ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 10 ขอให้เซียนขับไล่ปีศาจ (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

นางมองข้าวพองสีเหลืองทองส่งกลิ่นหอม

 

 

เคยมีหนุ่มน้อยผู้หนึ่งหัวเราะพลางเขย่าเล่นไปมา ก่อนจะโยนให้งูสีเงินตัวน้อยตัวหนึ่ง หนุ่มน้อยผู้นั้นมีใบหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งสองดำขลับลุ่มลึก มักจะวางท่าทางเข้มงวด

 

 

แต่นางก็รู้ว่าเขาเป็นคนดี

 

 

แต่ตั้งแต่นั้นมา นางไม่เคยได้พบคนเช่นเขาอีกเลย คนที่อ่อนโยนและอ่อนไหวเช่นนั้น คนที่หยิ่งทระนงและเข้มแข็ง

 

 

เป็นเขาหรือ จะเป็นเขาหรือ

 

 

“เจ้าเหม่ออีกแล้ว…ยามนี้อย่าเหม่อลอยได้ไหม” หลิงหลงพลันเหินกระบี่เข้าไปใกล้ ตบบ่านาง “ระวังร่วงลงไป นี่บินอยู่บนฟ้านะ!”

 

 

เสวียนจีพลันได้สติคืนมา ยิ้มให้นางเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้ากำลังคิด…”

 

 

“คิดว่าใช่ซือเฟิ่งหรือไม่ ใช่ไหม” หลิงหลงส่งเสียงหัวเราะขัดนางขึ้น พลางกอดอกปล่อยให้ลมกลางคืนพัดเสื้อและผมยาวของนางโบกสะบัด

 

 

“คิดไปก็ไร้ประโยชน์! ผู้ใดให้เจ้าตลอดสี่ปีไม่ยอมเขียนจดหมายถึงเขา! ตอนนั้นก็บอกเจ้าแล้วว่าหายดีแล้วให้เขียนจดหมายถึงเขา คนเขากำชับหลายรอบ! ปรากฏเจ้ากลับลืม ช่างสมองสุกรจริง!”

 

 

เสวียนจีได้แต่ยิ้มเฝื่อน พวกเขากล่าวได้ไม่ผิด บางครั้งตนเองก็สมองสุกรจริง ลืมผู้ใดก็ไม่เป็นไร แต่ดันลืมเขียนจดหมายให้ซือเฟิ่งได้อย่างไร

 

 

หลิงหลงเห็นนางสลดลง ก็ยิ้มกล่าวว่า “เอาน่า ลืมก็ลืมไปแล้ว! หากตอนบ่ายคนผู้นั้นเป็นซือเฟิ่งจริง พวกเราก็จะได้เจอแล้วไม่ใช่หรือ อย่าเสียใจไป เขาน่าจะไม่อยากเห็นเจ้าไร้ชีวิตชีวาเช่นนี้แน่”

 

 

เสวียนจีส่ายหน้า มองไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดไร้ขอบเขตไกลโพ้นออกไป

 

 

นางไม่ได้เศร้าใจ นางเพียงแค่นึกเสียใจภายหลัง ตนเองทำผิดต่อคนผู้หนึ่งอย่างไร้เหตุไร้ผลอีกครั้งแล้ว สี่ปีมานี้ไม่มีข่าวคราวแม้แต่น้อย เขาต้องไม่พอใจมากเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นตอนบ่ายเหตุใดจึงไม่ยอมพบนาง

 

 

“ข้าว่า สมองสุกรของเจ้านี่คงเหมาะแต่เหม่อลอย ไม่เหมาะคิดเรื่องราว” ไม่รู้ว่าจงหมิ่นเหยียนเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไร กล่าวน้ำเสียงเสียดสีเล็กน้อย “ทำหน้าราวมะระขม คิดว่าเหม่อลอยยังเหมาะกับเจ้ามากกว่านะ”

 

 

เสวียนจีนิ่งอึ้งไปดังคาด กลายเป็นจงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงตบมือหัวเราะดังแทน พากันกล่าวว่า “เช่นนี้เลย! เช่นนี้เลยที่เหมาะกับเจ้า!”

 

 

นางเกาหัวอย่างเขินอาย หรือว่านางเหมาะกับท่าทางเหม่อลอยจริงๆ

 

 

แน่นอน คำถามนี้ไม่เหมาะให้นำมาคิดในตอนนี้ เขาไห่หวั่นอยู่ด้านล่างนี้แล้ว ทั้งสามเหินลงไปพร้อมกัน เสื้อผ้าปลิวไสวส่งเสียงดังท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน

 

 

“กลิ่นอันใด!” หลิงหลงพลันอุดจมูกขมวดคิ้ว “ทั้งคาวทั้งเหม็น!”

 

 

เสวียนจีเองก็อุดจมูก กล่าวเบาๆ ว่า “เป็นกลิ่นเช่นตอนบ่ายนั่น เป็นปีศาจ!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนชักกระบี่ออกมา เตรียมพร้อมระวัง กระซิบว่า “ระวัง รอบๆ ราวกับมีบางอย่างอยู่”

 

 

ทั้งสามมองไปด้านล่างพร้อมกัน กลางคืนมืดมิด ด้านล่างดำมืดไปหมด มองไม่เห็นสิ่งใด รู้สึกเพียงกลิ่นคาวยิ่งแรงขึ้น หลิงหลงทนไม่ไหวแล้ว อ้าปากอยากจะอาเจียน พยายามฝืนกล่าวว่า “ไม่เอา…! ข้าไม่อยากลงไปแล้ว!”

 

 

เสวียนจีพลันหยุดนิ่ง ควักประทัดออกจากอกเสื้อกระบอกหนึ่ง สลัดนิ้วมือเรียกเปลวไฟดวงน้อยมาจุดไฟแล้วโยนลงไป

 

 

ได้ยินเสียง ปัง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง รอบด้านสว่างขึ้นทันที ทั่วหุบเขาราวกับกลางวัน ด้านล่างดำมืดเหมือนมีบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไรกองรวมกันอยู่ พอปะทะกับแสงสว่างก็พากันตกใจกระพือปีกบินขึ้นพร้อมกัน แผดเสียงร้องประหลาดดังว่า ฉวีหรู ฉวีหรู

 

 

ทั้งสามรู้สึกถึงกลิ่นคาวปะทะเข้ามา ทำเอาแทบอาเจียน รีบบินขึ้นสูงอีกหน่อย ผู้ใดจะรู้ว่าฝูงนกประหลาดด้านล่างกลับบินได้เร็วยิ่งกว่า พริบตาฝูงใหญ่ดำทะมึนก็ล้อมอยู่ด้านบนเต็มไปหมด ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ไม่รู้ว่าพวกมันรวมตัวกันหนาแน่นตั้งเท่าไร รู้สึกเพียงว่าสองตาของพวกมันราวกับลูกไฟ น่ากลัวอย่างยิ่ง

 

 

หลิงหลงเห็นพวกมันล้อมเข้ามาก็ตกใจส่งเสียงหวีดร้องดัง ชักกระบี่ต้วนจินที่เอวออกมาตวัดออกไป

 

 

กระบี่ต้วนจินเป็นกระบี่วิเศษ หลายปีมานี้นางใช้งานได้ดังใจจนคล่องมือ ยามนี้ถูกนางตวัดออกไปทีหนึ่ง ในเวลากระชั้นชิด กระบี่ก็เปล่งเสียงกระจ่างดัง แสงทองวาดวงกลมสายหนึ่งพุ่งออกไป พริบตาก็ปะทะใส่นกประหลาดฝูงใหญ่ เลือดเหม็นคาวราวกับหยาดฝนร่วงลงมาไม่ขาดสาย

 

 

หลิงหลงแตกตื่นตกใจ รู้สึกเพียงว่ามีบางสิ่งสาดรดตัวนาง นางพลันได้สติคว้ามาดู เป็นขนนุ่มนิ่มพร้อมโลหิตไหลย้อย เป็นหัวนกตัวหนึ่ง คอเดียวแต่มีสามหัวติดกัน มันยังไม่ตายทันที ดวงตาราวไฟผีสีแดงฉานสามคู่จ้องมองมาที่นางเขม็ง

 

 

นางส่งเสียงหวีดร้องตกใจ แทบจะร้องไห้ ปากเอาแต่ตะโกนเพียงว่า “เจ้าหก! เจ้าหก! เจ้าอยู่ที่ไหน?!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนตรงข้างกายนางก็แทงนกประหลาดที่ตกใจบินเข้ามา ได้ยินนางส่งเสียงร้องไห้เช่นนี้ ก็รีบเหินเข้าไปหา เอื้อมมือออกไปดึงนางมาไว้ข้างหลังตน พลันได้ยินเสียงลมด้านหลัง เขาฟันกระบี่ไปตามความรู้สึก พริบตากระบี่ก็ประสานพลังแปรเปลี่ยนเป็นแสงกระบี่นับไม่ถ้วน ฟาดใส่นกประหลาดร่วงลงพื้น

 

 

“ไม่เป็นไรใช่ไหม?! บาดเจ็บไหม” เขารีบหลบฝูงนกประหลาดไปอีกทางพลางตะโกนถามขึ้น

 

 

หลิงหลงกอดเอวเขาไว้แน่น สะอื้นขึ้นว่า “ข้า…ไม่เป็นไร เพียงแต่…ตกใจ…”

 

 

ท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ ไหนเลยจะเหมือนหลิงหลงที่ไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดินผู้นั้น นางอาจจะแค่ปากบอกว่าไหว แต่แท้จริงแล้วลึกๆ ยังคงเป็นเด็กหญิงขี้กลัว

 

 

จงหมิ่นเหยียนถอนหายใจหันกลับไปมอง ไม่เห็นเงาร่างเสวียนจีแล้ว เขาเหงื่อออกท่วมตัว ร้อนใจร้องว่า “เสวียนจีล่ะ?!”

 

 

หลิงหลงพอได้ยินว่าหาเสวียนจีไม่พบ ในเวลาเพียงพริบตาก็ลืมความกลัว มองไปรอบทิศอยู่นานแต่ไม่เห็นเงาร่างน้อง นางร้อนใจร้องไห้อีก “เร็ว…! ส่งข้าขึ้นกระบี่ข้าตรงนั้นเร็ว! ข้าต้องหานาง! นาง…นางต้องถูกนกประหลาดพวกนี้กระแทกตกลงไปแล้ว!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนสะบัดกระบี่ไล่ฝูงนกประหลาดถอยกลับไป พุ่งเข้าปะทะสังหารทุกทิศทางจนเกิดเป็นเส้นทางสีเลือดกลางท้องฟ้าสายหนึ่ง หลิงหลงมองกระบี่จากระยะไกล เห็นกระบี่นางถูกนกประหลาดใช้กรงเล็บหนีบไว้ ส่องประกายแสงสีเขียวอ่อนกำลัง รีบเข้าไปใกล้ยืดตัวเอื้อมมือคว้าด้ามกระบี่ ตวัดกระบี่ต้วนจิน เพียงชั่วพริบตาเจ้านกนั่นก็ถูกตัดออกเป็นสี่ห้าท่อน แผดเสียงร้องดังก่อนร่วงลงไป

 

 

นางเอี้ยวตัวขึ้นยืนบนกระบี่มั่น ปาดเลือดบนใบหน้าทิ้ง กล่าวดุดันว่า “เจ้านกพวกนี้ หากกล้าทำร้ายน้องสาวข้า ข้าจะสับพวกมันเป็นหมื่นชิ้น! สับให้เละเป็นเนื้อบด!”

 

 

ยามนี้กล่าวดุดันเช่นนี้ แต่เมื่อครู่ทั้งร้องไห้พลางตะโกนคือผู้ใดกัน

 

 

จงหมิ่นเหยียนไม่มีแก่ใจสัพยอกนาง เพียงมองไปรอบด้าน หวังว่าจะเห็นเงาร่างสีเขียวของเสวียนจี พลันเห็นบนศีรษะมีกลุ่มเงาดำก้อนหนึ่งขยายใหญ่ขึ้น ทั้งสองเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน เห็นนกประหลาดพวกนั้นสลัดพวกเขาทิ้งไปไม่ไยดี พากันบินขึ้นไปรวมตัวกัน แผดเสียงร้องดังแสบแก้วหูยิ่ง

 

 

มองเห็นพวกมันไปรวมตัวเป็นก้อนกลมดำมหึมาก้อนหนึ่ง ถึงกับยังมีนกประหลาดบินขึ้นไปไม่หยุด เบียดกันเข้าไป ราวกับด้านในมีสิ่งล่อหลอกอันใด ทั้งสองมองตาค้าง

 

 

พลันได้ยินกลางก้อนกลมดำนั้นมีคนฟันฉับเสียงดังเสียงหนึ่ง ตามมาติดๆ ด้วยมังกรเพลิงสามสายพุ่งออกมาจากด้านใน ฝูงนกแตกตื่นตกใจพากันหาที่หลบ แต่ก็ยังมีหลายตัวมากมายนับไม่ถ้วนถูกเผาเกรียมอยู่ตรงนั้น มังกรเพลิงสามสายล้อมเป็นวงกลม ไล่ล่านกประหลาดสามหัวพวกนั้น พลันกลิ่นไหม้เกรียมก็ปกคลุมกลิ่นคาว กลายเป็นกลิ่นที่ยากจะทนรับไหวยิ่งกว่าเดิม

 

 

ทั้งสองเห็นแต่ศูนย์กลางแสงเพลิงที่ทะยานขึ้นฟ้า มีดรุณีน้อยชุดเขียวยืนอยู่อย่างมั่นคง เป็นเสวียนจี นางกำลังหลับตาว่าคาถา น่าจะเป็นเพราะคาถาเรียกเพลิงที่รุนแรงเกินไป ทำให้นางเหมือนยากจะทานรับไหวอยู่บ้าง หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมาเต็มไปหมด สองมือกำลังสั่นเทาเล็กน้อย

 

 

“มังกรเพลิงสามสาย! นางกำลังเสี่ยงตาย?!” จงหมิ่นเหยียนรู้ความร้ายกาจ รีบเหินขึ้นไปช่วย

 

 

ที่น่าแปลกก็คือ นกประหลาดพวกนั้นเห็นชัดว่ามองเห็นหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียน แต่กลับไม่บินเข้าใส่ รอบกายเสวียนจีมีมังกรไฟล้อมรอบ เข้าใกล้เล็กน้อยก็จะถูกเผาไหม้เกรียมได้ พวกมันยังคงไม่ยอมจากไป คำรามแผดเสียงวนรอบนางไม่ยอมเลิกรา

 

 

จงหมิ่นเหยียนเคยเห็นสถานการณ์นี้ เขาพลันคิดถึงภาพเมื่อสี่ปีก่อน อินทรีกู่เตียวที่บาดเจ็บตัวนั้นเสี่ยงตายจะเข้ามาในทางแยกเพื่อกินเสวียนจี

 

 

แท้จริงนางคืออันใดกันแน่ เหตุใดมารปีศาจพวกนี้มักจะหาเรื่องนาง

 

 

เขาเปล่งลำแสงกระบี่ยิงใส่นกประหลาดร่วงลงมากองใหญ่ กำลังจะเรียกเสวียนจีมา พลันมีนกประหลาดสิบกว่าตัวทะยานขึ้นฟ้า บินไปเหนือศีรษะเสวียนจีที่ไม่มีมังกรเพลิง บินดิ่งลงมา!

 

 

“เสวียนจีระวัง!”

 

 

หลิงหลงตะโกนเสียงแหลม กำลังจะขึ้นไป ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีถูกนกประหลาดพวกนั้นชน ถึงกับไร้แรงต้านทาน มังกรเพลิงรอบกายพลันดับวูบ

 

 

ทั้งสองคนมองนางหัวปักร่วงหล่นลงไปอย่างทำอันใดไม่ได้