ตอนที่ 178 บอกว่าเจ้าชอบจิ่วหุนเช่นกันสิ

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เมื่อเยี่ยเม่ยถูกชายหนุ่มหยอกเย้า 

 

 

ใบหน้านางมีสีเข้มขึ้น ยากนักที่จะขวยเขินสักครั้งหนึ่ง เพราะระยะนี้พวกเขาไม่ได้ใกล้ชิดชิดสนิทสนมกัน ไม่ว่าอย่างไรช่วงนี้นางอยู่ในระยะไม่ปลอดภัย เสี่ยงตั้งครรภ์ได้ง่ายมาก 

 

 

เยี่ยเม่ยก้มหน้ามองปลาตัวนั้น ไม่ถูกเขาเบนความสนใจเพราะอาการหน้าแดงและความเขินอาย 

 

 

เอ่ยตรงๆ ว่า “กลวิธีของท่านพัฒนาขึ้นมาก แต่ท่านอย่าคิดว่าใช้ไม้นี้แล้วจะทำให้ข้าลืมเรื่องจริงที่ว่าปลาที่ท่านย่างไร้รสชาติ” 

 

 

“ดี” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับคลี่ยิ้มออกมา 

 

 

นัยน์ตาร้ายจับจ้องนาง เอ่ยพลางยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มว่า “รอสามีย่างปลาใหม่อีกตัวก่อน ภรรยาค่อยลองชิมดูอีกครั้ง” 

 

 

พูดว่าให้นางลองชิมดูอีกครั้ง 

 

 

แต่สายตาเขากลับจ้องที่ปากนาง เห็นได้ชัดเจนว่าเขาคิดลิ้มรสริมฝีปากนางอีกแล้ว ดังนั้นประโยคนี้เพราะน้ำเสียงไม่ชัดเจน พูดออกมาได้อย่างคลุมเครือทั้งสองแง่สองง่าม 

 

 

เยี่ยเม่ยกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ก้มหน้าไม่ส่งเสียงอีก 

 

 

เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้มขึ้นด้วยความเบิกบาน ถัดมาเขาอ่านตำราอาหารเพิ่มความจริงจังยิ่งขึ้น พยายามวิเคราะห์ เมื่อครู่เขาข้ามไปขั้นหนึ่งถึงได้ทำให้ปลาไม่มีรสชาติอะไรเลย 

 

 

เขามองออกว่า ครั้งนี้เยี่ยเม่ยตั้งใจให้เขาร่ำเรียนเคล็ดลับการย่างปลาจริงๆ หากเรียนได้ไม่ดี เกรงว่าผลลัพธ์ยากคาดเดาได้ 

 

 

…… 

 

 

ตำหนักเขาหลิงซาน 

 

 

ในที่สุดเฉิงเสี่ยวจวนก็กลับมาถึง ตอนที่ได้เห็นเฉิงเสี่ยวจวน เป่ยเจี้ยนเกอโล่งใจได้เปลาะหนึ่งทันที รีบร้อนเข้าไปเอ่ยว่า “ในที่สุดเจ้าก็รอดกลับมาได้ สวรรค์ หลายวันนี้ข้าเอาแต่กังวลใจตลอด หากเกิดเรื่องกับเจ้า ครึ่งชีวิตต่อไปของข้าจะต้องจมอยู่ในความรู้สึกผิดแน่” 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนมีสภาพทุลักทุเล หน้าตาเปื้อนดินโคลน ทว่าปรายตามองเป่ยเจี้ยนเกอคราหนึ่ง ถามว่า “เช่นนั้นเจ้าเสียใจที่วันนั้นตัวเองแสร้งทำเป็นหญิง ให้ข้าออกไปรับภารกิจหรือไม่”  

 

 

“ข้าไม่สำนึกเสียใจ” เป่ยเจี้ยนเกอแสดงจุดยืนทันควัน 

 

 

