ตอนที่ 179 เสบียงครั้งนี้ ข้าออกเอง

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

“พ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับคำ 

 

 

…… 

 

 

ตกดึก 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนย่างปลาอีกตัวหนึ่ง ปลาตัวนี้กลับดีขึ้น อร่อยกว่ามากเมื่อเทียบกับตัวแรก ไม่ใช่แค่มีรสชาติเท่านั้น ซ้ำยังรสโอชาเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เยี่ยเม่ยอดชมเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ได้ “ดูท่าท่านน่าจะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารจริงๆ” 

 

 

องค์ชายสี่ฟังแล้วมุมปากกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

ไม่รู้ว่าจะรับว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียดี อย่างไรเสีย…วิญญูชนควรหลีกให้ห่างครัว 

 

 

คิดแล้ว เขาก็ตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินเคยได้ยินว่าวิญญูชนควรหลีกให้ห่างครัวหรือไม่” 

 

 

เยี่ยเม่ยเหลือบมองเขาสีหน้าไม่สบอารมณ์ นางย่อมรู้ ในยุคสมัยนี้สตรีเป็นคนทำอาหาร ไม่ให้บุรุษทำกับข้าว หรือว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะคิดแบบนี้ด้วย คิดว่าการที่นางสั่งให้เขาทำอาหารเป็นเรื่องผิดหรือ 

 

 

เยี่ยเม่ยถามเสียงเย็นชา “แล้วอย่างไรเล่า ท่านอยากพูดอะไร ท่านอยากบอกว่า ท่านเป็นวิญญูชน ภายหน้าไม่อยากทำอาหารแล้ว ถึงกระทั่งท่านคิดสั่งให้ข้าทำอาหารให้ท่านกินอย่างนั้นหรือ” 

 

 

“มิกล้า” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเห็นสีหน้านางก็รู้ว่าเยี่ยเม่ยไม่พอใจแล้ว เขาหัวเราะเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนทันที “แต่ไรมาเยี่ยนก็มิใช่วิญญูชน คนทั่วหล้าต่างก็รู้ว่าเยี่ยนคือปีศาจ อีกอย่างเป็นวิญญูชนมีอะไรดี กฎระเบียบมากมาย ทั้งยังต้องรักษาคุณธรรม เหนื่อยเกินไป” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…” 

 

 

ก็ได้ คนผู้นี้ยังนับว่าพอรู้จักสถานการณ์ แต่เมื่อได้ฟังเขาพูดเป็นจริงเป็นจังว่ารักษาคุณธรรมเหน็ดเหนื่อยมาก ชวนให้คนอดกระตุกมุมปากไม่ได้ 

 

 

รอปลาตัวสุดท้ายย่างเสร็จเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยื่นให้นาง ถามเสียงอ่อนว่า “มีรางวัลหรือเปล่า” 

 

 

เยี่ยเม่ยเข้าใจว่าเขาถามหารางวัลย่างปลาในวันนี้ เยี่ยเม่ยตอบไร้เยี่อใย “ไม่มี” 

 

 

องค์ชายสี่กุมอกทันที ท่าทางคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส เสียงอ่อนเอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย เจ้าช่างเย็นชาไร้จิตใจนัก” 

 

 

เยี่ยเม่ยปรายตามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ตอบกลับเสียงเฉยชา “ข้าควรมอบรางวัลอะไรให้ท่าน ถึงไม่นับว่าเย็นชาไร้หัวใจกัน” 

 

 

“ค่ำคืนที่มิอาจลืมเลือน?” 

 

 

เขาตอบทันควันคล้ายคำนวณไว้แต่แรกแล้ว 

 

 

คำตอบแสนตรงประเด็นทำเอาเยี่ยเม่ยสะอึกไปแล้ว เห็นนางสีหน้าแข็งทื่อ จ้องมองเขาไม่พูดไม่จา เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นช้อนตัวนางอุ้มขึ้นมา  

 

 

“นี่…” เยี่ยเม่ยหน้าเปลี่ยนสี นางยังไม่ทันตกลงเลยนะ มารดาเจ้าเถอะ  

 

 

เขากลับยิ้ม “ช่วงอันตรายไม่ใช่ว่าผ่านไปแล้วหรือไง” 

 

 

คราวนี้เยี่ยเม่ยตอบไม่ถูก 

 

 

อีกอย่างบุรุษหน้าเหม็นนี่ยังถามนางอย่างคลุมเครือว่า “จะว่าไป นี่ก็ระยะหนึ่งแล้วที่เจ้าและข้าไม่ได้ห่มผ้าสนทนา หรือว่าฮูหยินไม่คิดบ้างเลยสักน้อย” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…” เหตุใดคนผู้นี้ถึงได้ไร้ยางอายถึงเพียงนี้นะ 

