ตอนที่ 181 เกรงว่าสมองจะมีปัญหา / ตอนที่ 182 มาถกถึงบ้าน

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 181 เกรงว่าสมองจะมีปัญหา

เมื่อจงรั่วปิงถามเซี่ยโหวเฉินก็ตกอยู่ห้วงความคิดชั่วครู่

จะทำให้จงรั่วปิงเสียใจหรือไม่ ความจริงตัวเขาก็ไม่มั่นใจ…แต่ว่า ต่อให้เขาทำอะไรก็ต้องปิดบังนาง ไม่มีทางให้นางรู้แม้แต่น้อย

คิดถึงตรงนี้เขาก็มองจงรั่วปิง พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่มีวันทำให้เจ้าเสียใจ”

จงรั่วปิงพยักหน้า อารมณ์หดหู่ในชั่วขณะนั้นพลันสลายไป นางมองเซี่ยโหวเฉินเอ่ยปากว่า “คำไหนคำนั้น หากต่างฝ่ายต่างทรยศ ข้ากับท่านต่างฝ่ายต่างแยกย้าย ไม่มีวันหวนกลับอีก”

เซี่ยโหวเฉินชะงักไปไม่กี่วินาที ในที่สุดก็พยักหน้า “ดี”

แต่ไม่รู้เพราะอะไร หลังจากพูดว่า “ดี” ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างไม่ใช่น้อย ไม่ช้าเขาก็สะกดความรู้สึกนี้ลงได้

จงรั่วปิงคลี่ยิ้มออกมา “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน”

ครั้นเห็นรอยยิ้มของจงรั่วปิง เสี้ยวขณะนั้นเซี่ยโหวเฉินรู้สึกสติพร่าเลือน หลังจากนี้อีกหลายปีเขาหวนคิดถึงเหตุการณ์ในวันนี้หลายครั้ง หากเขายอมวางเรื่องอื่นๆ ลงได้ ตั้งอกตั้งใจปกป้องรอยยิ้มของนาง…เช่นนั้นก็คงดีแล้ว

เพียงแค่เวลานี้ เขายังไม่เคยคิดถึงภายหน้ามาก่อน

หลังจากมองส่งจงรั่วปิงกลับเข้าจวนแล้ว ผู้ใต้บัญชาคนหนึ่งของเซี่ยโหวเฉินวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วก็เอ่ยปากทันทีว่า “ท่านอ๋องน้อย ในวังส่งข่าวมาว่า ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าวัง”

เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า มุ่งหน้าสู่วังหลวง

ดูท่าเพราะองค์ชายรองสิ้นพระชนม์ถึงได้ปลุกความระแวงของฮ่องเต้ขึ้นมาแล้ว เซี่ยโหวเฉินรู้สึกว่า ในฐานะที่ปรึกษาข้างกายฮ่องเต้ เขาเตือนฝ่าบาทหลายครั้งแล้วว่าเยี่ยเม่ยมีปัญหาล้วนไร้ประโยชน์ ท้ายที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มคิดได้เองแล้ว

อารมณ์ความรู้สึกของเซี่ยโหวเฉินในขณะนี้ เขาคิดว่าสามารถใช้คำว่า….ปลื้มใจมาอธิบายได้เท่านั้น

วังหลวง

ฮ่องเต้ทรงถ่ายทอดความระแวงสงสัยในพระทัยให้กับเซี่ยโหวเฉินฟัง ท่านอ๋องน้อยนิ่งเงียบครู่หนึ่งไม่พูดอะไร

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าเขาไม่ส่งเสียงสักคำ พลันร้อนรนขึ้นมาบ้างแล้ว

ทรงตรัสว่า “เหตุใด เพราะข้าไม่เห็นด้วยเรื่องงานแต่งงานของเจ้ากับจงรั่วปิง ดังนั้นเจ้าจึงคิดจะเล่นแง่กับข้า ไม่ยอมพูดแม้แต่ประโยคเดียวใช่หรือไม่ หรือว่าองค์หญิงที่ข้าโปรดปรานที่สุดในสายตาเจ้าแล้วไม่อาจเทียบจงรั่วปิงได้”

“กระหม่อมมิกล้า” หากเรื่องงานแต่งงานยังไม่มีทางแก้ไข บางทีเซี่ยโหวเฉินอาจจะโมโหมาก แต่เมื่อคิดได้แล้วว่าจะคลี่คลายอย่างไร เขาไม่มีทางไม่พอใจฮ่องเต้เพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน

เขาเอ่ยว่า “เพียงแต่ครั้งก่อนที่กระหม่อมทูลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท ทรงบอกให้กระหม่อมมิต้องคิดมาก ซ้ำยังเป็นห่วงเกรงว่ากระหม่อมจะเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นกระหม่อมมิกล้าเอ่ย”

สีหน้าเป่ยเฉินเซี่ยวบัดเดี๋ยวเขียวคล้ำบัดเดี๋ยวก็ขาวซีด โทสะคุกรุ่นขึ้นในใจ

ทว่าโทสะนี้มิได้ปะทุออกมา อย่างไรเสียนี่ก็คือความจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนพระองค์เพิ่งบอกให้เซี่ยโหวเฉินอย่าคิดมาก อย่าคิดจนเหน็ดเหนื่อย ไม่ช้าพระองค์ก็เริ่มคิดเองเสียแล้ว ซ้ำยังเรียกเซี่ยโหวเฉินมาด้วย บีบให้เขาช่วยพระองค์คิดอีกครั้ง เมื่อทบทวนดูสักนิด ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าสมองของพระองค์มีปัญหาหรือไม่เช่นกัน

ทว่าฮ่องเต้ยังหาทางลงให้ตัวเอง เอ่ยว่า “ต่างเวลาต่างวาระกันแล้ว เมื่อคืนข้าเสียบุตรที่รักไป เรียนรู้ได้จากความเจ็บปวด ไม่อาจไม่คิดอีก”

เซี่ยโหวเฉินจงใจทำเช่นนี้ อันที่จริงไม่ใช่โมโหใส่ฮ่องเต้ เขาทำเพื่อให้ฮ่องเต้รับรู้ว่า ทุกความคิดของพระองค์หาใช่ถูกต้อง ต้องทำให้พระองค์รู้สึกถึงความกระอักกระอ่วน ครั้งหน้ายามเขาเสนอความเห็น ฮ่องเต้ถึงยอมรับฟัง ไม่ดื้อรั้นอีก

ดังนั้นเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้ เขาก็ไม่สร้างความลำบากให้พระองค์อีก รีบเสนอว่า “กระหม่อมคิดว่า ฝ่าบาทควรเริ่มริบอำนาจทางทหารในมือเยี่ยเม่ยกลับมาแล้ว”

ตอนที่ 182 มาถกถึงบ้าน

เมื่อเซี่ยโหวเฉินเสนอออกมา ฮ่องเต้ทรงขมวดพระขนง

ทอดพระเนตรเซี่ยโหวเฉิน ตรัสถามว่า “จากสายตาเจ้าในยามนี้ สถานการณ์รุนแรงถึงเพียงนี้แล้วหรือ”

ดำเนินมาถึงขั้นริบทหารกลับมาแล้วหรือ

เซี่ยโหวเฉินครุ่นคิด เอ่ยว่า “บางทีเรื่องราวอาจรุนแรงกว่าที่กระหม่อมคาดไว้มากแล้ว”

คราวนี้สายพระเนตรฮ่องเต้ลุ่มลึกขึ้นมาเช่นกันในยามนี้

เขาชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องที่ซือถูจ้าวออกจากราชสำนัก เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

เซี่ยโหวเฉินใช้ความคิด จากนั้นกล่าวว่า “ในเมื่อออกไปแล้ว ฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องตามกลับมาแล้ว อย่างไรเสียช่วงนี้อดีตท่านเสนาก็กินเบี้ยหวัดเปล่าๆ สู้เมื่อก่อนมิได้แล้ว”

เซี่ยโหวเฉินเป็นคนเจ้าแผนการ ย่อมเข้าใจจิตใจคนเช่นกัน เขามองออกว่าฮ่องเต้ไม่พอใจที่ซือถูจ้าวทำงานไม่สมค่าเบี้ยหวัดมานานแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยไปตามเรื่องนี้

ฮ่องเต้ทรงได้ฟังก็พอพระทัยในคำพูดของเซี่ยโหวเฉิน

อันที่จริงเขาก็รู้ว่าหลังจากซือถูจ้าวจากไป มีคนในราชสำนักจำนวนไม่น้อยลอบวิจารณ์ว่าพระองค์ไร้น้ำใจ จะมากจะน้อยอย่างไรพระองค์ก็ทรงรู้สึกไม่สบายใจนัก ยามที่คนเราไม่สบายใจก็มักจะเริ่มสงสัยการกระทำของตัวเอง

สงสัยว่าที่พระองค์ให้ซือถูจ้าวจากไป สรุปแล้วถูกหรือไม่

ยามนี้เมื่อเซี่ยโหวเฉินมีความคิดเช่นเดียวกับพระองค์ ฮ่องเต้ก็ค่อยวางใจแล้ว พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว เรื่องของเยี่ยเม่ย หลังจากข้าหารือกับเสินเซ่อเทียนในวันพรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจ”

“เช่นนั้นขอให้ฝ่าบาทโปรดนำความเห็นของกระหม่อมกล่าวกับจวินซ่างด้วย” เซี่ยโหวเฉินย้ำ

ฮ่องเต้ฟังก็รู้สึกแปลกพระทัยในการยืนหยัดของเขา

ทรงเงียบสักพักหนึ่ง รับปากว่า “อืม ข้ารู้แล้ว ออกไปได้”

“กระหม่อมทูลลา”

เซี่ยโหวเฉินเดินออกจากตำหนักไป

……

วันรุ่งขึ้น

เช้าตรู่

เป่ยเจี้ยนเกอเดินทางมาถึงจวนองค์ชายสี่ หลังจากเข้ามาแล้วก็เอ่ยตามตรง “ข้าได้รับคำสั่งจากจวินซ่างให้เดินทางมาถามปัญหาหนึ่งกับองค์ชายสี่และพระชายา”

ถึงเวลาที่เยี่ยเม่ยและเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องเข้าเฝ้าพอดี คนทั้งสองสวมชุดขุนนาง เดินออกมาในห้องโถง

ครั้นเห็นเป่ยเจี้ยนเกอ เยี่ยเม่ยก็เอ่ยตามตรงว่า “เสินเซ่อเทียนใช้เจ้ามาถามอะไร”

นางเรียกว่าเสินเซ่อเทียน ไม่ใช่จวินซ่าง ไม่คำนึงถึงมารยาทอันใด

แต่เป่ยเจี้ยนเกอก็ไม่คิดใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยนี้ อย่างไรเสียระยะนี้จวินซ่างก็ไม่ได้เอาแต่บ่นถึงเยี่ยเม่ยแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสตรีที่ทำให้จวินซ่างเฝ้านับวันอกหักอย่างจริงใจ ดังนั้นคำเรียกเช่นนี้ จวินซ่างเองก็น่าจะไม่ใส่ใจเช่นกัน

เขาเอ่ยจุดประสงค์ในการมาตรงๆ “คนของพวกเราพบว่าจิ่วหุน เซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาเดินทางออกจากเมืองหลวง มุ่งไปยังสถานที่ตั้งเดิมของราชสำนักจงเจิ้ง ไม่รู้ว่าเรื่องนี้พระชายาทราบหรือไม่ และเป็นคำสั่งของท่านหรือไม่”

เยี่ยเม่ยฟังแล้ว หัวใจพลันเต้นระส่ำ

ทว่านางสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ตอบอย่างนิ่งสงบกลับไป “รู้ก็ส่วนรู้ ส่วนที่ว่าสั่งการกลับไม่ถูกต้องทั้งหมด เจ้าก็รู้ว่าจิ่วหุนเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่ง เขาทำการค้ามากมาย มีสมบัตินับไม่ถ้วน ถึงจะมอบให้ข้าส่วนหนึ่งแล้ว แต่เขาเองก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง เขาบอกว่าต่อไปจะตั้งรกรากอยู่ที่เมืองหลวง ไม่สู้ย้ายทรัพย์สินมาที่เมืองหลวงดีกว่า ดังนั้นเขาจึงออกเดินทางไป ไม่รู้ว่าเซียวเซ่อหยางและโอวหยางเทาไปชื่นชมความสนุก หรือว่าอยากไปช่วยเหลือขนย้ายกันแน่ เรื่องก็เป็นเช่นนี้”

คล้ายจะมีข้ออ้างประการนี้เพียงเท่านั้นแล้ว เยี่ยเม่ยเองก็ตื่นตระหนกที่เสินเซ่อเทียนถึงกับตรวจสอบความเคลื่อนไหวของจิ่วหุน