เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา ถามนิ่งๆ ว่า “มีเรื่องอะไร”
จิวมั่วเหอก็ไม่เอ่ยคำพูดเหลวไหล กล่าวตรงๆ “เยี่ยเม่ย เจ้าก็รู้ว่าต้ามั่วขาดทรัพยากรธรรมชาติ ส่วนใหญ่จึงเลือกมาปล้นชิงกับชาวภาคกลางเพื่อความอยู่รอดของปวงประชา”
เยี่ยเม่ยมองเขา ค่อยๆ ถาม “ดังนั้น…?”
จิวมั่วเหออธิบายต่อ “ศึกใหญ่ครั้งที่แล้ว ถึงข้าได้ครองตำแหน่งราชา แต่เพราะการถอนรากถอนโคนขุมกำลังของอดีตราชาต้ามั่วถึงได้ร่วมมือกับเจ้า ยอมเสียทหารจำนวนไม่น้อย ด้วยกำลังทหารของพวกเราในตอนนี้ คิดจะจู่โจมชายแดนของราชสำนักเป่ยเฉินเป็นเรื่องยากมาก”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็รอคำพูดต่อไปของจิวมั่วเหอ
จิวมั่วเหอคลี่ยิ้ม จ้องมองเยี่ยเม่ยกล่าวว่า “ดังนั้นข้าหวังให้เจ้าช่วยเหลือข้า”
“ช่วยเหลือท่าน?” เยี่ยเม่ยย้อนถามแทนคำตอบ
จิวมั่วเหอตอบตรงๆ “ง่ายมาก ข้าช่วยเจ้าก่อศึกขึ้นมาครั้งหนึ่ง เจ้าก็สามารถทูลขอกำลังทหารจากฮ่องเต้เพิ่มขึ้น ส่วนสิ่งที่ข้าต้องการก็คือเสบียง”
เสบียง…
อันที่จริงจิวมั่วเหอช่วยก่อสงครามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นางก็สามารถไปขอกำลังทหารเพิ่มจากฮ่องเต้ได้แน่นอน ต่อให้ฮ่องเต้ไม่ยอมใช้กำลังทหารในมือ ก็เป็นไปได้ที่จะโยกทหารที่เหลืออยู่กับเป่ยเฉินเสียงจำนวนสี่แสนนายมาไว้ในมือพวกนาง
เรื่องนี้ก็เป็นความคิดที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเคยเสนอมาก่อน
เพียงแต่…
ตอนนั้นคิดให้จิวมั่วเหอร่วมแสดงละครฉากหนึ่งเท่านั้น ให้เขาแสร้งทำเป็นจู่โจม แต่ว่าตอนนี้ดูไปแล้ว จิวมั่วเหอมีใจทำศึกขึ้นมาจริงๆ แต่ว่า…ถ้าทำศึกขึ้นมาจริง
นางจะใช้วิธีไหนมอบเสบียงให้จิวมั่วเหอได้ ทั้งยังไม่สังหารคนของจิวมั่วเหอ ซ้ำยังต้องไม่เสียความไว้วางใจจากฮ่องเต้อีกด้วย นี่มันยากเกินไปแล้ว
ราวกับว่าจิวมั่วเหออ่านความคิดของเยี่ยเม่ยออก ดังนั้นจึงเอ่ยตามตรง “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วเป็นเรื่องลำบากมาก แต่เจ้าลองเทียบดู การเพิ่มกำลังทหารสำคัญมากกว่า หรือว่าจะการรักษาความไว้วางใจของฮ่องเต้ไว้สำคัญมากกว่ากัน”
ระยะนี้เยี่ยเม่ยเอาแต่สั่งสมกำลังทหารเพิ่มขึ้น จิวมั่วเหอรู้ ถึงเขาไม่รู้เป้าหมายสุดท้ายของเยี่ยเม่ยจะเป็นบัลลังก์หรือเปล่า แต่ว่าอย่างน้อยเขาก็มองการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของนางออก
เพียงแต่ในสถานการณ์นี้เหมือนจะไม่มีวิธีทำให้สำเร็จได้ดังใจทั้งสองเรื่อง
หากเขาออกศึก เยี่ยเม่ยให้ความร่วมมือ อย่างนั้นนางก็จะได้กำลังทหารเพิ่มขึ้น แต่บางทีเพราะแผนการส่งมอบเสบียงให้เขา อาจทำให้ฮ่องเต้เคลือบแคลงในความจงรักภักดีและความสามารถของนาง
หากเขาไม่ทำศึก จากความก้าวหน้าของเยี่ยเม่ยในช่วงนี้ก็ต้องหยุดที่ตรงนี้แล้ว ยากที่นางจะหาเหตุผลเพื่อเพิ่มพูนกำลังทหารได้อีก
เยี่ยเม่ยนวดหว่างคิ้ว ตอบตามสัตย์ “ท่านทำให้ข้าเจอปัญหายากจริงๆ”
ในเวลานี้จะเลือกอย่างไรล้วนได้อย่างเสียอย่างทั้งนั้น
