“โจรเด็ดบุปผา” น้ำเสียงด้านนอกแฝงแววขบขัน ยามนี้เยี่ยเม่ยพลันกระตุกมุมปากเล็กน้อย
น้ำเสียงคุ้นหูเป็นอย่างมาก ไม่ยากเกินจะฟังออกว่าเป็นใคร แต่เหตุใดจู่ๆ เขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้
ในขณะนางใช้ความคิด สายลมกระแสหนึ่งพัดวูบเข้ามา จิวมั่วเหอเข้ามาในห้องเยี่ยเม่ยแล้ว
เขานั่งตรงข้ามนาง ดวงตาสีฟ้าคล้ายบรรจุท้องมหาสมุทรกว้างใหญ่เอาไว้ในนั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้มขัน มองเยี่ยเม่ยตรงหน้า ทั้งประโยคแรกที่เขาเอ่ยขึ้นก็คือประโยคเชิงหยอกเอิน “ไม่เจอกันนานขนาดนี้ คิดถึงศิษย์พี่บ้างหรือไม่”
เยี่ยเม่ยตอบอย่างชัดเจนเด็ดขาดแน่วแน่ “ไม่คิด”
เมื่อตอบแล้วก็ไม่ใส่ใจสีหน้าเจ็บปวดจอมปลอมของจิวมั่วเหอเลยสักนิด ซ้ำยังเสริมขึ้นอีกว่า “พูดตามจริง หากท่านไม่โผล่ออกมา ข้าคงลืมท่านไปแล้ว”
แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนตอนที่เป่ยเฉินอี้ช่วยให้นางได้คุมกำลังทหารองครักษ์ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสนอความคิดหนึ่ง นั่นคือสามารถขอความช่วยเหลือจากจิวมั่วเหอได้ เพียงแต่ช่วงนี้การเคลื่อนไหวของพวกนางค่อนข้างสับสน เกรงว่าจะดึงความสงสัยจากฮ่องเต้ ดังนั้นจึงหยุดการเคลื่อนไหวไว้ชั่วคราวเท่านั้น
ครั้นเยี่ยเม่ยเอ่ยจิวมั่วเหอก็เอามือกุมหน้าอกอย่างเกินจริงทันที
แสดงท่าทางคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส กอปรกับน้ำเสียงน่าอนาถกล่าวว่า “เจ้าพูดอะไรกัน ถึงกับลืมข้าได้เชียวหรือ อย่างน้อยตอนนั้นพวกเราก็นัดกันยามค่ำคืนบ่อยๆ แลกเปลี่ยนจดหมายกันอยู่เรื่อย ….”
เยี่ยเม่ยตัดบทอย่างใจดำ แก้คำพูดเขาว่า “พวกเราปรึกษาเรื่องสำคัญในยามกลางคืน ที่เขียนจดหมายแลกกันมิใช่เพราะความคิดถึง แต่เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร ขอบคุณ”
เอ่ยมาถึงตรงนี้ เยี่ยเม่ยเสริมขึ้นต่อว่า “ข้ารู้อย่างลึกซึ้งว่ารูปโฉมงดงามกับความเพียบพร้อมของข้าทำให้ท่านหลงใหล แต่ท่านก็ไม่อาจพูดจาเหลวไหลเพราะแอบชอบข้า ทำเช่นนี้ข้ารู้สึกว่าท่านไร้มนุษยธรรม”
จิวมั่วเหอฟังมาถึงตรงนี้ มองท่าทางเยินยอตัวเองเป็นจริงเป็นจังของเยี่ยเม่ย ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกทนไม่ไหว ปรบมือหัวเราะเสียงดัง
เขาประเมินเยี่ยเม่ย อดใจไม่ไหวเอ่ยปากว่า “ข้ารู้สึกว่าเรื่องที่เป็นตำนานในชีวิตของตาแก่เลอะเลือนอย่างอาจารย์ก็คือการรับเจ้าเป็นศิษย์ ช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้ศิษย์พี่อย่างมาก”
ถึงเยี่ยเม่ยไม่ค่อยเข้าใจนักว่าความสนุกสนานของเขาเพิ่มขึ้นมาจากไหนก็ตามที
แต่เมื่อพูดถึงอาจารย์ นางพลันคิดถึงเรื่องที่ไป๋หลี่ซือซิวบอกจะรักษาดวงตาของไป๋หลี่จิ่นเฉิน ญาติผู้น้องของเขา บางทีอาจารย์อาจเป็นคนเดียวที่มีวิธี ไป๋หลี่ซือซิวช่วยเหลือนางมากมาย หากช่วยเขาได้บ้าง นางย่อมต้องช่วยแน่
ดังนั้นนางจึงมองจิวมั่วเหอแล้วกล่าวว่า “พอพูดถึงอาจารย์ ข้าไม่ได้พบเขามาระยะหนึ่งแล้ว เขาไปเซ่นไหว้ศิษย์พี่ที่แผ่นดินอีกผืนหนึ่ง ต้องไปนานขนาดนี้เชียวหรือ”
จิวมั่วเหอลูบคาง “คนปกติไปกลับเที่ยวหนึ่งอย่างน้อยต้องใช่เวลาถึงหนึ่งปีเชียวนะ แต่ว่าตาแก่เลอะเลือนอย่างอาจารย์ สำเร็จวิชาจากสำนักเทียนจีน่าจะใช้วิธีการไม่ปกติ บางทีอาจใช้เวลาสามเดือนไม่ก็ครึ่งปีคงเป็นไปได้กระมัง แน่นอนว่านี่คือการคาดเดาของข้าเท่านั้น มีแต่ผีสางที่รู้ได้เท่านั้นแหละว่าตอนนี้อาจารย์กำลังเดินทางกลับ หรือว่ายังไปไม่ถึงแผ่นดินผืนนั้นกันแน่”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว ผิดหวังในทันที “ดังนั้นก็หมายความว่าในระยะเวลาอันสั้นนี้ติดต่ออาจารย์ไม่ได้แล้วหรือ”
จิวมั่วเหอรีบส่ายหน้าทันควัน “ติดต่อน่ะติดต่อได้ ข้ามีวิธี แต่ว่าจะส่งข่าวไปกลับต้องใช้เวลาสามเดือนแล้ว”
อย่างไรก็ตามแผ่นดินอีกผืนหนึ่งนั่นก็อยู่ไกลมาก
ต่อให้เป็นนกอินทรีย์ที่มีความเร็วที่สุด บินไปกลับหนึ่งเที่ยวก็ต้องใช้เวลานานมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต้องบินข้ามมหาสมุทร ไม่แน่ว่านกอินทรีย์ยังไม่ทันบินข้ามไปถึงก็ร่วงสู่ท้องมหาสมุทรก่อนแล้ว ดังนั้นก็รับรองได้ยาก
แต่ก็ไม่ถึงขั้นไร้หนทางติดต่อเลย
เยี่ยเม่ยรับฟังแล้วถามทันทีว่า “อย่างนั้นไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ช่วยข้าหาทางติดต่อหน่อยเถอะ บอกเขาว่ามีเด็กหนุ่มชื่อไป๋หลี่จิ่นเฉิน…”
“เจ้าหมายถึงคุณชายอันดับหนึ่งในใต้หล้าคนนั้นน่ะหรือ” จิวมั่วเหอตัดบทนางทันที
เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความแปลกใจ “ท่านก็รู้จักหรือ”
จิวมั่วเหอยิ้มๆ เอ่ยว่า “เหตุใดจะไม่รู้จัก เขามีชื่อตั้งแต่อายุเยาว์ กระบี่เขาคมกริบที่สุด ว่องไวเป็นที่สุด ในโลกนี้ไม่มีกระบี่เล่มไหนที่ไวได้เท่าเขาอีกแล้ว ในยามปกติเจ้ายังไม่ทันเห็นเขาลงมือ กระบี่ก็กลับเข้าไปในฝักแล้ว กระทั่งเทพกระบี่โอวหยางเทายังยกย่องเขาเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกำลังภายใน อาศัยเพียงแค่ความเร็ว ในแผ่นดินของเรานี้ เกรงว่าจะมีแต่เจ้าและจิ่วหุนเท่านั้นที่อาจเทียบสูงต่ำกับเขาได้”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่เขาสามารถควบคุมมือของนางได้ ความจริงไม่ใช่เพราะเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีความเร็วเหนือกว่านาง แต่เพราะกำลังภายในของเขาแข็งแกร่ง ดังนั้นตอนนางลงมือ เขาถึงมองกระบวนท่านางออก
นี่ก็เป็นเพราะความสามารถโดยรวมของเขาสูงล้ำกว่านาง แต่เทียบกันด้านความเร็วแล้ว นางยังถือว่าได้เปรียบ
ส่วนนางและจิ่วหุนต่างก็เป็นนักฆ่า มีความเร็วขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่าไป๋หลี่จิ่นเฉินมีความเร็วได้ถึงขั้นนี้ อย่างนั้นก็คู่ควรให้ตกใจจริงๆ
พูดไปแล้ว จิวมั่วเหอเสริมขึ้นอีกว่า “อีกทั้งเจ้าหนุ่มนี่ยังเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่ง เทียบกับบิดาของเขาในปีนั้นแล้วยังมีชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วสี่แคว้น สยบทั้งเก้าดินแดนก็ไม่นับว่าพูดเกินไป ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความคิดอ่านล้วนเป็นมังกรในฝูงชน ทั้งในมือยังควบคุมหมู่ตึกเยว่มู่ เจ้าเคยได้ยินชื่อหมู่ตึกเยว่มู่หรือเปล่า”
เยี่ยเม่ยส่ายหน้า “ไม่เคย ”
จิวมั่วเหอแค่นหัวเราะเย็นๆ คำหนึ่ง เอ่ยว่า “เศรษฐีอันดับหนึ่งในใต้หล้าก็คือซ่างกวนจิ่นรุ่ย ส่วนคนที่เทียบความร่ำรวยกับเขาได้ในโลกนี้ก็มีแค่หมู่ตึกเยว่มู่ที่อยู่ในมือของไป๋หลี่จิ่นเฉินคนเดียวแล้ว”
“เข้าใจแล้ว” เยี่ยเม่ยพยักหน้า ดูท่าจะเป็นบุคคลร้ายกาจคนหนึ่ง เห็นจิวมั่วเหอเล่าด้วยสีหน้าสนอกสนใจ เยี่ยเม่ยก็อดเอ่ยไม่ได้ว่า “เหมือนท่านจะสนใจเขามากเลยนะ”
จิวมั่วเหอพลันสีหน้าแข็งค้าง เปลี่ยนเป็นเอ่ยว่า “ที่ไหนกันเล่า”
เห็นสีของเขาออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ถึงขั้นแดงก่ำขึ้นอย่างน่าสงสัย เยี่ยเม่ยหางตากระตุก ในใจพลันเกิดการคาดเดาอย่างหนึ่ง “ศิษย์พี่ คือว่า…หรือว่า ท่าน…”
คงไม่ใช่กระมัง
แต่เมื่อคิดๆ ดูก็ถูก ก่อนหน้านี้รู้จักกันที่ชายแดนมาตั้งนาน เมื่อพบเจอสตรีที่เพียบพร้อมอย่างนาง สายตาของศิษย์พี่ฉายแววชื่นชม แปลกใจ เสียดาย หวาดกลัว มีความรู้สึกดีๆ ถึงกระทั่งเกิดความปรารถนาครอบครอง แต่ไม่เคยมีความรัก
ความปรารถนาต่างกับความรัก ความปรารถนานั้นเป็นความต้องการครอบครองของบุรุษ เมื่อรู้สึกว่าเป็นของดีจึงอยากได้เป็นของตัวเอง แต่ว่าความรักนั้นต่างกัน ความรักก็คือความชอบที่มาจากหัวใจ
ตอนนี้เมื่อดูไปแล้ว หรือว่าจะชอบ…
จิวมั่วเหอรีบหันหน้ามา ตัดบทด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อย่าพูดเหลวไหล ข้าเคยเห็นแค่ภาพวาดของคนผู้นี้เท่านั้น ดังนั้นถึงได้สืบเรื่องเขามาบ้าง อยากคบหาเป็นพี่น้องเท่านั้นเอง”
“ใช่หรือเปล่า” เยี่ยเม่ยมองเขาด้วยความสงสัย
เห็นภาพวาดของผู้อื่นพลันอยากทำความรู้จักคนผู้นี้ล้วนไม่ใช่เพราะเกิดจิตปฏิพัทธ์หรืออย่างไร
เห็นท่าทางตีให้ตายก็ไม่ยอมรับของจิวมั่วเหอ เยี่ยเม่ยก็ไม่ถามมากอีกแล้ว
ก็ได้ อยากคบเป็นพี่น้องเท่านั้น เช่นนั้นก็เป็นแค่พี่น้องเถอะ นับตั้งแต่โบราณมิตรภาพระหว่างบุรุษก็มีไม่น้อย เยี่ยเม่ยแอบคิด
เมื่อคิดเช่นนี้ เยี่ยเม่ยจึงถามเขาอีกว่า “อย่างนั้นพวกท่านสองคนคบหากันได้หรือเปล่า”
“เปล่า” จิวมั่วเหอส่ายหน้า น้ำเสียงเต็มด้วยความเสียใจ เล่าว่า “เขาไม่เคยมาแผ่นดินผืนนี้ ข้าก็ยุ่งกับราชสำนักและการแย่งชิงอำนาจ ไม่เคยออกจากแผ่นดินผืนนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงไร้วาสนาได้พบหน้า ข้าก็แค่ได้เห็นภาพวาดเขาแล้วเกิดความประทับใจเท่านั้น”
จุ๊ จุ๊
ยังจะเกิดความประทับใจอีก นี่ก็คือจิตใจสับสนไม่ใช่หรืออย่างไร
อีกทั้งยังมีน้ำเสียงแกมเสียดาย…