มีชีวิตอยู่ได้ ไม่ดีหรือ เหตุใดต้องสำนึกเสียใจด้วย 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนกลอกตาใส่เขา นางคาดเดาคำตอบนี้ได้อยู่ในใจ ไม่พูดจาไร้สาระอะไรอีก ตรงไปพบจวินซ่างที่เรือนพำนัก 

 

 

หลังจากเข้าเรือนพำนัก 

 

 

เสินเซ่อเทียนปลดเสื้อนอนอยู่บนตั่ง แต่มีฉากกั้นลมบังอยู่ เฉิงเสี่ยวจวนจึงไม่เห็นอะไรทั้งนั้น 

 

 

เขาแยกคนได้จากการฟังฝีเท้า คนที่เข้ามาคือเฉิงเสี่ยวจวน เขาถามตรงๆ ว่า “กลับมาแล้วหรือ” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เฉิงเสี่ยวจวนตอบรับ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางให้เสินเซ่อเทียนฟัง รวมถึงเรื่องหลังจากที่นางถูกจิ่วหุนพบตัวแล้วรอดมาได้อย่างไรด้วย 

 

 

หลังจากเล่าจบ นางก็เอ่ยว่า “ผู้น้อยคิดว่า หากยังติดตามต่อไปอีก เกรงว่าจะจบชีวิตจริงๆ แล้ว ดังนั้นผู้น้อยจึงไม่ตามต่อ หลังจากวรยุทธ์ที่ถูกผนึกไว้คลายออก ผู้น้อยก็กลับมาทันที” 

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอที่อยู่ด้านข้าง ฟังด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน อดสอดปากขึ้นมาไม่ได้ว่า “เคราะห์ดีที่คนไปคือเจ้า ไม่ใช่ข้า ไม่เช่นนั้นหากข้าถูกจิ่วหุนจับได้ ข้าจะหนีเอาตัวรอดได้อย่างไร” 

 

 

เดิมเฉิงเสี่ยวจวนเล่าเรื่องที่ตัวเองถูกจิ่วหุนปฏิเสธโดยไม่ไว้ไมตรี ทั้งยังถูกมัดไว้กับต้นไม้ก็เสียใจ เสียหน้า กระอักกระอ่วนมากแล้ว ถึงใบหน้าจะไม่แสดงออก เพียงอธิบายว่าเป็นแค่ลูกไม้ในการเอาตัวรอด แต่ว่านางเสียใจอย่างไร้ใดเปรียบ 

 

 

ตอนนี้ได้ฟังคำพูดใจจืดใจดำของเป่ยเจี้ยนเกอ นางบังเกิดความโมโห เอ่ยว่า “เจ้าก็เลียนแบบข้าได้นี่ บอกว่าเจ้ารักชอบจิ่วหุน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะยอมรับเจ้าก็ได้” 

 

 

เป่ยเจี้ยนเกอมุมปากกระตุก สีหน้าคล้ายกับกลืนอาจมลงไป 

 

 

จ้องเฉิงเสี่ยวจวนอย่างจนคำพูด “เจ้าลืมไปแล้วหรือ ข้าเป็นบุรุษ” หากเขาบอกว่าตัวเองรักชอบจิ่วหุน ดังนั้นถึงได้ไล่ตามหลังอีกฝ่าย ต่อให้จิ่วหุนไม่คิดสังหารเขา ก็คงใช้ดาบฟันเขาขาดเป็นสองท่อนกระมัง 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนรีบยอกย้อน “เจ้าแสร้งเป็นสตรีเก่งนักไม่ใช่หรือไง ข้าให้เจ้ายืมผ้าเช็ดหน้าอีกผืนก็ได้ เจ้าโบกสะบัดผ้าเช็ดหน้าสักหน่อย บางทีจิ่วหุนอาจเชื่อว่าเจ้าเป็นผู้หญิง…หรือว่า คิดว่าเจ้าเป็นพวกโรคจิตกันนะ” 

 

 