เยี่ยเม่ยเอ่ยต่อ “ท่านเองก็พอมองออกแล้ว พวกเราวางกับดักเป่ยเฉินเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า หากยังลงมือต่อไปอีก ฮ่องเต้ต้องระแวงพวกเราแน่ ดังนั้นตอนนี้นอกจากให้ท่านนำศึกแล้ว ก็ไม่มีแผนการที่ดีไปกว่านี้ เพียงแต่…เรื่องนี้ทำข้าลำบากมาก”
จิวมั่วเหอพยักหน้า เอ่ยปากว่า “ข้าเข้าใจ เจ้าลองทบทวนดูให้ดี อย่างไรต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ แต่ว่าเจ้าก็มีส่วนที่ต้องยอมสละทิ้งจริงๆ ถ้าเจ้าหาหนทางรอมชอมได้ เช่นนั้นก็ดีที่สุดแล้ว”
การศึกครั้งก่อน จิวมั่วเหอพบแล้วว่าเยี่ยเม่ยเป็นคนถนัดใช้ทหารด้วยกลวิธีแปลกพิสดาร
ดังนั้นหากบอกว่าเยี่ยเม่ยคิดวิธีอื่นได้ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็พยักหน้า ตอบว่า “ท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าขอใคร่ครวญดูหน่อย”
“ได้” จิวมั่วเหอลุกขึ้น
ก่อนเขาจะจากไป เยี่ยเม่ยพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “อย่าลืมเรื่องที่ข้าขอให้ท่านช่วยตามหาอาจารย์”
“วางใจเถอะ ไม่ลืมแน่”
จิวมั่วเหอพูดจบก็กระโจนออกไปทางหน้าต่าง
ตอนนี้เยี่ยเม่ยไม่มีอารมณ์หยอกเย้าที่จิวมั่วเหอให้ความสนใจไป๋หลี่จิ่นเฉินจนเกินเหตุอีก นางนวดหว่างคิ้ว เค้นความคิดหาวิธีประนีประนอม
ยามนี้พลันได้กลิ่นหอมกระแสหนึ่ง
เป็นกลิ่นหอมเหมือนย่างอะไรสักอย่างโชยเข้ามา นางยิ้มยกมุมปาก ในเวลานี้ได้กลิ่นอาหาร…หากไม่ใช่เพราะนางจำได้ว่าตัวเองให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปย่างปลา ตอนนี้อาจสงสัยว่าเป็นผลงานของเสินเซ่อเทียนจอมตะกละก็เป็นได้
อืม ได้กลิ่นหอมนี้ ดูท่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนคงมีพรสวรรค์ด้านทำอาหารอยู่บ้าง
เยี่ยเม่ยเปิดประตูเดินออกมา
เดินมาได้ถึงเรือนส่วนหน้าเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่นั่งย่างปลาอยู่ใต้ต้นไม้ ตำราอาหารวางอยู่บนตัก มือซ้ายพลิกอ่านดู ส่วนมือขวาถือปลาย่างตัวหนึ่ง
เขายังคงเหมือนเดิม ทุกอากัปกิริยา ทุกท่วงท่าล้วนน่ามอง คล้ายแมวเปอร์เซียงามสง่า
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเยี่ยเม่ย เขากลอกตากลับมามองนาง
น้ำเสียงน่าฟังค่อยๆ เอ่ยว่า “อาบน้ำนานขนาดนี้ คงมิได้ลักลอบพบชายอื่นในห้องลับหลังเยี่ยนหรอกกระมัง”
อึก…เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก
ถึงจะไม่ได้ลักลอบพบชายอื่นแต่ เมื่อครู่ได้พูดคุยกับจิวมั่วเหอจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรจิวมั่วเหอก็เป็นผู้ชาย ทั้งยังเป็นชายงามไม่ดาษดื่นเสียด้วย
ดังนั้นเมื่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยนถามเช่นนี้ จะมากจะน้อยเยี่ยเม่ยก็รู้สึกร้อนตัว
นางหย่อนก้นนั่งลงด้านข้างเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ดมกลิ่นปลาย่างหอมฟุ้งในมือเขา ยิ้มแล้วย้อนถามว่า “ทำไม หรือว่าท่านไม่มั่นใจ คิดว่าข้าจะสวมหมวกเขียวให้ท่าน”
นางเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกลับยิ้ม รอยยิ้มร้ายทรงเสน่ห์แฝงไปด้วยไอปีศาจ
ดวงตาคู่ร้ายจับต้องดวงตาเยี่ยเม่ย พูดคำพูดออกมาทีละคำด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “หากเยี่ยนไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆ จะปล่อยให้จิวมั่วเหออยู่ในห้องเจ้าเป็นเวลาหนึ่งก้านธูปอย่างนั้นหรือ”
“เอ่อ…” จิวมั่วเหออยู่นานขนานไหนก็รู้ ยังรู้ชื่อเสียงผู้มาอย่างละเอียด ดูท่าไม่สามารถปิดบังได้ ดังนั้นนางจึงได้แต่ถามว่า “ท่านรู้แล้วหรือ”
อย่างไรก็ตามในยุคสมัยนี้ หลังจากแต่งงานแล้วให้บุรุษที่เป็นผู้ใหญ่แล้วเข้าห้องนาง สำหรับเหล่าสามีล้วนเป็นเรื่องที่มิอาจรับได้ ดังนั้นเยี่ยเม่ยในยามนี้มองสายตาเป่ยเฉินเสียเยี่ยนก็ยังต้องระวังไว้บ้าง
ถึงนางไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าบางทีเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอาจรู้สึกว่าร้ายแรงมาก คนมักจะยึดความคิดตัวเองเป็นบรรทัดฐานตัดสินผู้อื่น
นางถามเช่นนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นเสียงหัวเราะ ย้อนถาม “เรื่องที่เกิดขึ้นในจวน เยี่ยนจะไม่รู้เชียวรึ”
ก็ได้ นี่ก็ถูก
เยี่ยเม่ยพยักหน้าเห็นด้วย ด้วยความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คิดปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนเขาย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น นางเอ่ยด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า “เขายื่นข้อเสนอให้ข้า เขาจะช่วยข้าเอากำลังทหารมา ข้อเรียกร้องคือเสบียง ข้ารู้สึกลำบากใจมาก ลำบากจริงๆ”
อย่างไรเสียสิ่งที่จิวมั่วเหอต้องการหาใช่เสบียงน้อยนิด แต่เป็นเสบียงกองโต
ภายใต้สถานการณ์เช่นไรกัน เยี่ยเม่ยถึงมีเสบียงจำนวนมาก ย่อมเป็นตอนที่นางได้รับเสบียงกองทัพ แต่…ไม่ว่าจะเป็นก่อนหลังทำศึกหรือในระหว่างทำศึกก็ไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมใดๆ ในการส่งมอบเสบียงอาหารให้ทหารศัตรู
เช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้น วิธีการจัดการเดียวเกรงว่าจะแกล้งแสดงว่าแพ้ศึกปล่อยให้ศัตรูชิงเสบียงไปได้แล้ว
แต่…
ทันทีที่พ่ายแพ้ศึก ฮ่องเต้สูญเสียความไว้วางใจนางเป็นเรื่องเล็ก ที่สำคัญก็คือฮ่องเต้จะไม่เชื่อความสามารถของนางอีกต่อไป สั่งให้นางมอบกำลังทหารในมือให้กับผู้อื่นหรือเปล่า เมื่อถึงตอนนั้น นางอาจถูกบีบให้ก่อกบฏล่วงหน้าแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ สำหรับนางโอกาสชนะมีไม่มาก ฮ่องเต้มีโอกาสชนะถึงหกส่วน ส่วนนางอย่างมากก็มีแค่สี่ส่วน ดังนั้นการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ สำหรับนางแล้วไม่นับว่าเหมาะสม
ทว่าไม่ทำเช่นนี้ก็ไม่มีทางอื่นในการเพิ่มกำลังทหารอีก
ในขณะที่นางกำลังปวดหัว เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยื่นปลาที่เพิ่งย่างสุกในมือให้นาง น้ำเสียงน่าฟังของเขาก็ดังขึ้นว่า “ถึงแม้ว่ามีหลายๆ ครั้งที่เอาปลาในมือผู้อื่นไปแลกผลประโยชน์มาจะดีกว่า แต่ว่า…หากเอาปลาผู้อื่นไปแลกทำให้สูญเสียความไว้วางใจ ส่วนเจ้าให้ความสำคัญกับความไว้วางใจนี้ อย่างนั้น…เหตุใดไม่คิด เอาปลาในมือตัวเองไปแลกผลประโยชน์บ้างเล่า”
เยี่ยเม่ยฟังแล้วเหม่อลอยรับปลาจากมือเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
กลับเอ่ยทวนคำพูดเบาๆ ว่า “ใช้ปลาตัวเอง?”
ปลาของตัวเอง?
นางก้มหน้า หลังจากใคร่ครวญไม่กี่วินาทีค่อยเข้าใจแล้ว เงยหน้ามองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยว่า “ท่านพูดถึง…”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพยักหน้า จากนั้นก็ย่างปลาตัวถัดไป
น้ำเสียงน่าฟังเอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย ถึงแม้เรื่องราวมากมายซับซ้อนมาก ความกดดันของเจ้าก็สูง สมองยิ่งไม่ได้ผ่อนคลายเลยสักนิด แต่ว่าไม่อาจให้เหตุนี้บดบังสถานการณ์ตรงหน้า บีบให้ตัวเองจนมุม”
ทั้งๆ ที่ความคิดไม่ได้ยากเอาเสียเลย ด้วยสติปัญญาของนางน่าจะคิดออก
เยี่ยเม่ยฟังแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็โพล่งออกมาอีก “ท่านพูดถูก ข้าไม่สมควรถูกสถานการณ์ตรงหน้าบดบัง ความคิดนี้ ข้าสมควรคิดได้เช่นกัน”
ระยะนี้นางน่าจะเหนื่อยเกินไปแล้วจริงๆ
เพราะเหนื่อยล้า ดังนั้นจึงคิดแกล้งเขาสักหน่อย ให้เขาย่างปลาให้นางกิน
เยี่ยเม่ยคิดไปก็พูดขึ้นว่า “ขอบคุณท่าน ข้าจะปรับตัวเอง”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนฟังแล้ว ปรายตามองนาง “ระหว่างเจ้ากับข้า เหตุใดต้องขอบคุณด้วย”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “พูดไปก็ถูก เตือนข้าว่าเดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่ท่านสมควรทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะติดต่อจิวมั่วเหอคุยเรื่องนี้กับเขา เขาในฐานะราชาต้ามั่ว ตอนนี้ปรากฏกายที่ชายแดนเป่ยเฉิน ทั้งยังไม่เคยส่งหนังสือแต่งตั้งราชทูตมา เรื่องนี้อันตรายมาก สมควรพูดกันให้ชัดเจน ให้เขารีบกลับไปไวๆ”
นางเอ่ยออกมา องค์ชายสี่มองนางด้วยสายตาไม่ยินดีทันที น้ำเสียงแฝงไปด้วยแววคุกคามหลายส่วน “ความหมายของเจ้าคือ เจ้ากังวลความปลอดภัยของเขามากหรือ”
เยี่ยเม่ยสะอึกไป เข้าใจคนที่เพิ่งบอกว่าไม่หึง ไม่ระแวงว่านางลอบพบชายอื่น ความจริงในใจคิดเล็กคิดน้อยมาก
นางแสดงออกด้วยท่าทางไม่แยแส เอ่ยปากว่า “ท่านคิดมากไปแล้ว ข้ากังวลว่าเขาตายแล้ว แผนของข้าจะดำเนินต่อไปไม่ได้อีก”
ครั้นคำพูดไร้เยื่อใยของนางถูกกล่าวออกมา อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นมากทันที
เมื่อเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีสีหน้าสงบลง นางก้มหน้ากัดปลาคำหนึ่ง
เขารีบมองนาง สายตาเต็มไปด้วยความเฝ้ารอ “อร่อยไหม”
“ไร้รสชาติ” เยี่ยเม่ยตอบตามจริง ไม่มีรสชาติ จืดชืดจริงๆ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนได้ฟังพลันรีบก้มหน้ากดจูบที่ริมฝีปากนาง ค่อยๆ ลิ้มรส ไม่ช้าเขาก็ค่อยๆ ผละออก จ้องมองนางยิ้มเอ่ยว่า “พูดเหลวไหลจริง ออกจะหวานมากต่างหาก”
ดังนั้นที่ว่าหวานคือปลา หรือว่าปากเล่า?