพราะว่าระมัดระวัง มองแล้วจึงดูตึงเครียดไปบ้าง ในความเป็นจริงแล้วจิตใจของเขาผ่อนคลายยิ่งนัก ตั้งแต่เยาว์วัยท่องตำรามาแล้วนับไม่ถ้วน ความรู้ประดุจใบไม้ที่อยู่ท่ามกลางสายลม พัดผ่านในสมองของเขาไม่หยุดนิ่ง เมื่อมองหัวข้อ เขาก็ค่อยๆ เก็บใบไม้มาหนึ่งใบ หลังจากนั้นก็เขียนอธิบายออกไป ไหนเลยจำเป็นต้องใช้เวลาในการครุ่นคิดยาวนาน ที่จำเป็นต้องพิจารณานั้นเป็นหัวข้อที่เกี่ยวกับการวินิจฉัย ขณะนี้ก็ยังไม่มี เห็นข้อสอบหลายหน้า ยังไม่ได้ออกความรู้ที่นอกเหนือขอบเขตของคัมภีร์เต๋า นักบวชที่ออกข้อสอบ ขณะนี้ก็มิได้แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาที่เหนือกว่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น

โก่วหานสือที่อยู่ไม่ไกลออกไป วางพู่กันลงแล้วนวดข้อมือ หลังจากนั้นเขียนต่อไป ท่าทางสงบนิ่งผ่อนคลาย ประหนึ่งกำลังจดบันทึกในห้องตำราที่เขาหลีซานก็มิปาน

ตำหนักประจักษ์อักษรทั่วทั้งผืนเงียบเชียบ ได้ยินเพียงแค่เสียงการพลิกกระดาษกับเขียนข้อสอบ บางครั้งบางคราได้ยินเสียงไอ นั่นหมายความว่ากำลังตื่นเต้น

เวลานี้เอง มีเรื่องที่ผู้ใดต่างก็มิได้คิดได้เกิดขึ้นแล้ว มีคนส่งข้อสอบก่อน

แน่นอนว่ามิใช่โก่วหานสือ และก็มิใช่เฉินฉางเซิง พู่กันของพวกเขาเพิ่งจรดลงกระดาษเพิ่งจะเริ่มเขียน เป็นการทดสอบความรู้ที่ทุกคนต่างให้ความสำคัญ อย่างน้อยก็ควรจะทำปัญหาทั้งหมดให้แล้วเสร็จ

คนที่ส่งข้อสอบก่อนก็มิใช่เซวียนหยวนผ้อ การสอบความรู้มิได้คัดคนออก ถ้าหากไม่ถนัดจริงๆ ก็ละทิ้งส่วนนั้นเสีย ถังซานสือลิ่วกล่าวกับเขาเช่นนี้ นี่ก็เป็นคำพูดที่นักบวชของสำนักต่างๆ จำนวนมากได้กล่าวกับลูกศิษย์ของตน นี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์ ถ้าหากหลังจากการประลองยุทธ์กับการต่อสู้แสดงได้ดีเลิศ เกรงว่ามิต้องกังวลว่าจะไม่มีคะแนนของการสอบความรู้ ก็มีความหวังที่จะเข้าสามอันดับแรกเช่นกัน

ทุกปีการส่งข้อสอบก่อนของการสอบใหญ่เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนัก แต่ว่าปีนี้มีคนส่งก่อน ยังคงทำให้ผู้คนตกตะลึง เพราะว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไป

คนที่ส่งข้อสอบก่อน ก็คือหนุ่มน้อยที่เฉินฉางเซิงจับตาดู หนุ่มน้อยผู้นั้นแม้แต่ข้อสอบก็ไม่ได้พลิกดู ก็เตรียมที่กล่าวบางสิ่ง เมื่อข้อสอบเพิ่งจะแจกมายังโต๊ะของเขา เขาก็ยืดตัวลุกขึ้น หยิบข้อสอบเดินไปยังตำแหน่งของผู้ควบคุมทันที

