ดื่มชาหลังอาหารเสร็จ เสวียนจีก็หาเจ้าของร้านพบ ถามว่า “ขอถามท่านอา ทราบไหมว่าหมู่บ้านนี้มีตระกูลใหญ่แซ่จ้าวไหม ตระกูลแซ่จ้าวที่มีพี่ชายน้องชายรวมสามคนพี่น้อง”
เจ้าของร้านคิดไปมาพลันกล่าวว่า “อ้อ หรือว่าเป็นบ้านตระกูลจ้าวตอนเหนือหมู่บ้านนั่น เอ๋ สถานการณ์ที่นั่นแย่ยิ่งกว่าพวกเราที่นี่อีกนะ ไม่มีที่นาทำกิน แม้แต่อาหารการกินยังเป็นปัญหาเลย”
จงหมิ่นเหยียนดื่มชาไปหมดแก้ว กล่าวว่า “เช่นนั้นรบกวนท่านอาบอกทางพวกเราด้วย พวกเราต้องการไปบ้านตระกูลจ้าวสักหน่อย”
เจ้าของร้านรีบตอบรับทันที สั่งการให้คนงานในร้านเตรียมรถม้าหลังร้าน พลางยิ้มกล่าวว่า “นายท่านทั้งสามไปปราบผี ต้องการเตรียมน้ำมนต์เลือดสุนัขไหม ข้าจะให้พวกเขาไปเตรียม…”
หลิงหลงหัวเราะดังลั่น เท้าเอวท่าทางได้ใจเต็มที่ กล่าวว่า “อันใดคือน้ำมนต์เลือดสุนัข นั่นมันของที่พวกนักพรตไร้คุณธรรมเอามาหลอกผู้คน! พวกเจ้านี่ ยังคิดว่าของพวกนั้นใช้ได้จริง? ผู้บำเพ็ญเซียนกำจัดปีศาจขจัดภูตผี อาศัยเพียงแค่กระบี่เล่มหนึ่งก็เพียงพอแล้ว วันหน้าหากพวกเจ้าพบเรื่องบัดซบเช่นใช้น้ำมนต์เลือดสุนัขมาหลอกกินหลอกดื่มอีก ก็ควรใช้ไม้กระบองขับไล่ไปถึงจะถูกต้อง!”
เจ้าของร้านผู้นั้นเห็นนางหน้าตางดงามกระจ่างหมดจด ท่าทางมั่นใจ ทำเอาจิตใจคล้อยตามไปนานแล้ว จึงพยักหน้ารับคำติดๆ กัน
จงหมิ่นเหยียนแอบดึงนางมากระซิบว่า “หลิงหลง แต่ละสำนักก็มีเคล็ดลับของแต่ละสำนัก น้ำมนต์เลือดสุนัขก็ใช่ว่าต้องเป็นสิ่งลวงหลอกผู้คน ใต้หล้ากว้างใหญ่ พวกเราเห็นมาเท่าไรกัน อย่างไรก็อย่ากล่าวฟันธงเช่นนั้นดีกว่า”
หลิงหลงแค่นเสียงฮึขึ้นจมูก กำลังจะโต้เถียงกับเขา เสวียนจีที่ด้านข้างๆ กลับยิ้มกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง อาจารย์ก็เคยบอกกับข้าเช่นนี้ น้ำมนต์เลือดสุนัขเป็นวิธีการในหมู่ชาวบ้านที่ใช้ขจัดสิ่งชั่วร้าย พวกนักพรตพเนจรล้วนใช้วิธีการนี้ ไม่แน่ว่าเป็นเรื่องลวงหลอกผู้คน”
หลิงหลงเห็นว่าตั้งแต่ออกเดินทางมาพวกเขาสองคนเอาแต่ขัดคอตนเองทุกเรื่อง ทำเอาตนเองราวกับชอบก่อเรื่อง อดไม่พอใจไม่ได้ กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ใช่สิ อย่างไรข้ามักจะผิดอยู่แล้ว เจ้าสองคนมักจะถูกเสมอ ทำไมยังมากับข้าล่ะ พวกเจ้าสองคนไปกันเองเลย!”
กล่าวจบนางก็วิ่งออกไปทันที ไม่สนใจเขาสองคน
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้ว ถอนใจกล่าวว่า “กี่ปีมาแล้ว นิสัยยังคงดื้อรั้นเหมือนเดิม คนรอบกายกล่าวอันใดก็ไร้ประโยชน์!”
เสวียนจีเดิมคิดกล่าวบางอย่าง แต่หวนคิดว่ายามนี้ตนเองไม่ควรกล่าวเสริม ได้แต่นิ่งเงียบไปเฉยๆ จนเดินออกไปนอกประตู นางพลันหันกลับไปยิ้มให้ทั้งสองที่ยังคงงอนกันอยู่ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ารุดหน้าไปก่อน ไปดูสถานการณ์บนเขา พวกเราเจอกันที่บ้านตระกูลจ้าวคืนนี้”
หลิงหลงยังไม่ทันได้ปฏิเสธ นางก็กลายเป็นลำแสงสีขาว หายลับไปจากสายตาแล้ว
“ล้วนเป็นเพราะเจ้าไม่ดี!” หลิงหลงโมโหใส่จงหมิ่นเหยียน “ทำเสวียนจีโมโหหนีไปคนเดียวแล้ว! หากนางเกิดเหตุอันใด ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเลย!”
กล่าวจบ นางก็เหินกระบี่ไป ทิ้งจงหมิ่นเหยียนไว้ที่เดิมด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก
อยู่กับหลิงหลงบางครั้งก็รู้สึกมีความสุขหาใดเทียม แต่บางครั้งเขาเองก็เหนื่อย
หลิงหลงราวกับเพลิงไฟที่โลดเต้นงดงามลูกหนึ่ง อยู่กับนางก็จะไม่เบื่อหน่าย แต่ใกล้กับไฟมากไป ก็ล้วนมีจุดจบที่ต้องถูกไฟแผดเผาบาดเจ็บ
หลายปีมาแล้ว อยู่กับนาง โตมากับนาง เพื่อจะไม่ถูกไฟแผดเผาบาดเจ็บ เขามักจะยอมอ่อนให้แล้วอ่อนให้อีก จนกระทั่งร่างจนถูกฝังจมดินแล้ว ถึงกับลืมไปแล้วว่าตนเองคือใคร ราวกับการมีอยู่ของเขานั้นเพื่อหลิงหลงคนเดียว
จริงนะ รู้สึกเหนื่อยบ้างแล้ว
เขาถอนหายใจยาวขึ้นในใจ เป็นครั้งแรกที่ไม่คิดตามไป กลับค่อยๆ เริ่มเดินทางมุ่งไปทางเหนือ มุ่งตรงไปยังบ้านตระกูลจ้าวลำพังอย่างไม่รีบร้อน
ภูเขาตอนเหนือของหมู่บ้านวั่งเซียนมีชื่อที่น่าสนใจมาก ชื่อว่า ‘เขาไห่หวั่น’ แปลว่าชามใบใหญ่ เพียงเพราะรูปร่างภูเขาเหมือนกับชามใหญ่คว่ำ ดังนั้นจึงตั้งชื่อเช่นนี้
เสวียนจีเหินกระบี่ ไม่นานก็มาถึงเขาไห่หวั่น ทิ้งตัวลงตามระยะความสูงกลางหลังเขา
สถานการณ์ที่นี่จริงๆ แล้วยังรุนแรงกว่าที่จ้าวเหล่าต้าว่าไว้เสียอีก เสวียนจีอ้อมชายป่าเดินไประยะหนึ่ง พบว่าเนินเขาทางชายป่าตอนบนครึ่งหนึ่งมีกองหญ้าแห้งอยู่เต็มไปหมด ใบเรียวยาวราวกับใบกูไช่ น่าจะเป็นหญ้าจู้อวี๋
หญ้าแห้งพวกนั้น บ้างถูกถอนออกมาพร้อมราก บ้างถูกตัดเป็นสี่ห้าท่อน กองกระจัดกระจายไปทั่วพื้น กองกันหนาชั้นหนึ่ง มองแล้วเหมือนว่ามีคนร่างยักษ์หลายคนมาเล่นสนุกกันที่นี่ แกล้งทำลายแปลงหญ้าจู้อวี๋ผืนใหญ่ทั่วบริเวณนี้
นางก้มลงไปเก็บหญ้าจู้อวี๋ที่ถูกดึงขาดขึ้นมาท่อนหนึ่ง ใช้มือลองขยี้เบาๆ ก้อนดินด้านบนร่วงกราว มองแล้วหญ้าพวกนี้ไม่เหมือนถูกตัดด้วยอาวุธคม รอยขาดเบี้ยวไปมาไม่ตรง น่าจะถูกฉีกขาด
นางเพิ่มแรงนิ้วมือลองกระชากให้ขาด ผลปรากฏว่าใช้แรงเจ็ดส่วนจึงจะฉีกหญ้าแห้งขาด
ในใจนางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ดูแล้วสิ่งที่ก่อความวุ่นวายที่นี่รับมือไม่ง่าย
เสวียนจีโยนหญ้าแห้งทิ้ง กำลังจะไปหาร่องรอยที่อื่นต่อ พลันเงยหน้าปะทะกับลมหอบหนึ่ง หญ้าแห้งบนพื้นถูกพัดลอยขึ้น ปลิวว่อนทั่วท้องฟ้า บดบังทัศนวิสัยสิ้น
นางรีบใช้แขนเสื้อบังหน้า กลับได้ยินเสียงหวีดแหลมของลมดังปะทะกาย ราวกับมีสิ่งของใหญ่มากบินผ่านไป ตอนนั้นนางไม่อาจสนใจสิ่งใด ลมพัดจนต้องหรี่ตา พอเงยหน้ามองก็เห็นเพียงแสงสีเงินราวกับแสงกระบี่ทั่วพื้น พริบตาก็หายไปไร้ร่องรอย
เป็นปีศาจ! นางได้กลิ่นคาวลอยมากับกระแสลม รีบเหินกระบี่ไล่ตามกลิ่นไป
ไล่ไปได้ระยะหนึ่ง ดังคาด เห็นกลางป่าเบื้องหน้ามีแสงสีเงินสว่างวาบ ราวกับของบางอย่างวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เห็นมันเลื้อยไป เคลื่อนไหวราวกับงู เสวียนจีพลันตะลึงงัน ในความทรงจำเหมือนเคยเห็นภาพนี้ เป็นงูสีเงินตัวหนึ่ง…
ขณะกำลังตกในภวังค์ พลันได้ยินเสียงลมด้านหลัง นางรีบชักกระบี่กันไว้ เสียง ตึง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง สิ่งของหนึ่งกระแทกกับกระบี่นางรุนแรงมากยิ่ง กระบี่ในมือเกือบจับไม่อยู่ ปวดแปลบง่ามมือมากจนเกือบทำกระบี่หลุด
“ผู้ใด?!” นางส่งเสียงตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง รีบหยุดมองไปรอบกาย เห็นเพียงท้องฟ้ากระจ่างใส ต้นไม้ป่าเขาเขียวขจีเบื้องล่าง ไหนเลยจะเห็นร่องรอย!
ตอนหันไปมองอีกที ปีศาจลำแสงสีเงินนั่นก็หายไปแล้ว
เสวียนจีค้นหาอีกครู่หนึ่งก็ยังคงไร้ร่องรอย ได้แต่เหินกระบี่บินกลับไปบ้านตระกูลจ้าว
พอลงถึงพื้นก็เห็นจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลง ทั้งสองหันหลังใส่กัน ยืนอยู่ตรงนั้นไม่พูดกันสักคำ
ในใจนางยิ้มเฝื่อน เดินเข้าไปหาถามว่า “หาบ้านท่านจ้าวพบไหม”
หลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนกล่าวพร้อมกันว่า “พบแล้ว อยู่ตรงนั้น…”
กล่าวไม่ทันจบ ทั้งสองพลันตะลึงงัน เห็นอีกฝ่ายชี้ไปทิศทางเดียวกับตนเองก็ใจเต้นแรง อดหดมือกลับไม่ได้
จงหมิ่นเหยียนกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เมื่อครู่ได้พบกับหลานของท่านจ้าวแล้ว ให้ดูภาพนั้นแล้ว เด็กนั่นครู่หนึ่งบอกเหมือน ครู่หนึ่งก็บอกไม่เหมือน คิดว่าวาจาเด็กน้อยมักจะไม่แน่นอน อย่างไรพวกเรารอขึ้นเขาไปดูเองคืนนี้แล้วกัน”
เสวียนจีพยักหน้า เล่าเรื่องที่ตนประสบที่หลังเขาไห่หวั่นให้ฟังรอบหนึ่ง ทั้งสองคนได้ยินว่าปีศาจร้ายกาจเช่นนี้ก็พากันเงียบ
“ทำอย่างดี หรือเป็นปีศาจอายุมากที่พวกเราไม่อาจรับมือ” หลิงหลงถามอย่างหวาดกลัว
จงหมิ่นเหยียนขมวดคิ้วไม่กล่าวอันใด
เสวียนจีลูบผมกล่าวว่า “คืนนี้ไปดูค่อยว่ากันเถอะ…ในเมื่อมันไม่ได้ทำร้ายคน คิดว่าคงไม่ใช่ปีศาจชั่วอันใด ไล่มันไปก็พอ…”
กล่าวไม่ทันจบ พลันมีของสิ่งหนึ่งกลิ้งออกมาจากแขนเสื้อนางตกลงพื้น
หลิงหลงก้มลงไปเก็บ กล่าวอย่างแปลกใจว่า “นี่คืออะไร…ข้าวพอง?”
นางหยิบของกินเล่นสีเหลืองทองนั่นยกขึ้นดู ทั้งสามตาโตจ้องมองข้าวพองเม็ดนั้นที่ทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ในใจพลันสงสัยสับสน
เสวียนจีพลันนึกถึงอาวุธลับที่ซัดมาด้านหลังศีรษะขึ้นมาได้ทันที หรือว่าถึงกับเป็นข้าวพอง?
นางหยิบข้าวพองมาวางไว้ในฝ่ามือ มองไปมองมา พลันรู้สึกสับสน