ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 12 ยินดีที่ได้พบกัน

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

“เสวียนจี! เสวียนจี! เจ้าอยู่ไหน?!”

 

 

หลิงหลงตะโกนดังที่สุด ยังมีเสียงสะอื้นไห้เจือปน สั่นเครือราวกับจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ เสวียนจีได้ยินนางตะโกนเช่นนี้ ตนเองไม่เป็นอะไรก็อดหลั่งเหงื่อเย็นไม่ได้ นางตะโกนราวกับเรียกวิญญาณเลย…

 

 

“ข้า…ข้าอยู่นี่” นางรีบวิ่งไปกวักมือเรียกสองคนที่ร้อนใจอย่างที่สุด

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?!” จงหมิ่นเหยียนพุ่งเข้ามารวดเร็วราวลูกธนู คว้าไหล่นางไว้ มองแต่หัวจรดเท้า เสื้อผ้าบนตัวนางฉีกขาดหลายแห่ง รอยเลือดเป็นสาย ดีที่ไม่บาดเจ็บหนัก พอเขาแน่ใจเรื่องนี้แล้ว จึงได้วางใจโล่งอก พลันรู้สึกว่าตนเองแสดงอารมณ์ไม่ถูกต้องนัก จึงรีบปล่อยนาง รู้สึกผิดที่ขาดสติเกินไป

 

 

หลิงหลงเป็นพวกไม่อาจระงับใจ พอเห็นเสวียนจีก็วิ่งเข้าไปกอดแขนไว้ไม่ยอมปล่อย ร้องไห้จนขี้มูกโป่งน้ำตานอง พลางบ่นไม่หยุดราวกับยายแก่ตัวน้อย

 

 

เสวียนจียกมือหนึ่งกอดนางไว้พลางยิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ข้า…ข้าไม่เป็นไร หลิงหลง…ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้า เจ้าดูนี่ มีคนดูอยู่นะ! อย่าร้องไห้แล้ว…ซือเฟิ่งก็อยู่…”

 

 

ทั้งสองกำลังตื้นตันดีใจ ได้ยินชื่อซือเฟิ่ง จึงได้รู้สึกว่าว่าในป่าด้านหลังมีคนยืนอยู่สามคน สองคนในนั้นล้วนอยู่ในชุดเขียวสวมหน้ากาก จงหมิ่นเหยียนระงับความตื่นเต้นไม่อยู่ รีบก้าวเข้าไปจับมือคนผู้หนึ่ง กล่าวว่า “ซือเฟิ่ง! ไม่ได้พบกันสี่ปี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

 

 

หลิงหลงไม่สนใจตาที่ยังแดงอยู่ รีบปรี่เข้าไปถามว่า “เป็นเจ้าที่ช่วยเสวียนจีหรือ ซือเฟิ่งคนดี! ขอบคุณเจ้ามาก!”

 

 

คนผู้นั้นยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้า หรูอี้แห่งตำหนักหลีเจ๋อ…”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งข้างๆ กระแอมไอขึ้นเสียงหนึ่ง แสร้งทำเป็นโมโหกล่าวว่า “จำผิดกันหมดเลย ผู้ใดกล่าวว่าพี่น้องสนิทกันชั่วชีวิต”

 

 

จงหมิ่นเหยียนท่าทางเก้กัง รีบปล่อยมือหรูอี้ หันกลับไปชกอวี่ซือเฟิ่งหมัดหนึ่ง อวี่ซือเฟิ่งโต้กลับเขาด้วยหมัดหนึ่ง ทั้งสองจับมือกันทันที เผยรอยยิ้มขึ้นพร้อมกัน

 

 

“หมิ่นเหยียน เจ้าสูงขึ้น กำยำขึ้น! หลายปีมานี้บำเพ็ญเพียรสัมฤทธิ์ผลกระมัง” อวี่ซือเฟิ่งตบบ่าเขา แสดงท่าทางราวกับเพื่อนสนิทพบกัน

 

 

จงหมิ่นเหยียนยิ้มกล่าวว่า “เจ้าก็เหมือนกันนี่! ตัวสูงเท่าข้าเลย…อ้อ เหมือนพูดคล่องขึ้นด้วย?! ไม่ติดอ่างเหมือนก่อนแล้ว”

 

 

เจ้าสิติดอ่าง! ในใจอวี่ซือเฟิ่งโต้กลับรุนแรง แต่สีหน้ายังคงกระจ่างไม่แปรเปลี่ยน อย่างไรก็อยู่ต่อหน้าศิษย์ร่วมสำนัก ไม่อาจไม่ระงับกิริยาอาการ เขาพูดภาษาจงหยวนไม่ติดอ่างแล้ว เป็นเพราะสี่ปีมานี้ฝึกฝนทุกวันคืน…ก็เพื่อจะได้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่แสดงความรู้สึกออกไปไม่เป็น ทำให้สูญเสียสิ่งมีค่าบางอย่างไป

 

 

พวกเขาจากกันไปสี่ปี ได้พบกันอีกครั้ง ย่อมต้องมีวาจามากมายอยากจะกล่าวกัน ไม่สนใจว่ายามนี้อยู่ท่ามกลางป่าเขา ใต้คืนจันทร์อับแสงและลมพัดแรง อยากจะลงนั่งสนทนาเสียในตอนนี้ คุยกันจนฟ้าสางไปเลย

 

 

หรูอี้ที่อยู่ข้างๆ ฟังพวกเขารำลึกความหลังกันอย่างออกรสออกชาติ ดรุณีน้อยชุดขาวทนไม่ไหว กว่าจะรอจังหวะพวกเขาหยุดพูดก็นานอยู่ไม่น้อย รีบกล่าวแทรกขึ้นกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง…ที่นี่หนาวมาก พวกเรากลับไปค่อยคุยกันเถอะ ดีไหม”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกลับไม่ตอบ

 

 

หลิงหลงสังเกตเห็นดรุณีน้อยชุดขาวผู้นี้ เด็กผู้หญิงชอบเทียบความงามกัน โดยเฉพาะเห็นผู้ที่งามใกล้เคียงกับตนเองก็จะแอบพิเคราะห์อีกฝ่ายไม่รู้กี่รอบ ยามนี้เห็นนางกล่าวสนิทสนมกับอวี่ซือเฟิ่ง ในใจอดไม่พอใจไม่ได้

 

 

ในใจหลิงหลง ซือเฟิ่งเป็นของเสวียนจี นางมั่นใจว่าเสวียนจีชอบซือเฟิ่ง ซือเฟิ่งเองก็รักมั่นเสวียนจี ยามนี้ถึงกับมีสตรีอรชรอ่อนหวานแทรกเข้ามา นางจะไม่รู้สึกไม่ดีได้อย่างไร!

 

 

หลิงหลงจึงได้ยู่ปากกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง แม่นางนี้คือใคร”

 

 

ดรุณีน้อยก็เหมือนว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน เห็นหลิงหลงหน้าตาโดดเด่น ยามพูดกลับมีน้ำเสียงกระทบกระเทียบก็ไม่พอใจขึ้นมา ส่งเสียงฮึเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง

 

 

หรูอี้เป็นคนซื่อ ยามนั้นจึงยิ้มแนะนำขึ้น “แม่นางผู้นี้คือแม่นางลู่เยียนหรานแห่งเกาะฝูอวี้ ข้ากับซือเฟิ่งออกมาฝึกฝน พอดีพบกับแม่นางลู่ นางพลัดหลงกับศิษย์ร่วมสำนัก ดังนั้นจึงร่วมเดินทางมากับพวกเรา”

 

 

หลิงหลงได้ยินคำว่าเกาะฝูอวี้ อดหันไปมองนางไม่ได้ ยิ้มกล่าวว่า “พวกเรากำลังจะไปเกาะฝูอวี้เยี่ยมท่านอาตงฟาง บังเอิญมาพบเรื่องผีอาละวาดที่นี่ ดังนั้นจึงอยู่ตรวจสอบ ใช่แล้ว พี่ชายท่านนี้คือ…?”

 

 

หรูอี้ได้แต่เอ่ยสำนักตนเองขึ้นอีกครั้ง “ข้า หรูอี้ ศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อ คุณหนูใหญ่ฉู่ คุณหนูรองฉู่ จอมยุทธ์จง โปรดชี้แนะด้วย”

 

 

เขามีมารยาทเช่นนี้ ทุกคนก็ต้องพากันแนะนำตัวเอง เห็นชัดว่าเป็นคนแบบเช่นตู้หมิ่นหัง

 

 

ทั้งสามคนจากสำนักเส้าหยางจึงรู้สึกดีกับเขาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

 

“เหมือนว่านั่งนานไป รู้สึกหนาวอยู่บ้างแล้ว…ไม่สู้พวกเรากลับไปกันเถอะ ซือเฟิ่ง พวกเจ้าพักที่ไหน”

 

 

เสวียนจีลุกขึ้นปัดฝุ่นและเศษหญ้าตามร่างกายไปมาพลางถามขึ้น

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มกล่าวว่า “อยู่ที่เดียวกับพวกเจ้า…บ้านตระกูลจ้าว พวกข้าเองก็ได้ยินว่าที่นี่มีผีอาละวาด ดังนั้นจึงมาดูกัน”

 

 

เสวียนจีพลันนึกถึงข้าวพองที่กระเด็นโดนอย่างน่าแปลกใจตอนบ่ายที่ผ่านมา ยังมีแสงสีเงินที่พาดผ่านกลางป่านั่น อดตื่นเต้นไม่ได้ กล่าวว่า “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็เห็นพวกเราตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วสิ? เหตุใดไม่เรียกข้า! แสงสีเงินนั่น…คือเสี่ยวอิ๋นฮวากระมัง ตอนนี้มันร้ายกาจมาก!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง เป็นนานจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่ได้ติดต่อกันสี่ปี…ข้าคิดว่า เจ้าอาจลืม…ข้า”

 

 

เขาไม่คิดพูดถึงเรื่องที่ตนเองรออยู่ตำหนักหลีเจ๋อถึงสี่ปี ไม่ได้รับจดหมายสักฉบับ เขาไม่อยากย้อนกลับไปคิดถึงความรู้สึกเช่นนั้นอีก ไม่อยากคิดจริงๆ

 

 

ในที่สุดเสวียนจีก็ละอายใจอย่างรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ ก้มหน้ากล่าวขอโทษว่า “ขอโทษด้วย ข้า…ข้าเป็นสุกรตัวหนึ่ง ข้าลืมเจ้า…เจ้าด่าข้าสิ”

 

 

ลืม…เขาหัวเราะขื่นขมขึ้นในใจ เคาะหน้าผากนางทีหนึ่ง กล่าวอ่อนโยนว่า “กลับกันก่อนเถอะ กลับไปแล้วค่อยว่ากัน”

 

 

การกลับไปครานี้เป็นการพบกันอีกครั้งอย่างครึกครื้น หนุ่มสาวหลายคนขอยืมตะเกียงน้ำมันจากบ้านตระกูลจ้าวมาสองดวง จากนั้นนั่งอยู่ในห้องโล่งคุยกันจนดึกดื่นเที่ยงคืน

 

 

คุยกันจนขอบฟ้าเริ่มมีแสง เห็นฟ้าใกล้สางแล้ว ลู่เยียนหรานทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หาวขึ้นกล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ข้าจะไปนอนแล้ว…ซือเฟิ่ง เจ้าก็ไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปตรวจสอบมารปีศาจอาละวาดอีก”

 

 

จงหมิ่นเหยียนพอได้ยินมารปีศาจอาละวาดจึงกล่าวว่า “ที่แท้พวกเจ้าเองก็มาตรวจสอบเรื่องนี้ เป็นอย่างไรบ้าง มีร่องรอยไหม นกประหลาดสามหัวพวกนั้นแท้จริงแล้วเป็นมาอย่างไร”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวว่า “นกเหล่านั้นชื่อว่าฉวีหรู เป็นปีศาจชนิดหนึ่ง แม้ว่าดูดุร้าย แต่กลับไม่ได้มีภัยอันใด ไม่ค่อยโจมตีใส่ผู้คน ได้ยินว่าพวกมันชอบกินรากหญ้าจู้อวี๋ ดังนั้นพวกข้าสงสัยว่าอาจเพราะหญ้าจู้อวี๋ผืนใหญ่ที่นี่ชักนำพวกมันมา”

 

 

หลิงหลงพลันระลึกได้ “ที่แท้เป็นเช่นนี้! พวกมันดมกลิ่นได้ว่าที่นี่มีหญ้าจู้อวี๋ ดังนั้นจึงมากิน! ไม่ทำร้ายคนก็ไม่เป็นไร”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ก็ไม่อาจด่วนสรุป หลายปีผ่านมานี้ ที่นี่แต่ไรมาไม่เคยประสบเหตุนกฉวีหรูฝูงใหญ่มากินหญ้าจู้อวี๋ อาจมีคนควบคุมพวกมัน ส่วนว่าจุดประสงค์เพื่ออันใด พวกข้าก็ยังตรวจสอบไม่พบ”

 

 

หลิงหลงรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกข้าร่วมมือกับพวกเจ้าสืบหาด้วยกัน! อย่างไรพวกข้าก็ออกมาฝึกฝนตน หลายคนร่วมแรงกำลังยิ่งมาก! อยู่ด้วยกันก็ครึกครื้นดี!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกับหรูอี้ยังไม่ทันกล่าวอันใด พลันได้ยินลู่เยียนหรานข้างๆ หาวหวอด ส่งเสียงหัวเราะขึ้นเสียงหนึ่ง กล่าววาจาเนิบนาบว่า “ศิษย์ลงเขาครั้งนี้ของสำนักเส้าหยางไม่มีความสามารถพิเศษอันใดเลย นกฉวีหรูไม่กี่ตัวก็รับมือไม่ไหว เกิดมาคอยเป็นตัวถ่วงกันจะทำอย่างไร?”

 

 

“เอ่อ แม่นางลู่ อย่า…”

 

 

หรูอี้รีบเข้ามาแก้สถานการณ์ แต่ปรากฏว่าสายไปเสียแล้ว หลิงหลงกระโดดขึ้นชี้หน้านางพลางตวาดดุดัน “เจ้าว่าอะไรนะ?! ลองพูดอีกทีสิ!”

 

 

ทว่าลู่เยียนหรานกลับยิ้มเล็กน้อย บิดขี้เกียจกล่าวว่า “ไม่มีอันใดต้องกล่าว รีบไปนอนเถอะ ยังต้องไปตรวจสอบอีก อย่าให้พอถึงเวลาตื่นไม่ไหว พวกข้าไม่รอพวกเจ้า…”

 

 

หลิงหลงไหนเลยจะทนไหว ชักกระบี่ต้วนจินออกมาทันที กล่าวน้ำเสียงเอาจริงว่า “เจ้าดูถูกพวกข้าหรือ ไม่สู้ว่าออกไปด้านนอกตอนนี้เลย ดูว่าผู้ใดคอยถ่วงผู้ใด!”

 

 

ลู่เยียนหรานรีบไปหลบหลังอวี่ซือเฟิ่ง หัวเราะแหะๆ กล่าวว่า “แม่นางดุจัง…ผู้ใดจะเล่นอาวุธกับเจ้ากัน …เก็บแรงไว้รับมือมารปีศาจเถอะ”

 

 

หลิงหลงเป็นคนตรงไปตรงมา ไหนเลยจะเคยพบสตรีที่ลิ้นตลบตะแลงเช่นนี้ จึงโมโหตัวสั่นขึ้นมาทันที

 

 

จงหมิ่นเหยียนรั้งไหล่หลิงหลงไว้ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ไม่ต้องกล่าวมากความอีก หลิงหลง ไม่นานก็รู้ผลแล้ว ไยต้องต่อปากต่อคำให้มากความ”

 

 

หลิงหลงแค่นเสียงฮึ ก่อนจะเก็บกระบี่คืนฝัก ถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง

 

 

“ซือเฟิ่ง…” เสวียนจีดึงแขนเสื้อเขา ราวกับลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง

 

 

อารมณ์ความรู้สึกเขาภายใต้หน้ากากย่อมมองไม่เห็น หากน้ำเสียงกลับอ่อนโยน “ไว้พวกเราไปด้วยกัน เด็กดี ไปนอนเถอะ ตื่นมาจะให้เจ้าดูเสี่ยวอิ๋นฮวาว่าโตแล้วเป็นอย่างไร”

 

 

ในที่สุดเสวียนจีก็ถูกปลอบจนเบิกบาน พยักหน้าโดดตัวลอย ไม่สนใจมองคนแปลกหน้าข้างๆ สองคน ตนเองไปนอนทันที