นี่แตกต่างกับการสละสอบตรงไหน นี่ก็คือการสละสอบ

ในการสอบใหญ่ปีที่แล้วๆ มา ถึงแม้มีคนดังเช่นเซวียนหยวนผ้อจำนวนมาก ปฏิบัติตามคำสอนและประสบการณ์ของนักบวชและผู้อาวุโส ละทิ้งข้อสอบโดยตรงเสีย แต่มักจะให้เกียรติต่อราชสำนักกับนิกายหลวง อย่างน้อยก็อยู่ในสนามสอบหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงส่งข้อสอบ

หนุ่มน้อยผู้นั้นกลับมิได้ลังเลแม้แต่น้อย เมื่อการสอบเริ่มขึ้นก็สละสอบโดยตรง ดูเหมือนจะไม่เข้าใจวิถีทางของคนทางโลก พวกนักเรียนที่เข้าสอบมองภาพด้านหลังของเขา ตกตะลึงงันยิ่งนัก และก็มีคนที่มีท่าทางดีอกดีใจออกมา คิดว่าผู้คุมสอบถึงแม้จะมิได้โมโห แต่ก็คงจะมิได้มีความทรงจำที่ดีใดๆ กับนักเรียนเข้าสอบเช่นนี้

หนุ่มน้อยผู้นั้นเดินไปยังด้านหน้าโต๊ะของผู้คุมสอบ วางข้อสอบไว้บนโต๊ะ

ข้อสอบที่หนาพับกันเป็นชั้นๆ เป็นธรรมดาที่จะว่างเปล่า

ผู้คุมสอบหลายคนที่ราชสำนักกับนิกายหลวงส่งมากำลังจ้องเขม็งหนุ่มน้อยผู้นี้ เงียบนิ่งไม่เอ่ยสิ่งใด บรรยากาศแปลกประหลาดพิกล

นักบวชคนหนึ่งได้ทำลายความเงียบ น้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้ามั่นใจว่าจะส่งข้อสอบหรือ”

หนุ่มน้อยผู้นั้นรูปร่างหน้าตางดงาม สิ่งที่มีลักษณะพิเศษก็คือขนคิ้วที่ละเอียดเป็นแพ เรียบเนียนอย่างยิ่ง มองแล้วเหมือนกับเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่ง มิได้น่าเกลียด เพียงแค่คล้ายกับว่าเมินเฉย

ได้ยินประโยคที่นักบวชท่านนั้นถาม ใบหน้าของหนุ่มน้อยยังคงไร้ความรู้สึก เอ่ยถาม “ไม่ได้หรือ”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้ คิ้วละเอียดของเขาขมวดเล็กน้อย ราวกับว่ารู้สึกยุ่งยาก คล้ายกับไม่ชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้อื่น

เสียงของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง น้ำเสียงราบเรียบราวกับป่าเขา เมื่อเปล่งออกมาเนิบนาบ เหมือนกับว่าเปล่งทีละคำๆ ออกมา ประหนึ่งเป็นเวลาเนิ่นนานที่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

นักบวชท่านนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ยินดีพลางเอ่ยออกมา “ตามกฎระเบียบของการสอบใหญ่ การส่งข้อสอบก่อนทำได้ เพียงแค่…”

มิได้รั้งรอให้นักบวชเอ่ยจนจบ หนุ่มน้อยผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าส่งข้อสอบ”

ความเร็วยังคงเนิบนาบ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ อารมณ์ยังคงเยือกเย็นยิ่ง ความหมายที่แสดงออกมาชัดเจนยิ่งนัก ความต้องการแน่วแน่ นั่นก็คือ ไม่มีสิ่งใดไม่อาจเป็นได้

นักบวชท่านนั้นมองข้อสอบที่ว่างเปล่า มิได้เอ่ยสิ่งใดอีก ผู้คุมสอบอีกคนกลับตำหนิคำผรุสวาทออกมา “ตอนนี้เจ้าไม่อาจเข้าไปอยู่อันดับสองได้ ขอให้รู้สึกอับอาย และควรรู้สึกละอายใจ คาดไม่ถึงว่าจะแสดงอาการอิ่มอกอิ่มใจเช่นนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์เจ้าสั่งสอนมาเช่นไร!”

