เสวียนจีร่วงลงไป ในเวลานั้นคิดยกมือคว้ากระบี่ไว้ แต่นกประหลาดรอบกายนางมากเกินไป บินเบียดกันเข้ามา นางถึงกับไม่อาจขยับเขยื้อน นิ้วมือเกี่ยวด้ามกระบี่ไม่อยู่ กระบี่ลื่นหลุดร่วงลงไป
ข้างหูได้ยินเพียงเสียงหวีดร้องของหลิงหลง นางไม่ทันฟังให้ชัดก็ร่วงลงไปอย่างรวดเร็ว
นกประหลาดพวกนั้นแผดเสียงร้องดังพุ่งตามไป พริบตาก็ล้อมนางไว้ตรงกลางจนกลายเป็นก้อนกลม ร่วงลงไปพร้อมกัน เสวียนจีหลบหลีกการโจมตีซ้ายขวาจากกรงเล็บแหลมไปมา พวกมันมีจำนวนมากเกินไปจริงๆ กระบี่นางอีกเล่มถูกขัดไว้ ชักอย่างไรก็ไม่ออก ไม่กี่ทีก็พลันรู้สึกว่าเจ็บปวดแขนด้านหลังอย่างยิ่ง ก็ไม่รู้ถูกกรงเล็บแหลมเกี่ยวไปกี่แผลแล้ว
นางได้แต่กุมศีรษะแน่น เพื่อไม่ให้กรงเล็บพวกมันโดนใบหน้านาง เสียโฉมไปคงได้แย่จริงๆ แล้ว ยามนี้พลังไม่พอ ร่วงลงไปอีก ไม่อาจเรียกมังกรเพลิงออกมาได้แม้ครึ่งสาย ได้แต่ฝืนใช้พลังที่เหลืออยู่น้อยนิดปกป้องรอบกายไว้ ตอนตกลงพื้นจะได้ไม่ถึงกับพิการ
เกรงแต่ว่าพอตกลงพื้นเจ้านกประหลาดพวกนี้ยังไม่ยอมปล่อย จะมาจับนางกินอีก ตอนนั้นนางคงได้แต่ปล่อยให้มันจัดการตามอำเภอใจแล้ว ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานแม้แต่น้อยแล้ว
กำลังคิดเหลวไหลไปมา พลันได้ยินห่างออกไปไม่ไกลนักมีคนเป่าปากเสียงดัง เสียงดังยาวสามเสียง สั้นหนึ่งเสียง นางฝืนตัวหลบกรงเล็กแหลมของนกประหลาด มองไปทางนั้น ไหนเลยจะเห็นชัด! รู้สึกเพียงแสงหนึ่งกระทบตาเลือนราง เร็วราวสายฟ้า เลื้อยไปมากลางอากาศราวกับงูตัวหนึ่ง
ในใจนางพลันบีบเกร็งแน่น เห็นแสงสีเงินสายนั้นพุ่งมารวดเร็ว กระโดดไปมาคล่องแคล่วบนหลังนกประหลาด เพียงแตะโดน เจ้านกพวกนั้นก็จะหมดสิ้นพลัง บินไม่ขึ้นอีก
เสียงเป่าปากฝั่งตรงข้ามยังคงเป่าต่อ ราวกับเป่าเป็นบทเพลงท่วงทำนองประหลาดอันใด บัดเดี๋ยวสั้น บัดเดี๋ยวยาว บ้างเนิบนาบ บ้างเร่งเร้า แสงสีเงินนั่นบิดตัวไปตามท่วงทำนองเพลงของเขา บินทะยานขึ้นฟ้า ในเวลาชั่วพริบตา นกประหลาดที่บินรอบตัวนางพวกนั้นถูกปะทะร่วงไปเกือบครึ่ง
ในที่สุดเสวียนจีก็มีช่องว่าง ขณะกำลังก้มตัวลงเล็กน้อย ศีรษะไม่ทันระวังกระแทกเข้ากับนกประหลาดตัวหนึ่งข้างๆ หยกประดับผมบนศีรษะแตก ผมยาวราวแพรไหมสลายลงมา วาดเป็นวงงดงามสายหนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้า ยามนี้นางไม่อาจสนใจจะจัดผม ยกมือคว้าผมยาวไว้ เท้าขวาแตะต้นไม้ แปรเปลี่ยนเป็นพลังตัวเบาลอยลงสู่พื้น
ยังมีนกประหลาดไม่รู้จักที่ตายพุ่งเข้ามาจะจับนางกิน นางชักกระบี่ออกมารับมือ ผู้ใดจะรู้ว่าข้างหลังใบหูนางพลันมีเสียงลมเสียดดังมา นางรีบก้มตัวลงทันที ได้ยินเพียง ปึก ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ของสิ่งหนึ่งปักเข้ากลางอกนกประหลาดตรงหน้าตัวนั้น แทงทะลุกระดูกหน้าอก
ตามมาด้วยเสียงดังติดๆ กันกลางท้องฟ้า คิดว่ามีคนด้านหลังใช้หนังสติ๊กยิงไม่หยุด คืนเดือนมืดเช่นนี้ คนผู้นั้นถึงกับสายตาร้ายกาจเช่นนี้ ยิงทีร่วงที สุดท้ายเสวียนจีไม่ต้องลงมือ เพียงแต่ยืนมองอยู่ข้างๆ ก็พอ ในเวลาไม่นาน คนผู้นั้นใช้หนังสติ๊กยิงนกประหลาดที่เหลืออีกสิบกว่าตัวตายหมด บนพื้นมีซากนกประหลาดกองหนาเป็นชั้นเต็มไปหมด กลิ่นคาวเลือดยากทนรับไหว
ยามนี้แม้แต่เสวียนจีก็ทนไม่ไหว คว้าถุงหอมที่เอวขึ้นมาสูดดมไม่หยุด กลัวว่าหากสูดกลิ่นนี้เข้าไปอีก อาหารเย็นก็คงอาเจียนออกมาหมดแล้ว
“แม่นางไม่เป็นไรใช่ไหม”
เสียงหนึ่งพลันแว่วดังมาจากป่าข้างๆ เสวียนจีรีบหันกลับไปมอง เห็นชายชุดเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังต้นไป๋หยาง ในมือถือหนังสติ๊กเหล็กสีดำที่ขนาดใหญ่กว่าหนังสติ๊กยิงทั่วไปสองเท่า คิดว่าเมื่อครู่คนที่ใช้หนังสติ๊กยิงนกประหลาดตายก็คือเขา
เสวียนจีส่ายหน้าเดินเข้าไปหา พึมพำกล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณเจ้า”
ยามนี้แสงจันทร์ดับมืดลง นางเข้าใกล้มาสองสามก้าว รู้สึกเพียงว่าคนผู้นั้นร่างสูงผอม ผมดำ ฟังเสียงแล้วเหมือนชายหนุ่มอายุน้อย เพียงแต่มองใบหน้าไม่ชัด
คนผู้นั้นประสานมือให้นางเล็กน้อยจากระยะไกล กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เล็กน้อย ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ สหายแม่นางน่าจะใกล้มาถึงแล้ว ข้าน้อยขออำลา”
กล่าวจบ เขาก็หันกายจะจากไป เสวียนจีใจเต้นแรง รีบกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน…รอสักครู่! เจ้า…หันมา…เจ้า เจ้าคือ…?”
คนผู้นั้นหันกลับมา ยามนี้เสวียนจีมองกระจ่างได้ในที่สุด ใบหน้าเขาสวมหน้ากากอสุรา! นางสะดุ้งยกมือชี้เขาทันที แต่กลับกล่าวอันใดไม่ออกสักคำ
คนผู้นั้นยังกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ข้า หรูอี้ ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ ไม่ทราบแม่นางยังมีอันใดชี้แนะ”
หรูอี้? ที่แท้ไม่ใช่เขา…แต่ไม่สนใจแล้ว อย่างไรก็เป็นคนตำหนักหลีเจ๋อ!
“ซือเฟิ่งอยู่ที่ใด” นางถามถามตรงๆ ง่ายๆ คิดก็ไม่ทันคิด
หรูอี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับไม่รู้จะตอบอย่างไร น่าจะไม่คิดว่านางจะถามเช่นนี้
“คือ…แม่นาง เจ้า…”
“เจ้ารู้จักซือเฟิ่งไหม” นางรู้สึกตนเองถามไม่ดี ดังนั้นจึงเปลี่ยนคำถาม
“แม่นาง…เอ่อ…”
“เจ้าเคยพบซือเฟิ่งไหม” เปลี่ยนคำถามอีก
“ข้า…ข้า…”
“ก็คือซือเฟิ่ง…เจ้าน่าเคยพบกระมัง” เหตุใดฟังไม่เข้าใจ นางถามตรงเช่นนี้แล้ว
พลันมีเสียงหัวเราะดังมาจากบนต้นไม้ ทั้งสองเงยหน้ามองพร้อมกัน ได้ยินคนบนต้นไม้ผู้นั้นกล่าวว่า “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินคนถามคำถามเช่นนี้! เป็นคนประหลาดจริง”
เสียงนั้นนุ่มนิ่มออดอ้อน เหมือนเป็นเด็กหญิง เสวียนจีกำลังเพ่งมองให้ละเอียด พลันเงาร่างจากบนต้นไม้ก็เหินลงมายืนอยู่เบื้องหน้านาง คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ย หนึ่งชาย หนึ่งหญิง
ผู้หญิงน่าจะเป็นคนกล่าววาจาเมื่อครู่ นางสวมชุดขาวแขนเสื้อกว้างไหล่แคบ ใบหน้างดงาม สองตาส่องประกาย กำลังเผยรอยยิ้มบางมองนาง
ผู้ชาย…สวมชุดเขียว ร่างสูงผอม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ยืนหันหลังให้นาง ไม่รู้มองอันใด
ในใจเสวียนจีกระตุกไหว รู้สึกว่าคนผมดำขลับผู้นั้น เงาแผ่นหลัง ท่ายืน…ไม่มีอันใดไม่คุ้นเคย นางกำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินคนผู้นั้นเป่าปากหลายเสียงเบาๆ ขึ้นฟ้า ชั่วเวลาพริบตา แสงสีเงินที่ช่วยนางไว้สายนั้นก็ม้วนตัวกลับมา กลับเข้าแขนเสื้อเขา มุดเข้าไปแล้วก็เงียบกริบ
ได้ยินเสียงคนผู้นั้นถอนหายใจยาว กล่าวเบาๆ ว่า “ที่แท้ เจ้ายังจำข้าได้”
กล่าวจบ เขาก็หันกายกลับมา เห็นหน้ากากอสุราบนใบหน้าชัดเจน
เสวียนจีแทบจะกระโดด พุ่งเข้าไปราวกับลูกธนูกล่าวตื่นเต้นว่า “เจ้า…คือว่า…เหตุใดเจ้า…”
นางกล่าวไม่เป็นภาษา อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง กล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พูดเบาหน่อย ไม่เจอกันทำไมสี่ปี กลายเป็นเจ้าติดอ่างไปแล้ว”
“อา! ซือเฟิ่ง เจ้าพูดภาษาจงหยวนได้แล้ว!” นางชี้หน้าเขาตะโกนดัง
เดิมข้าก็พูดเป็น…เขาแอบโต้ในใจอย่างเสียไม่ได้ กล่าวอีกว่า “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ผู้ใดจะรู้ว่าเสวียนจีไม่ได้ยินคำถามเขาแม้แต่น้อย นางคว้ามือเขาไว้ สีหน้าเบิกบานราวบุปผาวสันต์ผลิบาน ยิ้มกว้าง กล่าวอย่างตื่นเต้น “เป็นเจ้าจริงด้วย! เป็นซือเฟิ่งจริงด้วย! ทำไมเจ้าสวมหน้ากากอีกแล้ว เกิดข้าจำไม่ได้จะทำอย่างไร”
อวี่ซือเฟิ่งสะอึกในลำคอ เป็นนานจึงได้กระซิบว่า “เจ้ายังคงจำได้…ไม่ใช่หรือ”
“ไม่ใช่เลย! หากเจ้าไม่พูด ข้ายังไม่กล้าแน่ใจ!” เสวียนจีดึงมือเขามาเขย่าเหมือนกับตอนเด็ก ไม่มีความรู้สึกถือสาธรรมเนียมใดแม้แต่น้อย
อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ชักมือกลับ ใบหูเริ่มแดง เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข้าจำเจ้าได้ ก็พอแล้ว”
เสวียนจีแทบไม่ได้ฟังเขาพูดว่าอันใด เอาแต่ส่งเสียงเรียก ซือเฟิ่ง ซือเฟิ่ง สุดท้ายเรียกจนหรูอี้ที่อยู่ข้างๆ หลุดหัวเราะออกมา แม้แต่ดรุณีน้อยงดงามผู้นั้นก็แอบลอบยิ้ม
อวี่ซือเฟิ่งเคาะศีรษะนางเบาๆ ทีหนึ่ง อมยิ้มกล่าวว่า “ยังไม่เปลี่ยน ไร้จิตไร้ใจเหมือนเมื่อก่อน เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่คนเดียว ลงเขามาฝึกฝนเหมือนกันหรือ”
เสวียนจีกำลังจะกล่าว กลับได้ยินเสียงเรียกของหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนดังมาด้านหลัง เขาทั้งสองหานางพบแล้ว