 

 

นางมีสีหน้าอึ้ง ยืนหยัดเอ่ยว่า “ข้าไม่คิด ไม่คิดเลยสักนิด” 

 

 

ผลคือยังไม่ทันพูดจบ คนก็ถูกเขากดลงบนเตียง เขาหัวเราะเบาๆ ข้างใบหูนาง “ปากไม่ตรงกับใจ” 

 

 

เยี่ยเม่ย “…” คราวนี้ใบหน้านางแดงไปหมดแล้ว 

 

 

ก็ได้ นางยอมรับว่าตัวเองปากไม่ตรงกับใจอยู่บ้างเล็กน้อย 

 

 

ไม่ช้า บนเตียงก็ส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา 

 

 

 

 

 

ขณะที่ทั้งสองกำลังหลอมรวมกัน เยี่ยเม่ยมองหัวเตียงพลันรู้สึกสับสน เอ่ยด้วยเสียงนิ่งว่า “เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ช่วงนี้ข้ามักรู้สึกไม่สงบ” 

 

 

เขาที่กำลังพรมจูบบนคอนางหยุดชะงักไป 

 

 

เยี่ยเม่ยพูดไปตามอารมณ์ต่อว่า “ข้ามักรู้สึกว่า วันเวลาแสนสบายของพวกเราไม่มีทางยาวนาน ข้ามักรู้สึกว่า…ระหว่างท่านกับข้าคล้ายมีอะไรขวางกั้นอยู่ ราวกับว่าทันทีที่ไม่ระวังก็จะทำให้พวกเราแยกจากกันแบบนั้นก็ไม่ปาน” 

 

 

สองสามวันมานี้เยี่ยเม่ยจิตใจไม่สงบเลยจริงๆ 

 

 

เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นางบอกว่าอยากกินปลาย่าง หลังจากที่เห็นเย่จื่อหนานกับเป่ยเฉินหลิวอวี่อยู่ด้วยกัน นางก็รีบร้อนจะกลั่นแกล้งเป่ยเฉินเสียเยี่ยน  

 

 

นางมักรู้สึกว่าหากนางไม่ทันระวังเพียงนิดเดียวหรือว่าคลายมือออก พวกเขาสองคนก็จะคลาดจากกันไป แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ นางไม่ปรารถนาเลย ถึงกระนั้นความรู้สึกเช่นนี้มาจากที่ใด เยี่ยเม่ยก็ไม่อาจตอบได้ในชั่วขณะ 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว สีหน้าก็สั่นสะท้าน 

 

 

ไม่ช้าถามเสียงอ่อนว่า “เหตุใดถึงรู้สึกเช่นนี้” 

 

 

หรือว่า…เรื่องเกี่ยวกับน้องชายนาง นางรู้อะไรบ้างแล้ว  

 

 

เยี่ยเม่ยส่ายหน้า กลับยิ้ม “ข้ายังไม่รู้จริงๆ มีลางสังหรณ์แปลกๆ บางอย่าง มีบางคนเรียกลางสังหรณ์นี้ว่าสัมผัสที่หก บางทีข้าอาจจะวิตกไปเอง และบางทีความรู้สึกประเภทนี้อาจจะไม่แม่นก็ได้กระมัง” 

 

 

เยี่ยเม่ยปลอบตัวเอง 

 

 

“ไม่แม่นแน่” 

 

 

เมื่อสิ้นเสียง เขาก็เข้าครอบครองนางอย่างดุดัน คล้ายกับว่า…พรุ่งนี้อาจต้องปล่อยมือ วันนี้จักต้องคว้าความทรงจำอันงดงามไว้เป็นครั้งสุดท้าย 

 

 

ไม่มีทาง นางไม่มีทางรู้ความจริง เขาเองก็ไม่ปล่อยให้นางรู้เช่นกัน 

 

 

เยี่ยเม่ยพยักหน้า ปล่อยตัวไปตามการเคลื่อนไหวของเขา ไม่อาจครองลมหายใจและสติสัมปชัญญะให้แจ่มใสได้อีกต่อไป ทว่านางยังคิดเรื่องน่ากลัวพวกนั้น หวังว่าจะเป็นอย่างที่เขาพูด คงไม่เป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม…นางไม่อยากเสียเขาไปจริงๆ  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้อยู่ร่วมกันในระยะนี้ก็ยิ่งยากวางมือแล้ว 

 

 

แต่ว่านางควรพูดไปหรือไม่ว่า สัมผัสที่หกและสัญชาตญาณของนางแม่นยำเสมอมา 

 

 

…… 

 

 

จวนอี้อ๋อง 

 

 

เป่ยเฉินอี้กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้ากระดานหมาก มองสถานการณ์หมากในกระดาน ชิงเกอรายงาน “ท่านอ๋อง คนของพวกเราสืบข่าวได้ว่า จิวมั่วเหอมาถึงเมืองหลวงแล้ว ไม่ทราบสาเหตุที่เขามา ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง วันนี้เขาออกจากโรงเตี๊ยม เพียงแต่คนของเราคลาดกับเขาระหว่างทาง ดังนั้นจึงไม่รู้ชัดว่าเขาไปที่ไหน” 

 

 

เป่ยเฉินอี้ถาม “ตอนนี้เป็นฤดูกาลอะไร” 

 

 

ชิงเกอตอบ “ขึ้นฤดูร้อนแล้วขอรับ” 

 

 

เป่ยเฉินอี้วางหมากตัวหนึ่ง ถัดมาเอ่ยด้วยเสียงขรึมว่า “เมื่อมาถึงช่วงนี้ทุกปี เป็นเวลาที่ทรัพยากรในต้ามั่วจะแห้งแล้งอย่างมาก และก็เป็นช่วงเวลาที่ราชสำนักเป่ยเฉินและชายแดนมีศึกมากที่สุด จิวมั่วเหอมาน่าจะมาเพื่อเสบียงอาหาร” 

 

 

ชิงเกอฟังแล้วครุ่นคิด เหมือนจะมีเรื่องเช่นนี้จริงๆ 

 

 

ทว่า “แต่ท่านอ๋อง หากเขามาเพื่อเสบียงจริงก็น่าจะไปพบฝ่าบาทถึงจะถูก แต่นี่ไม่ได้ยินข่าวว่าจิวมั่วเหอยื่นหนังสือขอเข้าพบเลย” 

 

 

เป่ยเฉินอี้มองผู้ใต้บัญชาคนสนิท ตอบว่า “เหตุใด เจ้าคิดว่าเสด็จพี่จะส่งมอบเสบียงให้จิวมั่วเหอหรือ” 

 

 

“อ้อ…” บัดนี้ชิงเกอคิดว่าเป็นตัวโง่งมไปแล้ว 

 

 

นี่ก็ถูก หากฝ่าบาทยินยอมมอบเสบียงให้จิวมั่วเหอล่ะก็ หลายปีนี้เป่ยเฉินและต้ามั่วก็ไม่ต้องเปิดศึกอยู่ตลอด ดังนั้นนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ 

 

 

เช่นนั้น…จิวมั่วเหอมาเพื่ออะไร 

 

 

ขณะที่ชิงเกอกำลังกลัดกลุ้ม เป่ยเฉินอี้ก็คลายความสงสัยให้เขา “ข้าเดาว่า ครั้งนี้เขามาเพื่อหาเยี่ยเม่ย” 

 

 

อย่างไรเสีย คนทั่วทั้งราชสำนักเป่ยเฉินที่มีความสัมพันธ์กับจิวมั่วเหอก็มีเพียงเยี่ยเม่ยเท่านั้นแล้ว พวกเขาสองคนเคยร่วมมือกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้ร่วมมือกันอีกครั้งก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้  

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้เป่ยเฉินอี้ก็วางหมากในมือลง นิ่งชะงักไป เขากวาดสายตามองชิงเกอสั่งว่า “ไปเชิญจิวมั่วเหอมาจวนอี้อ๋อง” 

 

 

ชิงเกอชะงักเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็ยังรีบออกไป 

 

 

…… 

 

 

หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม จิวมั่วเหอปรากฏตัวอยู่ในจวนอี้อ๋อง 

 

 

ราชาต้ามั่วเองก็ไม่อ้อมค้อม หลังจากเข้ามาก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ไม่รู้ว่าอี้อ๋องเชิญข้ามาเพื่อเรื่องใด” 

 

 

เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เพิ่งเข้ามาถึงราชสำนักเป่ยเฉินก็ถูกเป่ยเฉินอี้พบตัวแล้ว 

 

 

ดูท่าในเป่ยเฉินนี้คนที่มีอำนาจควบคุมกำลังทุกอย่าง คือปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้าที่อยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้แล้ว 

 

 

แต่ว่า…นี่จะเท่ากับว่าเสินเซ่อเทียนรู้ร่องรอยของเขาด้วยหรือไม่ 

 

 

คิดเช่นนี้ จิวมั่วเหอรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที 

 

 

คล้ายกับว่าเป่ยเฉินอี้มองความกังวลของจิวมั่วเหอออก เขามองอีกฝ่ายเอ่ยเสียงขรึมว่า “ก่อนเที่ยงตรงวันพรุ่งนี้ รีบออกจากเมืองหลวงเสีย คนของเสินเซ่อเทียนถึงไม่พบตัวเจ้า” 

 

 

แต่ว่าหากเลยเที่ยงไปแล้วก็คงจะพูดยากแล้ว 

 

 

ทันทีที่จิวมั่วเหอได้ฟัง ก็อดประสานมือคารวะไม่ได้ “ขอบคุณอี้อ๋องที่ชี้แนะ” 

 

 

เขากลับไม่คิดเลยว่า ตัวเองไม่ต้องพูดอะไร เป่ยเฉินอี้ก็อ่านออกหมดว่าเขากังวลเรื่องอะไร ไม่เสียทีที่เป็นปราชญ์อันดับหนึ่ง คำเรียกนี้คู่ควรกับคนตรงหน้าเขา 

 

 

เป่ยเฉินอี้คล้ายไม่ใส่ใจคำขอบคุณของเขา กลับเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ข้าเดาว่าเจ้าน่าจะสร้างปัญหาน่าหนักใจให้เยี่ยเม่ยเลยทีเดียว” 

 

 

เมื่อเขาเอ่ยออกไป จิวมั่วเหอก็ยิ่งอึ้งแล้ว 

 

 

จับจ้องเป่ยเฉินอี้พักใหญ่ จากนั้นหัวเราะ “ดูท่าใต้หล้านี้บอกว่าอี้อ๋องเป็นปราชญ์อันดับหนึ่ง ช่างสมกับคำล่ำลือนัก” 

 

 

“ข้าคิดว่า ความน่าตกใจนี้ ราชาต้ามั่วสมควรรับรู้ตั้งนานแล้ว” เป่ยเฉินอี้ตอบนิ่งๆ กลับไปหนึ่งประโยค ไม่ใส่ใจคำชมของจิวมั่วเหอ  

 

 

คราวนี้ จิวมั่วเหอเป็นฝ่ายไม่รู้ว่าสมควรเอ่ยอะไรดีแล้ว 

 

 

คลับคล้ายกับว่าไม่ว่าเขาพูดอะไร เป่ยเฉินอี้ก็จะมองออกทันที กระทั่งเขาประเมินเป่ยเฉินอี้ไว้สูงขนาดนี้ อีกฝ่ายยังรู้ชัดในใจ ดังนั้นเขาก็มารำขวานต่อหน้าหลู่ปังอีกแล้ว 

 

 

ไม่ว่าเทียบความเจ้าแผนการ ความเจ้าเล่ห์ ทั่วทั้งแผ่นดินเกรงว่าจะไม่มีใครเทียบคนเบื้องหน้าได้ 

 

 

จิวมั่วเหอไม่อ้อมค้อมอีก พูดตรงๆ “เช่นนั้นไม่รู้ว่า ท่านอ๋องหาข้ามีเรื่องอันใด” 

 

 

ตอนนี้เขายังไม่ทราบจุดยืนของเป่ยเฉินอี้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็เป็นศัตรูกับเยี่ยเม่ย เพียงแต่ช่วงนี้ไม่รู้เพราะอะไร เป่ยเฉินอี้คิดแต่งงานกับเยี่ยเม่ย แต่ไม่สำเร็จ 

 

 

“เพื่อคลี่คลายปัญหาใหญ่ให้เยี่ยเม่ย” เป่ยเฉินอี้กล่าว แล้วก็วางหมากลงไปอีกตัว 

 

 

ถัดมาเสียงขรึมของเขาก็เอ่ยว่า “นางต้องปวดหัวเป็นอย่างมากแน่ จะมอบเสบียงให้เจ้าโดยไม่ให้ฮ่องเต้สงสัยได้อย่างไร ยามที่นางมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่มีทางสำเร็จทั้งสองอย่าง ต่อให้นางคิดไม่ออก เป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็จะเตือนนาง ความจริงนางใช้ทรัพย์สินเงินทองของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปซื้อเสบียงได้ หรือไม่ก็มอบเงินให้กับเจ้าให้เจ้าไปซื้อเสีย ทำเช่นนี้ก็แต่เสียเงินทองเท่านั้น ซ้ำยังได้กำลังทางทหารมาด้วย ทั้งยังไม่สูญเสียความไว้วางใจของฮ่องเต้” 

 

 

จิวมั่วเหอฟังแล้ว กลับกลืนน้ำลายลงคออย่างอดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเป่ยเฉินอี้จะคิดวิธีแก้ปัญหาได้รวดเร็วถึงขั้นนี้ 

 

 

จิวมั่วเหอเอ่ยว่า “ดังนั้น?” 

 

 

เป่ยเฉินอี้วางหมากในมือลงอีก จ้องจิวมั่วเหอเอ่ยปากว่า “ดังนั้นเสบียงครั้งนี้ ข้าจะออกเอง”