หนุ่มน้อยผู้นั้นใบหน้ายังคงไร้ความรู้สึก มิได้เอ่ยตอบประโยคนี้

เขาไม่มีอาจารย์ เขามาเข้าร่วมการสอบใหญ่เพียงแค่อยากเข้าร่วมการต่อสู้ เขาจะต่อสู้ให้ทุกคนพ่ายแพ้ราบคาบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวจากเมืองไป๋ตี้ เพื่อจะบอกกับตนเองอีกครั้งว่าตนแข็งแกร่งที่สุด ส่วนการคัดเลือกการจัดอันดับของราชสำนักกับนิกายหลวง เดิมทีเขามิได้สนใจ

เพียงชั่วครู่ ก็มีคนพาเขาออกไปจากตำหนักประจักษ์อักษร มายังสนามของการประลองยุทธ์

นักเรียนที่เข้าสอบหลายร้อยคนจ้องมองหนุ่มน้อยที่ค่อยๆ เดินจากไปไกล ดวงตาเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน

โก่วหานสือคาดเดาได้รางๆ ว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นคือใคร ท่าทางจึงเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งเล็กน้อย

จวงห้วนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ท่าทางยังคงสงบนิ่ง ส่วนลึกของนัยน์ตากลับไม่สงบ

หลังจากครึ่งชั่วยาม มีนักเรียนทยอยส่งข้อสอบต่อเนื่องกัน

ผู้เข้าสอบเหล่านั้นถูกขุนนางในวังพาออกจากตำหนักประจักษ์อักษร เดินไปตามทางเดินเป็นเวลานาน ก็มาถึงยังสนามประลองยุทธ์

สวนแสงสุริยะ

สวนแสงสุริยะเป็นสวนป่าที่อยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวังหลี เมื่อเวลาแสงอาทิตย์ส่องทาบทับยามฤดูใบไม้ผลิ ผืนหญ้าสีเขียวขจีประหนึ่งฟูกประหนึ่งมหาสมุทร ต้นไม้นับไม่ถ้วนที่มีความรู้สึกของป่าเขา ยามรุ่งอรุณได้ยินเสียงนกร้อง ชื่นชมสายน้ำที่บรรเลงเพลง ทิวทัศน์งดงามอย่างยิ่ง เวลานี้ความเหน็บหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป เป็นฤดูของใบไม้ผลิ ผืนหญ้ามีเสียงเหลืองเล็กน้อย แต่ทิวทัศน์ยังคงทำให้ผู้คนหลงใหลอย่างยิ่ง

วัตถุประสงค์ของการสอบใหญ่แท้จริงแล้วคืออะไร

คัดเลือกผู้มีพรสวรรค์แทนนิกายหลวงกับราชสำนัก เพื่อจัดตั้งประตูตรัสรู้ของสุสานเทียนซูหรือ ถูกต้องแล้ว ล้วนแต่เป็นทั้งหมด ทว่าเป้าหมายสุดท้ายของการสอบใหญ่ ต้องการการคัดเลือกและบ่มเพาะยิ่งนานยิ่งมากขึ้น เพื่อที่จะมีคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์จริงๆ เพื่อสะสมพลังการต่อสู้ระหว่างเผ่ามารไว้ในภายหลัง

เดิมพลังร่างกายการต่อสู้ของเผ่ามารก็แข็งแกร่งกว่า เผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจจึงทำได้เพียงอาศัยจำนวนที่ได้เปรียบจึงสามารถต้านทานได้อย่างยากลำบาก เริ่มจากเมื่อพันปีก่อน พวกมนุษย์ถึงตระหนักได้ว่า มีเพียงการอบรมสั่งสอนผู้แข็งแกร่งที่เหนือผู้ใดอย่างแท้จริง ถึงจะสามารถต่อสู้การรบนี้ได้ ซึ่งจะได้รับข้อได้เปรียบในการถือไพ่ที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง

บนถนนของการฝึกบำเพ็ญเพียรที่ยาวไกลไร้ขอบเขต ขั้นทะลวงอเวจีเป็นประตูที่สำคัญที่สุด เพียงแค่ข้ามผ่านประตูนี้ไปได้ก็กลายเป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์บนโลกให้ความสนใจ แต่ว่าอายุก็เป็นส่วนที่สำคัญ คนหนึ่งที่อยู่ขั้นถอดจิตอายุสามสิบปี สำหรับความสำคัญของมนุษย์บนโลก ก็ห่างไกลกับคนที่อายุสิบสามปีเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ขั้นถอดจิตปฐมภูมิ นี่เป็นเหตุผลที่ทุกคนต่างทราบดี มิเช่นนั้นหากเจ้าอายุแปดร้อยปี สุดท้ายแล้วเข้าอยู่ขั้นรวบรวมดวงดาว กลับหมดเรี่ยวแรงไม่อาจเข้าสู่ระดับวิทยายุทธ์ที่สูงสุดได้ สำหรับการต่อสู้กับเผ่ามารแล้วจะมีความหมายเช่นไรเล่า

ด้วยเหตุนี้ ก็เหมือนกับการประกาศการจัดอันดับของหอความลับสวรรค์ การสอบใหญ่สิ่งที่สำคัญที่สุดของผู้เข้าสอบก็คือศักยภาพและพรสวรรค์ มองแล้วในภายภาคหน้า แท้จริงแล้วศักยภาพและพรสวรรค์ก็คงเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแค่สาเหตุของคนรุ่นหลังมีอัตวิสัยมากกว่าคนรุ่นก่อน เมื่อผนึกเข้าด้วยกัน การแสดงออกมาก็คือพลัง

การประลองยุทธ์ แท้จริงแล้วเป็นขั้นตอนที่ตรงไปตรงมาที่สุดของการสอบใหญ่

ผู้มีพรสวรรค์ดังเช่นสวีโหย่วหรงกับลั่วลั่ว พวกนางมีสายเลือดพรสวรรค์มาตั้งแต่กำเนิด ไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบ แต่ว่าก็ถูกตรวจสอบได้ อันดับแรกก็คือระดับความแข็งแกร่งของจิตใจ นี่เป็นการตัดสินความใกล้ไกลในการจุดดาวโชคชะตาของผู้เข้าสอบ ตัดสินจากอัตราเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียร ลำดับต่อมาคือจำนวนพลังปราณแท้ นี่เกี่ยวข้องกับระดับความมานะบากบั่นของผู้เข้าสอบรวมถึงการรับรู้ของฟ้าดิน

ผู้เข้าสอบภายใต้การนำของขุนนาง เดินไปยังสวนแสงสุริยะ มายังส่วนลึกทางด้านทิศตะวันออก พวกเขาไม่เห็นหนุ่มน้อยที่ส่งข้อสอบเป็นคนแรก เห็นเพียงแค่พุ่มไม้ด้านหน้าที่ถูกตัดให้เรียบมีความสูงเท่าสองคนยืนต่อกัน มีผู้เข้าสอบที่เป็นคนจิงตูบางคนรู้ความเป็นมาของป่าไม้สีเขียวแห่งนี้ ถึงเข้าใจว่าเนื้อหาการสอบประลองยุทธ์ในวันนี้แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร อดไม่ได้ที่จะร้องด้วยความเสียใจในใจ

ไม่เอ่ยถึงผู้เข้าร่วมสอบที่ไม่ได้เตรียมตัวเข้าร่วมสอบประลองยุทธ์ เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ การสอบความรู้ด้านในตำหนักประจักษ์อักษรยังคงดำเนินต่อไป มีนักเรียนบางคนกัดปลายพู่กัน สีหน้าขาวซีด คล้ายกับว่าจะเป็นเป็นลมล้มพับไปเมื่อใดก็ได้ มีนักเรียนบางคนอยู่ในอากาศต้นฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยเหงื่อ บนร่างกายมีความร้อนออกมาเบาบาง บรรยากาศรู้สึกอึดอัดเป็นพิเศษ

ข้อสอบความรู้ปีนี้ยากยิ่งนัก เกี่ยวข้องกับความรู้ที่กว้างขวางและลึกซึ้ง ยากมากกว่าปีที่ผ่านๆ มาหลายเท่าตัว ไม่ว่าจะใช้จิตใจและความคิดทั้งหมดอย่างไร สุดท้ายแล้วพลังมนุษย์ก็มีวันสิ้นสุด มีผู้เข้าสอบที่ต่อสู้พ่ายแพ้ให้กับผู้ออกข้อสอบอย่างต่อเนื่อง ส่งข้อสอบก่อน หลังจากนั้น ด้านหลังตำหนักประจักษ์อักษรมีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมาบ่อยครั้ง

สายตาของผู้ควบคุมการสอบกับพวกนักบวช ยิ่งนานยิ่งมองไปยังโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง คนทั้งสองราวกับว่ามิได้รู้สึกใดๆ ยังคงทำข้อสอบต่อไป พู่กันในมือมิได้หยุด

ตามเวลาที่ผ่านไป ในตำหนักประจักษ์อักษรมีนักเรียนหลงเหลือเพียงสิบกว่าคน โต๊ะส่วนมากถูกยกออกไปแล้ว ในสนามยิ่งเพิ่มความกว้างขวางโอ่อ่าและเยือกเย็น ถึงแม้จะเป็นคนที่เหลือ ก็ได้ละทิ้งการอธิบายคำถามในข้อสอบไม่กี่หน้าข้างหลัง เริ่มตรวจสอบข้อสอบด้านหน้าอย่างตั้งใจ คาดหวังว่าจะไม่ปรากฏสิ่งที่ผิดพลาด โก่วหานสือกับเฉินฉาเซิงยังคงตอบคำถามต่อไป

พระอาทิตย์ต้นฤดูใบไม้ผลิได้ขึ้นเป็นเส้นตรงขับเคลื่อนมาจนถึงเวลาเที่ยงวัน คนที่ยังคงสอบความรู้ยิ่งนานยิ่งมีน้อยลง ถึงแม้จะเป็นเทียนไห่เซิ่งเสวี่ยกับหนุ่มน้อยหนอนหนังสือของสำนักต้นไหวก็ได้ตอบคำถามเสร็จสิ้นแล้ว โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงยังคงตอบคำถามเงียบๆ ต่อไป เวลานี้พวกเขาได้ตอบคำถามมาจนถึงหน้าสุดท้ายแล้ว

ผู้ควบคุมกับบรรดานักบวชในตำหนักก็ไม่อาจนั่งดูด้วยความสงบต่อไปได้ จึงลุกจากที่นั่งพร้อมเพรียงกัน ยกน้ำชามายังสนามสอบ เพราะว่ากังวลจะกระทบกับคนทั้งสอง ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เข้าใกล้เกินไป เว้นความห่างไว้ระยะหนึ่ง จ้องมองภาพการสอบใหญ่ที่ยากจะปรากฏออกมายิ่งนัก ไม่มีคนเปล่งเสียงใดๆ ออกมา ท่าทางบนใบหน้ายิ่งนานยิ่งแสดงถึงความยอดเยี่ยม

การสอบใหญ่หลายปีมานี้ เดิมทีก็ไร้ผู้คนที่สามารถจะตอบคำถามทั้งหมดได้ เพราะว่าคนที่ออกข้อสอบ ล้วนแต่เป็นนักบวชผู้อาวุโสที่ศึกษาทางด้านคัมภีร์เต๋าอย่างแตกฉานในพระราชวังหลี นักบวชเหล่านั้นหรืออาจจะกล่าวได้ว่าระดับวิทยายุทธ์ธรรมดา และก็มิได้มีอำนาจใดๆ แต่ว่าทั้งชีวิตฝังไว้ในกองกระดาษ มีความรู้ลึกซึ้งถึงขีดสุด พวกเขาเคยชินที่จะเอาข้อที่ยากที่สุดไว้หน้าหลังไม่กี่แผ่น เพื่อจะพิสูจน์คุณค่าของตนเอง ข้อสอบเหล่านั้น ถ้าหากให้เหล่านักบวชผู้อาวุโสเหล่านี้ตอบเพียงลำพังก็เป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงนักเรียนที่มาเข้าร่วมการสอบความรู้เหล่านั้น

โก่วหานสือเป็นผู้ที่ถูกเรียกว่าศึกษาท่องคัมภีร์เต๋าแตกฉาน ตอนนี้เฉินฉาเซิงก็ได้รับการสรรเสริญเช่นเดียวกัน หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ บรรดานักบวชในพระราชวังหลีเหล่านั้นถูกยั่วโทสะ หัวข้อปัญหาในการสอบใหญ่ปีนี้จึงยากกว่าปีที่ผ่านๆ มายิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสอบไม่กี่หน้าด้านหลัง เชี่ยวชาญลึกซึ้งเจาะจงถึงขีดสุด เพียงเพราะปรารถนาให้โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงตอบไม่ได้

ผู้คุมการสอบกับพวกนักบวชเหล่านั้นชัดเจนในความจริงของการสอบความรู้ปีนี้ยิ่งนัก เวลานี้จ้องมองโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงคาดไม่ถึงว่าจะตอบจนถึงหน้าสุดท้าย คล้ายกับว่าสามารถตอบข้อสอบทั้งหมดได้ เป็นธรรมดาที่จะตกตะลึงจนไม่อาจหาสิ่งใดเปรียบ

เทียนไห่เซิ่งเสวี่ยส่งข้อสอบแล้ว เขายืนอยู่ด้านนอกตำหนัก หันกลับไปมองโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงที่ยังคงตอบคำถามอยู่ คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เป็นผู้สืบทอดที่มีอนาคตก้าวไกลที่สุดของตระกูลเทียนไห่ เดิมทีเขาไม่เคยปล่อยวางความต้องการของตนมาก่อน ทว่าข้อสอบไม่กี่หน้าสุดท้ายนั่นแท้จริงแล้วยากเหลือเกิน เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงยังสามารถตอบคำถามได้อีก หรือว่าทั้งคู่จะมีความรู้ที่ห่างไกลมากเช่นนี้จริงๆ

นักเรียนที่ฝักใฝ่ในตำราของสำนักต้นไหวก็ได้ส่งข้อสอบทั้งหมดแล้ว หากกล่าวตามเหตุผลก็เพียงพอให้ภาคภูมิใจ ทว่ามองคนทั้งสองที่ยังคงตวัดพู่กันอย่างต่อเนื่อง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะก่อเกิดความรู้สึกชนิดนี้ สำหรับโก่วหานสือที่ยังคงทำข้อสอบมาถึงขณะนี้ พวกเขามิได้เหนือความคาดหมาย แต่พวกเขาคิดว่าหนุ่มน้อยที่นามว่าเฉินฉางเซิงคงจะทำไม่ถึงหน้าสุดท้ายเป็นแน่ คงแสแสร้งแกล้งทำ ไม่ยินยอมออกไป ท่าทางบนใบหน้าจึงเผยความเยาะหยันออกมา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด

ความเงียบสนิทในตำหนักประจักษ์อักษรมีเสียงแขนเสื้อกับเสียงเก้าอี้เสียดสีกัน เสียงพูดคุยกับเสียงร้อนรนก็ยากที่จะสกัดกั้นได้ ดังมาจากตำแหน่งทางด้านทิศตะวันออก

