ตอนที่ 180 เจ้าเคยรักหรือเปล่า

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

จิวมั่วเหอชะงักงันไปเล็กน้อย ความจริงในใจเขาอยากถามว่า เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้ากัน เหตุใดเจ้าต้องเข้ามาร่วมด้วย

อีกอย่างเป่ยเฉินอี้มีเงินทองมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ เหตุใดเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เป่ยเฉินอี้เคยเป็นพ่อค้าอย่างนั้นหรือ

แต่ว่า…

ไม่ช้าเขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ถามเป่ยเฉินอี้ “หากข้าเดาไม่ผิดแล้วล่ะก็ เสบียงของอี้อ๋องคงเตรียมสำหรับการก่อกบฏใช่หรือไม่”

เป่ยเฉินอี้ก็ไม่ปิดบัง แววตาลุ่มลึกเกินหยั่งคาด กวาดตามองจิวมั่วเหอ เอ่ยเสียงขรึมว่า “พูดให้ถูกก็เป็นเงินก้อนที่ใช้สมัครไพร่พล ซื้อเสบียงได้ทุกเมื่อ”

บัดนี้ทุกอย่างที่เขามีล้วนทำเพื่อให้อาซีบรรลุเป้าหมาย แน่นอนว่า…เขาไม่จำเป็นต้องก่อกบฏ ทรัพย์สมบัติเหล่านี้สำหรับเขาแล้วก็ไม่มีคุณค่าอื่นอีก

จิวมั่วเหอเห็นว่าเป่ยเฉินอี้ตอบตรงไปตรงมา

ถึงถามขึ้นว่า “ข้ารู้เหตุผลได้หรือเปล่า อย่างไรเสียอี้อ๋องเป็นฝ่ายเชิญข้ามาอย่างกะทันหัน ข้าไม่อาจตัดสินว่าท่านเป็นมิตรหรือศัตรู ที่ข้ามาอย่างกะทันหันในครั้งนี้ก็เสี่ยงมากแล้ว หากยังรับเสบียงของอี้อ๋องอีก ไม่ทันระวังตกหลุมพรางผู้อื่น สำหรับข้าแล้วถือว่าเสียเปรียบมาก”

เป่ยเฉินอี้เป็นคนเช่นไร ใครๆ ก็รู้ ย่อมไม่อาจไม่ระวังได้

จิวมั่วเหอคิดว่าต่อให้ตัวเองมีขวัญกล้าเทียมฟ้า ก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดของเป่ยเฉินอี้ รับของจากเขาง่ายๆ มีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่าผลลัพธ์สุดท้ายคืออะไร

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้ว หัวเราะเสียงขรึม ลุกขึ้น เอามือไพล่หลังมองออกไปยังดวงจันทร์นอกหน้าต่าง

หลังจากนั้นก็เอ่ยว่า “ชั่วชีวิตเจ้าเคยคิดอยากคว้าจับความงดงามอันแสนบริสุทธิ์ไว้บ้างหรือไม่”

จิวมั่วเหอเงียบไปชั่วครู่ ในฐานะพวกเล่นการเมือง เป็นบุตรของขุนนางเรืองอำนาจ นับตั้งแต่เล็กตั้งมั่นในปณิธานตัวเองเพื่อเป็นราชา ชีวิตเขาไม่เคยง่ายดาย ทั้งไม่เคยเรียบง่าย

ดังนั้นความงดงามอันแสนบริสุทธิ์หรือ

เขายิ้มขม “ไม่เคย” พบยังไม่เคยพบเลย จะจับได้อย่างไร

เป่ยเฉินอี้ถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้าเคยรักหรือเปล่า”

รักหรือเปล่าหรือ

ในห้วงสมองของจิวมั่วเหอพลันปรากฏภาพเหตุการณ์ภาพหนึ่ง คล้ายตกอยู่ในภาพฝันงดงามมาเนิ่นนาน ติดตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ แต่…เคยรักหรือเปล่า

เขาไม่กล้าบอกว่ารัก ความรักเป็นสิ่งที่หนักหน่วง ต้องจ่ายค่าตอบแทน ต้องไม่เห็นแก่ตัวถึงขั้นลืมตัวเอง เคยรักหรือเปล่า เขาคิดว่าน่าจะเรียกไม่ได้ว่ารักกระมัง

ดังนั้นเขาถอนหายใจ “ไม่เคย”

เป่ยเฉินอี้ยิ้มออก หันไปมองเขา เสียงยังคงนิ่งขรึม สีหน้ายากคาดเดา เอ่ยว่า “หากไม่เคยรัก เจ้าก็ไม่มีวันได้รับคำตอบ”

จิวมั่วเหอยิ้มแล้ว จ้องเป่ยเฉินอี้ถามว่า “เช่นนั้นข้าควรมีความรักสักครั้ง”

“บางที”

ความหนักหน่วงของความรักไม่ใช่ทุกคนจะแบกรับได้

อีกทั้งหาใช่ทุกคนจะได้ผลรับที่ดีในตอนสุดท้าย ดังนั้นคำตอบของเป่ยเฉินอี้จึงเป็นไปได้สองทาง

อย่างน้อย เขาเป่ยเฉินอี้ไม่ได้พบจุดจบที่งดงาม อย่างน้อย…

ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เขาคิด หากเขาไม่เคยรักมาก่อน จุดจบของเขาย่อมไม่เป็นเช่นสถานการณ์ในวันนี้

แต่เคยเสียใจที่รักหรือเปล่า

ความจริงก็ไม่ใช่ไม่เสียใจ

คิดถึงตรงนี้ เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น

ครั้นมองจากสีหน้าของเป่ยเฉินอี้ จิวมั่วเหอคล้ายจะเข้าใจอะไรได้ นี่คือความรู้สึกที่ตัวเองไม่เคยรับรู้มาก่อน คนในโลกเรียกว่าความรัก ประมาณว่า..เพราะตัวเองไม่เข้าใจความรัก ดังนั้นไม่อาจเข้าใจว่าเป่ยเฉินอี้ที่อยู่ในฐานะคนเล่นการเมืองขั้นสูง ไฉนถึงได้มอบสิ่งที่ทำให้ตัวเองสามารถเข้าสู่หนทางแห่งราชันย์ให้กับสตรีนางหนึ่งอย่างไร้ข้อแม้

จิวมั่วเหอคิดถึงตรงนี้ พูดกับเป่ยเฉินอี้ว่า “อี้อ๋อง ในเมื่อท่านพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นจิวมั่วเหอก็เชื่อท่านสักครั้ง เชิญ”

“เชิญ” เป่ยเฉินอี้เองก็พยักหน้า

ไม่ช้าจิวมั่วเหอออกจากจวนเป่ยเฉินอี้ บัดนี้ชิงเกอกลับรู้สึกไม่เข้าใจอยู่บ้าง เดินมาถึงหน้าเป่ยเฉินอี้ เอ่ยถาม “อี้อ๋อง จวนองค์ชายสี่ร่ำรวยถึงเพียงนั้น ส่วนเยี่ยเม่ยเองก็มีทรัพย์สมบัติก้อนหนึ่งที่ราชสำนักจงเจิ้งทิ้งไว้ เรื่องนี้มีแค่คนของนางและพวกเราเท่านั้นที่รู้ ยามนี้พวกจิ่วหุนออกจากเมืองหลวงไปแล้ว จากการคาดเดา น่าจะไปเพราะสมบัติก้อนนั้น ดังนั้นตอนนี้ ท่านยังจะสอดมือเรื่องนี้เหตุใด”

ชิงเกอไม่เข้าใจจริงๆ จำเป็นด้วยหรือ

เยี่ยเม่ยไม่ขาดเงินเลยสักน้อย เหตุใดท่านอ๋องต้องเข้าไปร่วมสนุกด้วยเล่า

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เป่ยเฉินอี้กลับกวาดตามองเขา เอ่ยว่า “ภายหน้าเป็นช่วงเวลาที่นางต้องใช้เงิน ทั้งยังเป็นเงินจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นเงินก้อนนี้สำหรับข้าแล้ว ไม่ได้มีความหมายมากนัก”

สำหรับเยี่ยเม่ยแล้ว วันเวลาภายหน้าจำเป็นต้องใช้เงินทำเรื่องอีกมากมาย ไม่ว่าจะดูแลส่วนต่างๆ ซ้ำยังมีเสบียงอาหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งเงินค่าจ้างทหาร สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงิน ไม่มีผู้ใดรังเกียจว่ามีเงินมากหรอก

ส่วนเขาในเมื่อตัดสินใจช่วยนาง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องก่อกบฏอีก เงินก้อนนี้วางไว้ก็เท่านั้น เอามาช่วยนางก็ไม่มีอะไรไม่ดี

ชิงเกอฟังจบแล้ว ในใจกลับมีโทสะบางๆ เอ่ยปากว่า “แต่ท่านอ๋อง ต่อให้ท่านทำเพื่อนางมากขึ้น นางก็ไม่รู้สึกซาบซึ้งใจเลยสักน้อย ทั้งยังไม่ยอมขอบคุณท่านแม้แต่คำเดียว”

นี่ถึงเป็นเรื่องที่ชิงเกอรู้สึกเศร้าสลด

เป่ยเฉินอี้หันกลับไปมองเขา เอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเจ้าเห็นว่า หากนางบอกว่าขอบคุณข้าจริงๆ คำขอบคุณนี้ ข้าจะรับไหวหรือไม่”

บัดนี้ชิงเกออึ้งไปแล้ว

ก็ถูก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในปีนั้นคนของราชสำนักจงเจิ้งตายเพราะท่านอย่างจริงแท้แน่นอน ญาติของเยี่ยเม่ยจำนวนมากไม่เหลือสักคนเดียว แผ่นดินล่มสลาย เวลานี้ชดเชยให้นางด้วยเรื่องสองเรื่อง ก็พูดขอบคุณ บอกว่าให้อภัยแล้วก็ออกจะเบาเกินไปหน่อย ต่อให้เป็นชิงเกอเองก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ก็ไม่มีอะไรให้พูดอีก

ชิงเกอเอ่ยปากว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง ผู้น้อยจะไปจัดการบัญชีก่อน พรุ่งนี้จะได้ส่งมอบให้กับจิวมั่วเหอ”

“อืม”

……

ประตูจวนจงซาน

จงรั่วปิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เซี่ยโหวเฉินฟัง จงซานเห็นความพัฒนาของเป่ยเฉินหลิวอวี่และเย่จื่อหนาน ย่อมบอกต่อให้กับจงรั่วปิง นางรีบเล่าข่าวดีกับเซี่ยโหวเฉินเสียแทบทนไม่ไหว

เดิมทีเซี่ยโหวเฉินกังวลไม่วางใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยกับจงซานจัดการได้ดีเช่นนี้ เขาก็คลายใจลงแล้ว อารมณ์ดีขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรชั่วชีวิตนี้ นอกจากบัลลังก์แล้ว เขาก็หวั่นไหวกับสตรีนางนี้จากใจจริงเพียงคนเดียว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากพลาดไปจากนาง

ดังนั้นในเวลานี้ เขาอดไม่ไหวมองจงรั่วปิงเอ่ยว่า “เจ้าอย่าลืมบอกกับเยี่ยเม่ยและใต้เท้าจงว่า น้ำใจครั้งนี้ เซี่ยโหวเฉินจะไม่ลืม”

คำพูดนี้ก็นับว่าบ่งบอกแล้วว่า ต่อให้เขาแต่งงานกับจงรั่วปิงจริงก็ไม่มีทางเปลี่ยนจุดยืนของตนไปยืนอยู่ฝั่งเดียวกับจงซานเพราะเรื่องนี้ มิฉะนั้นระหว่างลูกเขยกับพ่อตาคงไม่ได้ใช้คำว่าน้ำใจ

เซี่ยโหวเฉินเอ่ยเช่นนี้ ความจริงก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง เขามองแววตาจงรั่วปิงอย่างระวัง เกิดความกังวลอยู่ในใจ จงรั่วปิงจะไม่พอใจที่เขายืนหยัดในจุดยืน ไม่พิจารณาไปอยู่ฝั่งเดียวกับครอบครัวนางหรือเปล่า

แต่ว่าที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ครั้นจงรั่วปิงฟังแล้วกลับไม่ตอบสนองอะไร เพียงพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว คำพูดของท่านข้าจะบอกพวกเขาให้”

กลับกันกลายเป็นเซี่ยโหวเฉินที่ไม่อยากเชื่อ เขาจ้องจงรั่วปิงถามว่า “เจ้าไม่โกรธหรือ”

จงรั่วปิงกลับหัวเราะ “เหตุใดข้าต้องโกรธด้วย”

“ข้าเป็นลูกเขย กลับเหินห่างกับท่านพ่อตาเช่นนี้ ไม่เคยคิดเปลี่ยนจุดยืนของตัวเองเลย เรื่องนี้เจ้าไม่โกรธเลยสักนิดหรือ” เซี่ยโหวเฉินไม่อยากเชื่อจริงๆ

ถึงบอกว่าสตรีเมื่อแต่งงานแล้วต้องเชื่อฟังสามี แต่ว่ายามนี้ไม่ว่าพูดอย่างไรจงรั่วปิงยังไม่ได้แต่งให้กับเขา เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ นางถึงกับไม่มีความเห็นอะไรเลย เซี่ยโหวเฉินกังวลว่า นางจะมีความคิดหรือความไม่พอใจเก็บไว้ในใจแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นหรือเปล่า

จงรั่วปิงมองเขา เอ่ยเบาๆ “พูดตามตรงแล้ว ไม่ว่าอย่างไร จะมากจะน้อยก็ต้องมีความไม่พอใจบ้าง อย่างไรเสียจงซานก็คือท่านพ่อของข้า แต่ว่านะ…ความรักส่วนความรัก อุดมการณ์ก็ส่วนอุดมการณ์ ข้าไม่ก้าวก่ายอุดมการณ์ของท่านเพราะว่าท่านชอบข้า ขอให้ท่านยอมเสียสละอะไรเพื่อข้า ข้ารู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่จริงใจกับท่านแล้ว”

เซี่ยโหวเฉินจริงใจกับนางอย่างแท้จริงหรือเปล่า

จงรั่วปิงไม่รู้ นางก็ไม่เคยบังคับให้เซี่ยโหวเฉินยอมทิ้งอะไรเพื่อนางมาก่อน บางทีหากนางยื่นข้อเสนอให้นับแต่นี้ไปเซี่ยโหวเฉินต้องเริ่มสนับสนุนท่านพ่อ บอกว่าเขาควรย้ายมาอยู่ฝั่งเยี่ยเม่ย ทำเพื่อนาง เซี่ยโหวเฉินไม่ตกลงนางคงผิดหวัง

แต่…

ด้วยนิสัยนางไม่มีทางยื่นข้อเสนอเช่นนี้ เพราะระหว่างคนสองคนหากอยู่ด้วยกันได้ ต่างฝ่ายต่างต้องเคารพซึ่งกันและกันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ก็เหมือนกับหากเซี่ยโหวเฉินขอร้องนาง เมื่อแต่งกับเขาแล้ววันหน้านางสมควรอยู่บ้านเชื่อฟังสามีอบรมบุตรธิดา ห้ามออกจากบ้านเหมือนกับสตรีแต่งงานแล้วทั่วไป

ซ้ำไม่อาจออกท่องยุทธภพ ผดุงคุณธรรม เช่นนั้นจงรั่วปิงก็ไม่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง

อย่างนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน อย่าทำสิ่งที่ไม่ชอบกับผู้อื่น นางไม่มีทางยื่นข้อเรียกร้องมากเกินไปกับเซี่ยโหวเฉิน

เซี่ยโหวเฉินฟังคำตอบของจงรั่วปิง พลันรู้สึกว่าซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เขายื่นมือออกไปดึงนางเข้ามากอด เอ่ยว่า “การที่เซี่ยโหวเฉินชอบแม่นางจง ถือเป็นโชคดีในชีวิตของข้า”

ถึงแม้สองคนพูดคุยถึงขั้นแต่งงานแล้ว แต่ว่าจงรั่วปิงก็ไม่เคยสนิทกับชายอื่นเช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังกระทำต่อหน้าเหวยซื่ออีกต่างหาก ดังนั้นนางจึงหน้าแดงขึ้นมาทันที

หลังจากอารมณ์พลุ่งพล่านผ่านไป เซี่ยโหวเฉินก็รู้ว่าตนเองเสียมารยาทแล้ว

รีบปล่อยจงรั่วปิง มองคนในดวงใจหน้าแดงเรื่ออยู่ตรงหน้า ชั่วขณะนั้นเขาเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่อ้ำอึ้งว่า “เช่นนั้น แม่นางจง…ข้า…ข้าเมื่อครู่…ข้า…”

เหวยซื่อแอบกุมขมับอยู่ข้างๆ

ดีมาก ยามที่ท่านอ๋องเผชิญหน้ากับแม่นางจง โรคติดอ่างก็กำเริบอีกแล้ว เขาหลงคิดว่าหลังจากที่ได้อยู่ร่วมกันระยะนี้ จะรักษาหายแล้วเสียอีก เขาด่วนดีใจเร็วเกินไป…

ยามนี้จงรั่วปิงมองเหวยซื่อ ผู้ติดตามหนุ่มพลันเข้าใจว่าเขาอยู่ที่นี่ทำให้จงรั่วปิงรู้สึกว่าไม่เป็นส่วนเกินไปแล้ว

ดังนั้นเขาจึงรีบล่าถอยออกไป

รอเหวยซื่อออกไป จงรั่วปิงมองท่าทางไม่เป็นธรรมชาติของเซี่ยโหวเฉิน ทั้งไม่พูดถึงเรื่องที่เขากอดนางเมื่อครู่ เพียงเอ่ยว่า “ข้าก็มีคำถามหนึ่งอยากถามท่าน”

เซี่ยโหวเฉินพยักหน้า “เชิญแม่นางจงถามมาได้เลย”

จงรั่วปิงเอ่ยว่า “ยามนี้ข้าเคารพความคิดของท่านทุกอย่าง ไม่ต้องการให้ท่านเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อข้า เช่นนั้น…วันหน้า ท่านจะทำให้ข้าเสียใจที่เคารพท่าน เสียใจที่แต่งงานกับท่านหรือไม่”