คราวนี้เป่ยเจี้ยนเกอนับว่าเข้าใจแล้ว ตอนนี้เฉิงเสี่ยวจวนอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

เกรงว่าตัวเองจะเตะโดนแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว ดังนั้นถึงได้ถูกเหน็บแนม 

 

 

เขาจึงถามด้วยความฉงนว่า “เจ้าเป็นอะไร หรือว่าเจ้าชอบจิ่วหุนเข้าจริงๆ แล้ว ถูกผู้อื่นปฏิเสธมาถึงไม่พอใจ” 

 

 

ไม่เช่นนั้นว่าไปตามนิสัยของเฉิงเสี่ยวจวน ไม่ใช่คนที่ล้อเล่นไม่ได้ แล้วเหน็บแนมเขาแบบนี้  

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนชำเลืองมองเขาทีหนึ่ง ไม่คิดยอมรับ เอ่ยด้วยความไม่พอใจ “เก็บจินตนาการเหลวไหลของเจ้าไปเลย ชั่วชีวิตข้าคิดเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือภักดีต่อจวินซ่าง” 

 

 

นางเอ่ยออกมาดังนี้ เป่ยเจี้ยนเกอไม่กล้าบีบคั้นอีกแล้ว 

 

 

หากทำให้เฉิงเสี่ยวจวนโมโหขึ้นมาจริงก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวเอง เพียงแต่เขารู้สึกว่าการตอบสนองของอีกฝ่ายมีพิรุธมาก  

 

 

ปัญหาที่เป่ยเจี้ยนเกอมองออก เสินเซ่อเทียนจะมองไม่ออกเชียวหรือ 

 

 

น้ำเสียงน่าเกรงขามของเขาดังขึ้นในไม่ช้าว่า “จิ่วหุนมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อย หน้าตาหล่อเหลาหมดจด ต่อให้เจ้าชอบเขาก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก” 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนรีบตอบว่า “จวินซ่าง ผู้น้อยไม่มีทางชอบเขา ผู้น้อยรู้สึกเสียเกียรติมาก ไม่ว่าอย่างไรผู้น้อยบอกว่าตัวเองชอบเขา ถึงเป็นแค่แผนเอาตัวรอดแต่ว่าเขาทำเช่นนี้กับผู้น้อย ทำให้ผู้น้อยเสียหน้ามาก” 

 

 

หากปล่อยให้จวินซ่างคิดว่านางชอบจิ่วหุนแล้ว เช่นนั้นต่อไปเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ่วหุน จวินซ่างต้องไม่ให้นางเข้าร่วมแล้ว เช่นนั้นนางก็คงมีโอกาสพบคนผู้นี้ได้ยาก 

 

 

ระหว่างพูดไปเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อ เฉิงเสี่ยวจวนยังเอ่ยปนโทสะว่า “ข้าดีไปหมดทุกด้าน ไม่ว่าจะรูปโฉม ฝีมือ วรยุทธ์ และชื่อเสียงล้วนอยู่อันดับต้นๆ เขากลับไม่มองข้าเลยสักนิด เขาหลงคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยมนักหรืออย่างไร ซ้ำยังมัดข้า การลบหลู่ถึงขั้นนี้ ข้าต้องแก้แค้นแน่” 

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ก็ถือว่าพอผ่านไปได้ จิ่วหุนไม่เพียงแต่ปฏิเสธ ซ้ำยังเกือบฆ่าคนด้วย สุดท้ายมีผู้อื่นช่วยโน้มน้าวคลี่คลาย ถึงยอมปล่อย แต่ก็ต้องลงทุนเอาตัวรอดเช่นนี้ สำหรับสตรีนางหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องทำลายหน้าตาอย่างยิ่ง ดังนั้นเสินเซ่อเทียนจึงไม่พูดมากอีก 

 

 

กลับเป็นเป่ยเจี้ยนเกอที่ฟังมาถึงยามนี้ คล้ายได้รับข่าวสารบางอย่างที่ชวนให้คนตกตะลึง มองเฉิงเสี่ยวจวนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อสักพัก อดใจไม่ไหวเอ่ยปากว่า “เฉิงเสี่ยวจวน เหตุใดเมื่อก่อนข้าไม่รู้เลยว่าเจ้าหน้าไม่อายถึงขั้นนี้” 

 

 

นี่ไม่ใช่ความมั่นใจในตัวเองแล้ว แต่เป็นความไร้ยางอายชัดๆ  

 

 

คนที่ตั้งอกตั้งใจเยินยอตัวเอง บอกว่ารูปโฉม ฝีมือวรยุทธ์ชื่อเสียงล้วนติดอยู่อันดับต้นๆ อย่างนั้นหรือ คนทั่วไปคงไม่อาจพูดออกมาได้กระมัง  

 

 

เอาล่ะ ถึงแม้คำพูดจะไม่มีอะไรผิดเลย แต่ว่าเฉิงเสี่ยวจวนไม่เคยเรียนคำว่าอ่อนน้อมถ่อมตนบ้างหรืออย่างไร 

 

 

ขณะที่เขาพูดเฉิงเสี่ยวจวนสะบัดหน้ามาหาเขาพลางพูดว่า “เจ้าคิดให้ข้าป่าวประกาศเรื่องที่เจ้าแสร้งทำเป็นสตรีเพื่อปฏิเสธไม่รับภารกิจออกไปให้คนรู้ใช่หรือไม่” 

 

 

“ไม่” เป่ยเจี้ยนเกอรีบส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้ขายหน้าคนนัก จะให้ผู้อื่นรู้ได้อย่างไร เขาโบกมือทันที เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าว่าเจ้าพูดถูก ไม่ว่าจะรูปโฉม ฝีมือ วรยุทธ์ ชื่อเสียงของเจ้าล้วนดียิ่ง” 

 

 

“เหอะ” เฉิงเสี่ยวจวนแค่นเสียงเย็นชาคำหนึ่ง เบือนหน้าไม่มองเขาอีก  

 

 

ถัดมา เฉิงเสี่ยวจวนเอ่ยกับฉากกั้นลมว่า “จวินซ่าง ผู้น้อยคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด หากพวกเขาทำเรื่องที่ไม่อาจให้ผู้อื่นพบได้จริง พวกเขาก็รู้ว่าผู้น้อยเป็นคนของท่าน สมควรสังหารผู้น้อยปิดปาก ทำเช่นนี้ถึงกันความเสี่ยงได้ แต่พวกเขากลับปล่อยผู้น้อยกลับมา ดังนั้น…” 

 

 

ดังนั้นเรื่องนี้น่าจะไม่มีอะไรเสียหายกระมัง 

 

 

บางทีพวกเขาอาจจะออกมาเพื่อทำภารกิจบางอย่าง แต่ไม่ใช่เรื่องสำคัญใหญ่โตอันใดก็ได้กระมัง 

 

 

เสินเซ่อเทียนกลับหัวเราะเบาๆ นวดหว่างคิ้วอย่างเหนื่อยอ่อน น้ำเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นว่า “แต่ว่า ก็ไม่อาจลืมความเป็นไปได้ที่ว่าพวกเขากลัวว่าสังหารเจ้าแล้วจะปลุกความระแวงของข้า ถึงได้ปล่อยเจ้ากลับมา ไม่ใช่หรืออย่างไร” 

 

 

“นี่…” นี่ก็จริง  

 

 

ดังนั้นบอกได้ว่าเรื่องนี้ล้วนเป็นไปได้ทั้งสองด้าน 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนถาม “เช่นนั้น จวินซ่าง…เรื่องนี้สมควรทำอย่างไร” 

 

 

เสินเซ่อเทียนสงบนิ่งครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดแววตาก็ทอประกายวาว เอ่ยว่า “วิธีที่ง่ายที่สุด พรุ่งนี้เช้าตรู่เจ้าไปหาเยี่ยเม่ยที่จวน ถามว่าจิ่วหุนออกไปทำอะไร บอกนางว่า จวินซ่างอยากรู้” 

 

 

อย่างไรเสีย ฐานะเฉิงเสี่ยวจวนก็ถูกเปิดโปงต่อหน้าจิ่วหุนไปแล้ว เช่นนั้นเยี่ยเม่ยคงรู้ว่าเขาจับตาดูเรื่องนี้แล้ว 

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไปถามตรงๆ หากเยี่ยเม่ยอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล นั่นก็พิสูจน์ได้ว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้นก็ดีที่สุด หากไม่อาจอธิบายได้อย่างมีเหตุผล เช่นนั้นเขา…ก็ต้องจับตาดูเรื่องนี้อีกครั้ง 

 

 

ความจริง… 

 

 

ไม่อาจไม่บอกว่า ต่อให้การแสดงออกและเหตุผลของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนล้วนทำให้เขาพอใจ แต่ระยะนี้เสินเซ่อเทียนมักมีความรู้สึกไม่สงบประการหนึ่ง ความรู้สึกนี้ยิ่งหนักขึ้นหลังจากที่ซือถูจ้าวออกจากราชสำนักไปแล้ว 

 

 

เฉิงเสี่ยวจวนได้ฟังคำพูดของเสินเซ่อเทียน ก็รีบตอบรับ “เจ้าค่ะ จวินซ่าง พรุ่งนี้เช้าผู้น้อยจะไปจัดการ” 

 

 

“อืม ออกไปได้” 

 

 

เสินเซ่อเทียนโบกมือสั่งการให้คนทั้งหมดล่าถอยออกไป 

 

 

…… 

 

 

วังหลวง 

 

 

ฮ่องเต้รับได้ข่าวว่าองค์ชายปลิดชีพตัวเองก็ไม่อาจสงบได้ในชั่วขณะ ถึงพระองค์คิดสังหารบุตรภายใต้ความเดือดดาลจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร พระองค์ก็เป็นบิดาขององค์ชายรองย่อมมีเยื่อใย  

 

 

ในเวลานี้พระทัยฮ่องเต้หนักอึ้ง 

 

 

เกิดเรื่องกับเป่ยเฉินเสียงหลายครั้งหลายหน ตอนนี้เป่ยเฉินอวี้ก็ตายอยู่ในคุกหลวง ซือถูจ้าวออกจากราชการ ราวกับว่าตั้งแต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนและเยี่ยเม่ยมาอยู่ในราชสำนัก ทั่วราชสำนักก็ไม่เคยสงบได้อีกเลย 

 

 

ในเวลานี้พระองค์อดคิดถึงคำพูดที่เซี่ยโหวเฉินเตือนขึ้นมาก่อนหน้านี้มิได้ ตอนนั้นพระองค์ยังไล่เขาออกไปแล้วด้วย 

 

 

ส่วนคำพูดระแวงความคิดของเยี่ยเม่ยเหล่านี้ ซือถูจ้าวก็เคยพูดเช่นกัน เยี่ยเม่ยกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่มีใจคิดร้ายจริงๆ หรือพระองค์ดื้อดึงไม่ฟังคำของขุนนางภักดีกันแน่ เมื่อคิดอย่างนี้ ฮ่องเต้ก็เริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว 

 

 

เพียงแต่…เสินเซ่อเทียนเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ไฉนถึงไม่มีการตอบสนองใดๆ บ้าง 

 

 

พระองค์สงสัยว่าเสินเซ่อเทียนรู้อะไรบางอย่าง รวมถึงคิดว่าเสินเซ่อเทียนปิดบังพระองค์ ดังนั้นจึงรับสั่งว่า “พรุ่งนี้ตามจวินซ่างเข้าพบข้า”