โก่วหานสือตอบคำถามเสร็จสิ้นแล้ว ยืดตัวลุกขึ้น

เกือบจะเป็นเวลาเดียวกัน ทางทิศตะวันตกก็มีเสียงเลื่อนเก้าอี้ขึ้น เสียงจัดข้อสอบให้เป็นระเบียบ

ผู้คนมองไปทางทิศนั้น เห็นเพียงแค่เฉินฉางเซิงกอดข้อสอบไว้ในอ้อมอก เตรียมที่จะส่ง

ความเงียบเชียบได้บังเกิดขึ้นอีกครา

ระยะห่างระหว่างโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงสิบกว่าจั้ง จ้องมองกันเงียบๆ หลังจากนั้นโค้งตัวทำความเคารพเล็กน้อย

จากเสียงระฆังดังขึ้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขาต่างมองเห็นกัน แน่นอนว่า พวกเขาต่างก็รู้ว่าต่างฝ่ายยังคงอยู่

การสอบความรู้ก็ได้สิ้นสุดลงเช่นนี้ ความเงียบด้านนอกของตำหนักประจักษ์อักษรแผ่กระจายออกไป ประหนึ่งเสียงคลื่นที่พัดเข้ามา

กลุ่มฝูงชนที่มาชมการสอบใหญ่ถูกกั้นไว้ด้านนอกไกลออกไป ถึงแม้เวลานี้ เสียงยังคงดังมาถึงสนาม สามารถจินตนาการได้ว่าเวลานี้ที่นั่นคงจะคึกคักขนาดไหน

มองกลุ่มฝูงชนที่ครึกครื้น เวลานี้ก็รู้สถานการณ์โดยรวมของการสอบความรู้แล้ว ทราบดีว่าคนที่ส่งข้อสอบสุดท้ายก็คือโก่วหานสือกับเฉินฉางเซิง คาดไม่ถึงว่าจะตอบคำถามทั้งหมดได้ อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นดีใจ จึงตะโกนขึ้นพร้อมเพรียงกัน หนุ่มน้อยทั้งสองที่ท่องคัมภีร์เต๋าจนแตกฉาน ส่งข้อสอบเป็นคนสุดท้าย ภาพนั้นทำให้ผู้คนมีจิตใจเลื่อมใส

โก่วหานสือเป็นผู้มีชื่อเสียงทางด้านการสอบความรู้ก้องโลก ได้รับความเคารพยกย่องจากผู้คนทั้งโลก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหนุ่มน้อยที่มาจากทิศใต้ เฉินฉางเซิงถึงแม้เพราะว่าการหมั้นหมายกับสวีโหย่วหรงรวมถึงเรื่องราวในสายฝนฤดูใบไม้ร่วงครานั้น ทำให้บุรุษหนุ่มน้อยทั้งหมดในจิงตูไม่พอใจ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนต้าโจว เวลานี้ก็กลายเป็นตัวแทนของคนจิงตู เป็นความภาคภูมิใจของคนต้าโจว กลุ่มฝูงชนจำนวนมากจึงโห่ร้องไชโยให้เขา

โก่วหานสือกับเฉินฉางเซิงได้ยินไม่ชัดเจนว่าฝูงชนที่อยู่ไกลออกไปกำลังร้องตะโกนอะไร รับเอาผ้าเช็ดมือมาจากพวกคนงานส่งมาให้ นำมาทำให้เปียกชุ่มในอ่างน้ำ นำมาล้างหน้าล้างมือ จัดระเบียบให้เรียบร้อย มีคนนำพวกเขาเดินออกมาจากตำหนักประจักษ์อักษร ชัดเจนยิ่งนัก นี่เป็นการต้อนรับเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคน

เดินมาถึงทางเดินใต้ต้นไม้สีเขียว โก่วหานสือเอ่ยถามเขา “อาณาจักรโจวเก่าแก่ แม้นจักใช้ชีวิตพัฒนา ปัญหาข้อนี้เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร”