[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 395 : เฉิงเม่ยเฟิง!
เฉิงเม่ยเฟิงไม่กลัวตาย แต่ซันเทียนเปียวกลับมองว่าเธอดูมีความมั่นใจมากจนเกินไป จึงทำให้เขาลังเลสงสัยในคำพูดของเธอ
หากคิดวิเคราะห์ตามคำบอกเล่าของเฉิงเม่ยเฟิงแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่พบช่องโหว่ตรงใหนเลย เพราะซันเทียนเปียวเองก็รู้ว่าเรื่องราวบางส่วนที่เธอเล่าล้วนเป็นความจริง
เหอซิงหยานเป็นใครมาก่อนนั้น แม้แต่ซันเทียนเปียวเองก็ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้าของเขา แต่ความสัมพันธ์ของตระกูลซันกับเหอซิงหยานเริ่มต้นจากการที่เขาเข้ามาเป็นแขกของตระกูลซันก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้ช่วยเหลือตระกูลซันในสภาวะที่คับขัน และยากลำบากหลายครั้ง จนกระทั่งเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของตระกูลซัน
ซันเทียนเปียวเองก็เคยคิดว่า เหอซิงหยานน่าจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเก่าแก่ตระกูลไม่ตระกูลใดก็ตระกูลหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เขาคือคนขององค์กรนักฆ่าที่ใหญ่โตกว่าหลายเท่านัก!
แต่เพียงแค่การที่มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าปรากฏตัวจริง เหตุผลเพียงแค่นี้จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าองค์กรนักฆ่าคือผู้ที่ลงมือสังหารคนของตระกูลซันเช่นนั้นหรือ?
คนวงในต่างก็รู้กันดีว่า องค์กรนักฆ่านั้นล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ทุกอย่างมีเพียงเรื่องของธุรกิจและผลประโยชน์ องค์กรนักฆ่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวที่ไร้ผลประโยชน์!
เหอซิงหยานเป็นยอดฝึมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 และการจะได้รับความไว้วางใจจากตระกูลซันก็เป็นเรื่องยากลำบาก และเขาเองก็ใช้เวลาแฝงตัวอยู่ในตระกูลซันมานาน แสดงให้เห็นว่า เขาต้องมีหน้าที่ และเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การสังหารหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้ง!
อีกทั้งที่ผ่านมา เหอซิงหยานก็ทำหน้าที่เป็นคนที่คอยติดตาม และคอยคุ้มครองความปลอดภัยส่วนตัวให้กับนางหนิวเฟิ่นเหยียว เขามีโอกาสมากมายหลายครั้งที่จะสามารถทำอันตรายหนิวเฟิ่นเหยียวจนถึงแก่ชีวิตได้ เหตุใดจู่ๆ จึงเปิดเผยสถานะของตนเอง และประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลซัน?!
และหากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดที่ผ่านมาเหอซันจิ้ง และองค์กรนักฆ่าจึงไม่เคยลงมือเลย!?
เมื่อครู่เฉิงเม่ยเฟิงเล่าว่า ‘มีใครบางคนเพิ่มเข้ามา’ เรื่องนี้ก็น่าจะมีมูลความจริง เพราะจากที่เขาได้คุยกับหนิวเฟิ่นเหยียวทางโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าฝีมือของยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายค่อนข้างสูสีกัน คนของแต่ละฝ่ายจึงต้องช่วยกันเต็มที่ ไม่เช่นนั้นหนิวเฟิ่นเหยียวคงจะไม่มีโอกาสโทรเล่าให้เขาฟังได้แน่..
นางหนิวเฟิ่นเหยียวเป็นภรรยาของซันเทียนเปียว แน่นอนว่าเขาย่อมรู้นิสัยใจคอของเธอดีกว่าใคร หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่สุด มีหรือที่เธอจะยอมเสียหน้าประกาศยกเลิกการแต่งงาน!
ถ้าเช่นนั้น.. ยอดฝีมือที่มาใหม่คนนั้นเป็นใครกัน? หรือจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น?
และเพราะเหตุใดผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่จำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้ คล้ายกับคนที่สูญเสียความทรงจำไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง?
แต่เรื่องนี้ก็สลับซับซ้อนเกินกว่าที่ซันเทียนเปียวจะจินตนาการได้ และอยู่เหนือการควบคุมของเขา!
แม้ซันเทียนเปียวจะรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวัง แต่ก็เขาก็ยังคงนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้า สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เฉิงเม่ยเฟิง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“เธอกำลังพูดโกหก!”
ซันเทียนเปียวเคยเป็นศิษย์สำนักเส้าหลิน ประโยคที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นั้น เขาได้แอบใช้เสียงคำรามพูดกับเธอ ซึ่งแม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังมากมาย แต่ก็มีพลังความถี่ของคลื่นเสียงสูงจนเสียดแทงเข้าไปในรูหูของเฉิงเม่ยเฟิง
ซันเทียนเปียวตั้งใจใช้เสียงคำรามจัดการกับเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อหลอกล่อให้ยอดฝีมือที่คอยบงการเธออยู่เผยตัวออกมา!
ระหว่างยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 กับหญิสาวธรรมดาที่ไร้วรยุทธ มีหรือที่เธอจะสามารถต้านทานพลังที่แข็งแกร่งของซันเทียนเปียวได้ เฉิงเม่ยเฟิงไม่สามารถทนต่อคลื่นเสียงความถี่สูงเช่นนั้นไม่ได้ ร่างบอบบางของเธอถึงกับสั่นเทาขึ้นมาทันที!
เฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกอย่างซันเทียนเปียว ทำให้แววตาที่สงบนิ่งของเฉิงเม่ยเฟิงถึงกับเป็นประกาย และกระพริบถี่ด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะตะโกนตอบกลับไปว่า
“ฉันไม่ได้โกหก!”
สิ้นเสียงตะโกนของเฉิงเม่ยเฟิง ซันเทียนเปียวก็เดินลมปราณขั้นสูงสุด พร้อมกับจ้องมองไปยังประตูห้องรับแขก และอยู่ในท่าเตรียมพร้อมสำหรับรับมือกับการปรากฏตัวของสุดยอดฝีมือ!
บรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที และมีเพียงความเงียบเชียบที่ผิดปกติ ในเวลานี้.. หากมีเข็มตกลงพื้นสักเล่ม ทุกคนในห้องคงจะคิดว่าเป็นศัตรูอย่างแน่นอน!
หลังจากผ่านไปราวสิบห้าวินาที เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซันเทียนเปียวก็ได้แต่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก..
ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณผิดปกติใดๆ!
หลังจากที่สามารถควบคุมอารมณ์และความตระหนกตกใจของตัวเองได้แล้ว ซันเทียนเปียวก็นึกหัวเราะเยาะในความหวาดกลัวไปก่อนของตัวเอง เพราะหากมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 จริง เหตุใดเฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่กล้าเปิดเผยความจริง?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซันเทียนเปียวก็ได้แต่นึกโกรธในใจ ตาของเขาเป็นประกาย และเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ตาของเขาหรี่เล็กเข้าหากัน และจู่ๆก็หันไปจ้องหน้าเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เธอคิดว่าฉันจะโง่ให้เธอหลอกงั้นรึ?!”
เสียงคำรามของซันเทียนเปียวนั้นเยือกเย็น และสายตาดูราวกับจะฆ่าแกงเธอ ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงเข้าใจถึงความกดดันที่ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือ!
เธอจึงเข้าใจได้ทันทีว่า เพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง จนถึงกับไม่ยอมกลับมานอนที่อพาร์ทเมนท์เป็นเพื่อนเธอ!
ความจริงเธอเองก็พอจะรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับหลิงหยุนแล้วว่า ภายใต้ท่าทางที่สงบนั้น เขาเองก็ต้องเผชิญกับความกดดันในลักษณะนี้ด้วยตัวคนเดียวเช่นกัน!
หลิงหยุนซ่อนเธอไว้ในอพาร์ทเมนท์ของเขา ปกป้องเธอจากสายลมและสายฝน แต่ตัวเขาเองกลับต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอยู่ทุกวัน และบางวันก็กลับมาถึงบ้านดึกๆดื่นๆในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด และเสื้อผ้าขาดวิ่น..
แม้ว่าหลิงหยุนจะมีรอยยิ้มจางๆอยู่บนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับคำพูดที่เธอได้ยินจนชินหู – ไม่ต้องห่วงผม ผมไม่เป็นอะไร..
เฉิงเม่ยเฟิงยังจำได้ว่า เธอยังเคยตัดพ้อต่อว่าหลิงหยุนให้เสี่ยวเม่ยเม่ยฟังว่า เขาเป็นคนป่าเถื่อนและใจคอโหดเหี้ยม..
แต่หลิงหยุนกลับปลอบเธอว่า – อย่าคิดมาก.. วันข้างหน้าคุณจะค่อยๆเข้าใจ และคุ้นเคยไปเอง..
เฉิงเม่ยเฟิงยังจำคืนวันเทศกาลเชงเม้งได้ เมื่อเธอถูกจับตัวไป หลิงหยุนก็รีบตามมาช่วยได้ทันเวลา และแม้จะเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูมากมายที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังพูดปลอบปะโลมเธอ – ไม่ต้องกลัว.. สามีของคุณมาช่วยแล้ว!
และทันทีที่เธอได้ฟังคำพูดประโยคนั้นของหลิงหยุน เธอก็สะเทือนใจมากจนถึงกับร้องห่มร้องไห้ออกมามากมาย!
หลิงหยุนได้ทำเพื่อเธอหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วมีอะไรบ้างที่เธอทำเพื่อเขา? เธอจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง? เธอทำได้เพียงแค่ใช้เรือนร่างของตัวเองทำให้เขามีความสุขบนเตียงแค่นั้นหรือ?
ดวงตาคู่งามของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่ใสราวกับคริสตัล และแววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่มั่นคง เธอยังคงตอบกลับไปอย่างหนักแน่น
“ฉันพูดความจริง คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่!”
และนั่นทำให้แม่ชีมี่ยื่อได้แต่แอบพยักหน้าอย่างชื่นชม แม้ซันเทียนเปียวจะส่งเสียงคำรามเพียงเบาๆ แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะทนได้ แต่เฉิงเม่ยเฟิงกับมีจิตใจที่แน่วแน่และหนักแน่น นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า นอกจากเธอจะมีพรสวรรค์แล้ว ยังมีจิตใจที่แข็งแกร่งอีกด้วย!
แววตาของซันเทียนเปียวเต็มไปความเจ้าเล่ห์ เขาเริ่มถามคำถามเฉิงเม่ยเฟิง!
“คุณบอกว่ามีใครบางคนโผล่เข้ามา – เขาคือใคร?”
“ตอนนั้นฉันเป็นลมไปแล้ว จะรู้ได้ยังไง?” เฉิงเม่ยเฟิงตอบ
“ระหว่างที่มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าต่อสู้กับคนของตระกูลซันอยู่.. แล้วตอนนั้นหลิงหยุนทำอะไร? แล้วตอนนี้เขาอยู่ใหน?”
“เรื่องนั้น..” เฉิงเม่ยเฟิงอ้ำอึ้ง
“และหลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ทำไมคนขององค์กรนักฆ่า และคนของตระกูลซันถึงได้หายตัวไป แต่คนทางฝั่งเธอกลับไม่มีใครเป็นอะไร?!”
“และจากที่ฉันทำการสืบสวนมา คนในตระกูลเฉิงล้วนแล้วแต่จำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้เลยสักคน รวมถึงพ่อแม่และน้องสาวของเธอด้วย เรื่องนี้เธอจะอธิบายว่ายังไง?”
นอกจากซันเทียนเปียวจะยิงคำถามชุดใหญ่ใส่เฉิงเม่ยเฟิงแล้ว เขายังแอบใช้เสียงคำรามที่หนักหน่วงกว่าเดิมพูดกับเธอ ทุกคำพูดที่ทะลุเข้าสู่แก้วหูของเธอนั้น จึงไม่ต่างจากค้อนที่ตอกลงกลางใจของเฉิงเม่ยเฟิง เธอเจ็บปวดราดร้าวจนใบหน้าเริ่มซีด!
แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะได้เตรียมคำพูดมาอย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ภายใต้ความกดดันที่ได้รับจากซันเทียนเปียว เธอสามารถทรุดได้ตลอดเวลา และไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมาอีก
กิริยาท่าทางของเฉิงเม่ยเฟิงในเวลานี้ไม่ต่างจากการยอมรับสารภาพ และสภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันมาหลายคืน เธอแทบอยากทรุดตัวลงหลับเพื่อที่จะไม่ต้องพูดอะไรอีก
ซันเทียนเปียวเป็นยอดถึงฝีมือขั้นเซียงเทียน เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนยุ่งยากอะไร เพียงแค่เขาใช้เส้าหลินคำรามเขย่าจิตใจของเธอ และรอให้เธอตกอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ถึงตอนนั้น เธอก็จะต้องเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นออกมาจนหมด
“ฉัน.. ไม่.. รู้..”
เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกราวกับว่าแก้วหูของเธอนั้นกำลังจะระเบิดฉีกขาด และสมองของเธอก็ว่างเปล่า ก่อนจะกัดฟันพูดสามคำนั้นออกมา!
“งั้นรึ!”
ซันเทียนเปียวพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา และหยุดถามคำถาม แต่ยังคงพูดต่ออีกสองสามคำ หากเป็นคนธรรมดาคงต้องตกใจจนต้องพูดความจริงออกมาแล้ว แต่เฉิงเม่ยเฟิงที่เพิ่งจะได้ร่างกายที่เหมือนเกิดใหม่นี้กลับไม่ยอมพูด
“เฉิงเม่ยเฟิง เธอต้องคิดให้ถี่ถ้วน ภายใต้อาทิตย์ดวงนี้ ไม่มีเรื่องใดที่เป็นความลับ! ฉันมีศักยภาพพร้อมทุกอย่าง และสามารถสืบหาความจริงได้!”
“อีกสองสามวันข้างหน้า ฉันจะทำการสอบสวนเธออีกครั้งอย่างละเอียด ถ้าฉันพบว่าเธอยังกล้าโกหกฉันอีกล่ะก็ ฉันจะฆ่าครอบครัวของเธอทิ้งแน่!”
ซันเทียนเปียวพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง และดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวของเธอ
เฉิงเม่ยเฟิงนั้นนับว่าเป็นหญิงสาวที่สวยมาก และภาพที่เธอกัดฟันแน่น ทำให้เธอดูสวยเป็นพิเศษในสายตาของซันเทียนเปียว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด
“ซันเทียนเปียวคุณรับปากกับฉันแล้ว จะกลับคำพูดงั้นเหรอ? ไม่อายหรือยังไง?” เฉิงเม่ยเฟิงที่มีท่าทีสงบอยู่นาน กลับพูดออกมาด้วยความเกลียดชัง
ซันเทียนเปียวยิ้มอย่างเย็นชา “ใช่.. ฉันรับปากกับเธอ! แต่อย่าลืมว่า.. อยู่ในเงื่อนไขที่ว่าถ้าเธอพูดความจริงเท่านั้น!’
“คิดจะล้อเล่นกับคนอย่างซันเทียนเปียว เธอยังอ่อนหัดนัก!”
จากนั้นซันเทียนเปียวก็ยกมือขึ้นโบกพร้อมกับตะโกนออกไปว่า
“เข้ามา!”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของซันเทียนเปียว ยอดฝีมือที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาทันที
“พาเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปหาครอบครัวของเธอ ถ้าไม่มีคำสั่งของฉัน ห้ามไม่ให้เธอติดต่อกับโลกภายนอกเด็ดขาด!”
เมื่อเห็นว่าชายร่างใหญ่สองคนจะมาจับตัวเธอ เฉิงเม่ยเฟิงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับโซฟาพยุงตัวไว้ ร่างบอบบางของเธอโซเซพร้อมกับร้องขึ้นมาว่า
“ฉันเดินเองได้.. กรุณาคืนหนังสือฉบับนั้นให้กับฉันด้วย!”
ต่อหน้ายอดฝีมือที่เก่งกาจทั้งสามคน ซันเทียนเปียวไม่กล้าทำตุกติกให้เสียชื่อ เขาจึงคืนหนังสือยกเลิกการแต่งงานให้กับเฉิงเม่ยเฟิงไป และมองตามยอดฝีมือทั้งคู่ที่กำลังพาเธอออกไป
“ทั้งสามท่านอย่าได้ติดใจในเรื่องนี้?”
หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงออกไป ซันเทียนเปียวก็ปรับเปลี่ยนสีหน้า และรีบหันไปพูดคุยกับยอดฝีมือทั้งสามทันที
เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้แต่พูดขึ้นว่า “อามิตตาพุทธ.. สาวน้อยผู้น่าสงสาร เรื่องนี้ช่างประหลาดนัก เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น สลับซับซ้อนเกินกว่าที่พวกเราจะเดาได้!”
นักพรตเต๋าแห่งสำหนักเหมาซานได้แต่พึมพำ “นั่นสิ.. เด็กสาวคนนั้นก็พูดจาคลุมเครือ ยังไงก็ต้องตรวจสอบให้รอบคอบ”
แม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซินกลับปัดแส้ในมือ และได้แต่เงียบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