เห็นหน้าตามีลับลมคมนัยของเยี่ยเม่ย จิวมั่วเหอก็ตระหนักได้ในทันที เขาหน้าแดงถลึงตาใส่เยี่ยเม่ย “พอแล้ว เจ้าอย่าคิดเหลวไหลอีกเลย จริงสิ เจ้าพูดถึงเขาเหตุใดกัน ข้าได้ยินมาว่าก่อนครึ่งปีก่อน เขาตาบอดแล้ว หรือว่าเจ้าพูดเพราะเรื่องนี้”
“ถูกต้อง” เยี่ยเม่ยพยักหน้า
ดูท่าศิษย์พี่จะใส่ใจไป๋หลี่จิ่นเฉินจริงๆ ผู้อื่นอาศัยอยู่แผ่นดินอีกผืนอันห่างไกล เรื่องที่ผู้อื่นตาบอดเมื่อครึ่งปีที่แล้วเขายังสืบมาอย่างชัดเจน หากบอกว่าไม่มีปัญหาเลยสักน้อย เพราะเห็นภาพวาดใบเดียวจึงคิดอยากทำความรู้จักคบหาเป็นสหาย จะมีใครเชื่อหรือเปล่า
อืม อาจมีคนไร้เดียงสาเชื่อก็ได้
แต่ว่าเยี่ยเม่ยไม่เชื่อ
พูดไปแล้ว เยี่ยเม่ยจงใจมองจิวมั่วเหอ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ หากมีหนทางรักษาตาของไป๋หลี่จิ่นเฉิน ท่านยินยอมช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ยินยอมแน่นอน” จิวมั่วเหอโพล่งคำตอบออกมาอย่างไม่ลังเล
เยี่ยเม่ยพยักหน้าอีกครั้ง
เห็นท่าพยักหน้าของเยี่ยเม่ย จิวมั่วเหอรู้สึกว่าตกหลุมพรางแล้ว เยี่ยเม่ยคิดหยอกแกล้งเขา
เขาหน้าตาเขียวคล้ำ “ข้าก็บอกไปแล้วไง ข้าแค่อยากคบเขาเป็นสหายก็เท่านั้นเอง เขาตาบอด ข้าก็อยากลงแรงช่วยบ้าง ในเมื่อดวงตาของเขาสวยเหมือนจันทร์กระจ่าง บอดไปเสียอย่างนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า ทวนประโยคของจิวมั่วเหออีกครั้ง “อืม ข้ารู้แล้ว ศิษย์พี่รู้สึกว่าดวงตาเขาสวยราวจันทร์กระจ่าง”
จิวมั่วเหอ “…” เรื่องนี้จะไม่ยอมจบใช่หรือไม่
ครั้นเห็นว่านางพูดต่อไป จิวมั่วเหอจะเปลี่ยนความเขินอายเป็นโมโหแล้ว เยี่ยเม่ยก็ไม่หยอกเขาต่อไปอีก “เอาล่ะ กลับมาที่เรื่องสำคัญ ข้าอยากพบอาจารย์เพราะเรื่องนี้ ท่านพูดถูกแล้ว เขาเป็นหมอเทวดาอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่เขาไร้หนทางรักษาตาตัวเอง ข้าถามอาหรุ่ยแล้ว อาจารย์เป็นคนของสำนักเทียนจี ไม่แน่ว่าอาจารย์อาจมีวิธีรักษาได้”
จิวมั่วเหอตบขาดังฉาดใหญ่ เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าครุ่นคิดใคร่ครวญมาครึ่งปี แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่า อาจารย์อาจมีหนทาง ศิษย์น้อง เจ้ายังคงฉลาดจริงๆ”
เขาตบขาฉาด
เยี่ยเม่ยมองเขาสายตาแปลกประหลาดทีหนึ่ง ความตื่นเต้นที่เหมือนจะกระโดดขึ้นมาแบบนี้ จะเป็นจริง…อย่างที่เขาพูดเมื่อครู่ว่าอะไรนะ ครุ่นคิดใคร่ครวญมาครึ่งปีหรือ คนที่ยังไม่เคยพบหน้าสักครั้ง เขาก็แค่มองภาพเหมือนของอีกฝ่ายครั้งหนึ่งก็ขาดสติแล้ว ถึงกับครุ่นคิดใคร่ครวญถึงครึ่งปีเชียวหรือ
หมายความว่าอย่างนี้ไม่ผิดแน่ ดูท่า จิวมั่วเหออยากจะคบหาเป็นเพื่อนกับ…ไป๋หลี่จิ่นเฉินจริงๆ
จิวมั่วเหอเห็นสายตาเยี่ยเม่ยก็รู้ว่าตัวเองเสียกิริยาไป
เขาวางมือปิดปาก กระแอมไอแห้งๆ แก้เก้อ จากนั้นเอ่ยว่า “เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องไร้สาระเสียที เรื่องนี้ข้าจัดการเอง แต่ว่าข้ามาหาเจ้า ยังมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง”