บทที่ 60 ปีศาจลามก

บุหลันเคียงรัก

พูดแล้วปีศาจไหวก็ก้าวเท้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ทำให้แสงรัศมีเทพส่องใบหน้าของเขาสว่างขึ้นมา 

 

 

เสียงของเขาฟังดูชรา แต่ว่ารูปโฉมของเขากลับยังเยาว์วัยมากอย่างคาดไม่ถึง เพียงแต่รูปโฉมอัปลักษณ์ยิ่งนัก เขามีรูจมูกกว้างราวกับหมู ดวงตาเล็กและฟันเหลือง ท่าทางที่เขาแสดงออกมาดูดุดันจนทำให้เหล่าเทพอายุน้อยที่เห็นรูปโฉมงดงามเป็นนิจเหล่านี้รู้สึกรังเกียจขึ้นมา 

 

 

เสวียนอี่ใช้แขนเสื้อปิดปากแล้วหดตัวไปด้านหลัง จากนั้นก็พลันส่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่ว่า “อืม จะยกศิษย์พี่หญิงเหยียนสยาให้เขาไม่ได้” 

 

 

…หรือว่าเมื่อครู่นี้นางคิดจะทิ้งเหยียนสยาไว้ 

 

 

ฝูชางพลันกระทืบเท้าเบาๆ ภายในหลุมก็สั่นสะเทือนขึ้นมา จากนั้นแสงกระบี่สีน้ำเงินก็ครอบคลุมไปทั่ว ปีศาจไหวตนนั้นกลับไม่ได้มีฝีมืออะไร เขาหลบการสั่นสะเทือนอย่างยากลำบาก ทันใดนั้นแขนก็ถูกแสงกระบี่สองสายตัดผ่านจนทำให้ร่างเขาถูกลากไปด้านหลัง เขาถูกแสงจากกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาและตรึงร่างเขาติดไว้กับผนัง เพลิงหงส์อมตะทำให้ผมและเสื้อผ้าของเขามอดไหม้ไปทั้งหมดอีกครั้ง 

 

 

ใครจะรู้ว่าเขากลับกลายเป็นควันสีเทากลุ่มหนึ่งแล้วรวมเป็นร่างคนใหม่อีกครั้งอย่างไร้ร่องรอยบาดเจ็บ เห็นท่าทีของปีศาจไหวแล้ว ฝูชางก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ไม่รู้ทำไม เขาพลันนึกไปถึงมือของฝางเฟิงจื่อที่รวมกลับมาได้ใหม่นับครั้งไม่ถ้วนคู่นั้นขึ้นมา 

 

 

ปีศาจไหวหัวเราะเสียงเย็น “บาดแผลข้าสามารถสมานกันได้ไม่รู้จบ แต่ว่าพลังเทพของพวกเจ้ากลับมีข้อจำกัด หากว่าเทียบกันแล้วช่างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ตระกูลจู๋อินนี่ก็ยังอายุน้อยนัก พลังเทพมีเบาบาง อย่างมากก็สามารถคุ้มครองพวกเจ้าไม่ให้ถูกภาพมายากระทบได้อีกไม่กี่วัน หากว่าข้าคิดจะฆ่าพวกเจ้าจริง ข้าจะเสียเวลาอยู่ที่นี่กับพวกเข้าอีกหลายปีก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าวันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป ขอแค่พวกเจ้าทิ้งองค์หญิงของจักรพรรดิแดงเอาไว้ นี่ถือเป็นความเมตตาสูงสุดของข้าแล้ว” 

 

 

ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ว่าที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด พวกเขาต่างก็ยังไปไม่ถึงระดับเหนือสรรพสิ่งหลับใหลพันปี เจ้าปีศาจตนนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ฆ่าไม่ตาย หากว่ายังฝืนรั้งอยู่ต่อ หากพลังของเสวียนอี่หมดลงก็คงมีแต่ถูกจับเท่านั้น แต่ว่าจะให้ทิ้งเหยียนสยาเอาไว้ให้เจ้าสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์นี่ พวกเขาก็รับไม่ได้ 

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ นางนั่งลงแล้วยืดกายขึ้นพลางเอ่ยว่า “ท่านปีศาจไหว ธรรมชาติมีกฎความสมดุลของมันอยู่ ข้าไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้จะมีพลังอะไรที่ไร้ขีดจำกัด แม้แต่ราชาชื่อโยวที่มีพลังมหาศาลในตอนนั้นเองก็ยังต้องถูกจัดการไปเลย เจ้า…คงไม่ได้ถูกหลอกมาหรอกนะ” 

 

 

ปีศาจไหวตนนั้นคิดว่านางจะพูดคำพูดโหดเ**้ยมร้ายกาจอะไร ใครก็นึกไม่ถึงว่านางกลับพูดว่าเขาถูกหลอก ทำให้เขาไม่รู้จะรับคำต่ออย่างไรดีขึ้นมากะทันหัน รูปโฉมของเทพธิดาน้อยตระกูลจู๋อินงดงามมาก รูปร่างก็อ้อนแอ้นอรชร เทพธิดาที่ยืนอยู่ด้านหลังนางคนนั้นก็มีหน้าตาเกลี้ยงเกลาสะสวย สง่างามสมเป็นเทพ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเทพธิดาจากโลกเบื้องบน เมื่อครู่นี้เขายังไม่ทันได้มองละเอียดนัก พอตอนนี้มองอย่างละเอียดแล้วก็ชักจะรู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมา 

 

 

เขาเป็นคนชอบความงดงามมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าก็จนใจที่ตัวเองเกิดมาอัปลักษณ์ เหล่าปีศาจสาวไม่มีใครยอมเข้าใกล้เขาเลย หากเวลาไหนความปรารถนาครอบงำจิตใจเขาก็จะไปจับหญิงสาวชาวมนุษย์มา พอเสร็จกิจก็ค่อยกินนางลงไป ดีว่าตอนนี้เหยียนสยาลงมาเกิดที่โลกเบื้องล่างนี้ นางมีฐานะสูงส่ง รูปโฉมงดงาม ตัวเขาเองก็มักจะคุยโวไปว่ามีแต่เทพธิดาเท่านั้นที่คู่ควรกับเขา และไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับนางมาให้ได้ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่ากลับมีเทพธิดาอีกสองคนพ่วงตามมาด้วย เขามีใจคิดจะเอาไว้ทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่ในนั้นมีตระกูลจู๋อินอยู่ด้วย เขายังใจไม่กล้าพอที่จะไปหาเรื่องตระกูลจู๋อิน 

 

 

ปีศาจไหวรู้สึกลำบากใจและยากจะดับเพลิงปรารถนาที่คุกรุ่นขึ้นมาในกายได้ เขาเงียบแล้วพลันกล่าวว่า “ไม่ได้ พวกเจ้าทิ้งเทพธิดากระโปรงเหลืองคนนั้นไว้ด้วยอีกคน! ส่วนคนอื่นๆก็ไปได้!” 

 

 

จื่อซีขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างมีโทสะว่า “ฝันไปเถอะ!” 

 

 

เสวียนอี่ยิ้ม “ท่านปีศาจไหว ข้ากำลังพูดกับเจ้านะ ไยเจ้าถึงไม่สนใจข้าเล่า” 

 

 

ปีศาจไหวได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวานและนุ่มนวลของนาง ร่างพลันอ่อนระทวยกล่าวตอบว่า “ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร…แต่ว่าคำพูดของเจ้า จะให้ข้าตอบอย่างไรดี สรุปแล้วก็คือ พวกเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าเองก็ไม่อยากจะฆ่าเทพ แต่ว่ามังกรที่แข็งแกร่งจะไม่กดหัวงู หากว่าพวกเจ้าจะไปก็ต้องให้อะไรข้า ทิ้งองค์หญิงน้อยจักรพรรดิแดงกับเทพธิดากระโปรงเหลืองผู้นั้นเอาไว้ ข้ารับประกันว่าจะไม่ทำร้ายพวกนางแม้แต่น้อย” 

 

 

เสวียนอี่เลิกคิ้วแล้วกล่าว “ทำไมเจ้าถึงไม่บอกให้ทิ้งข้าไว้ ข้าหน้าตาไม่สวยหรือ” 

 

 

แววตาของปีศาจไหวทอประกายสั่นไหว “เจ้ายอมอยู่หรือ! ไม่…เจ้าจะอยู่ไม่ได้ เวททุกอย่างไร้ผลกับตระกูจู๋อิน เวทมายาของข้าไม่มีผลกับเจ้า เจ้า…จะต้องรังเกียจหน้าตาอัปลักษณ์ของข้าแน่” 

 

 

เสวียนอี่มองพิจารณาเขาอย่างรังเกียจแล้วยิ้ม “จะว่าน่าเกลียดก็น่าเกลียดไปหน่อย…อืม เจ้ามานี่ ให้ข้าดูชัดๆหน่อย” 

 

 

นางกวักมือเรียกเขา 

 

 

ปีศาจไหวถือดีว่าตนมีความสามารถจึงไม่รู้สึกเกรงกลัว เขารีบเดินเข้าไปตรงหน้านางทันที เทพธิดาน้อยผู้นี้กำลังนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทางสง่างาม กระโปรงยาวสีม่วงอมแดงของนางแผ่สยายราวกับดอกไม้ ใบหน้างดงามราวหยกสลักของนางไม่มีแววของความรังเกียจปรากฏให้เห็น แต่กลับกำลังเงยหน้ามองมาที่เขาอย่างตั้งใจด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มจนทำให้หัวใจปีศาจชราอย่างเขาเต้นอย่างรุนแรง 

 

 

แล้วเขาก็พลันได้ยินเสียงนุ่มนวลของนางถามว่า “ท่านปีศาจไหว ความสามารถสมานแผลอย่างไร้ขีดจำกัดของเจ้านี่เพราะว่าเจ้าไปเข้ากับสายมาร หรือเพราะได้กลืนกินเอาเศษดินแดนเทพที่ตกลงมาเป็นอาหารถึงได้เป็นเยี่ยงนี้” 

 

 

ปีศาจไหวรู้ว่านางกำลังตะล่อมถามเขา แต่ตัวเขาก็ไม่ได้เกรงกลัว กล่าวไปว่า “หลายปีมานี้แผ่นดินของแดนเทพตกลงมามากมายนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าพอกลืนกินไปแล้วจะสามารถเพิ่มพูนตบะได้ แต่ว่ามีเพียงแค่เศษแผ่นดินแดนเทพที่ตกลงมาในสามร้อยปีนี้เท่านั้นที่เมื่อเผ่าปีศาจได้กลืนกินเข้าไปแล้วจะทำให้มีความสามารถสมานแผลได้ สามร้อยปีก่อนข้าเป็นเพียงแค่ปีศาจชั้นธรรมดาทั่วไป ข้าถือกำเนิดที่ยอดเขา ฝึกฝนโดยการกินพลังแสงจากดวงตะวันและจันทราของทุกๆวัน  และแล้วสวรรค์ก็มีตา วันนั้นดินของแดนเทพขนาดใหญ่ประมาณอ่างเลี้ยงปลาชิ้นหนึ่งตกลงมา ถึงแม้ว่ามันจะทำให้กิ่งของข้าเสียหายไปกว่าครึ่ง แต่ว่าข้าก็ถือว่าได้โชคในความโชคร้าย และมีตบะอย่างเช่นทุกวันนี้” 

 

 

เสวียนอี่ยิ้มบางแล้วกล่าว “แต่ว่าเจ้ารั้งตัวเทพธิดาเอาไว้ อย่างไรเสียเบื้องบนก็ต้องรู้ เจ้าไม่กลัวว่าจะต้องดับสูญหรือ” 

 

 

ปีศาจไหวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงมา แดนเทพไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ รอให้พวกเขาลงมา ข้าก็ประสานหยินหยาง[1]สำเร็จไปแล้ว ตบะเพิ่มพูนไม่รู้ตั้งกี่เท่า แล้วยังจะต้องกลัวเกรงอะไรอีก” 

 

 

เสวียนอี่กล่าว “ไม่เลว ฆ่าเจ้าเสียวันนี้เลยดีกว่าจริงๆ” 

 

 

ปีศาจไหวตกตะลึงไป ร่างทั้งร่างพลันมีความเยือกเย็นเสียดแทงกระดูกแล่นเข้ามา ขาทั้งสองของเขาไม่รู้ว่าถูกแช่แข็งกับพื้นดินไปตั้งแต่ตอนไหน ร่างเขาไม่สามารถกลายเป็นกลุ่มควันหนีไปได้ ชั่วขณะต่อมา กระบี่ฉุนจวินกลายเป็นแสงนับไม่ถ้วนทับซ้อนเข้ามา แม้แต่จื่อซีเองก็ไม่รู้เอากระบี่อ่อนโปร่งใสเล่มหนึ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ นางสะบัดข้อมือออกไปแล้วรัดเขาเอาไว้ 

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มตาหยีแล้วเอ่ยปากว่า “ปลาดุกอุยน้อยช่างมีกลยุทธ์มากจริง ปีศาจไหว ดูสิว่าเพลิงครั้งนี้จะทำให้เจ้าบาดเจ็บได้หรือไม่” 

 

 

ปลายนิ้วของเขาพลันมีเปลวเพลิงเล็กๆ กลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา สีของมันไม่เหมือนกับเพลิงหงส์อมตะก่อนหน้านี้ มันกลับมีสีน้ำเงินเข้ม เขาสะบัดนิ้ว เพลิงเล็กกลุ่มนั้นก็พุ่งไปที่ปีศาจไหวอย่างรวดเร็วราวกับดาวตก เขาร้องโหยหวนออกมาและถูกเพลิงเผาร่างจนไหม้ไปกว่าครึ่งในพริบตา 

 

 

ก่อนหน้านี้ปีศาจไหวถูกฉุนจวินตัดเป็นชิ้นๆ ถูกกระบี่อ่อนกดเอาไว้และยังถูกเพลิงหงส์อมตะแผดเผาก็ยังไม่เป็นอะไร  ใครจะรู้ว่ามันจะถูกกลุ่มเพลิงสีน้ำเงินนี้เผาจนต้องร้องโหยหวนออกมา แต่ว่าขาทั้งสองกลับถูกหิมะของจู๋อินแช่เอาไว้ หากว่าเขาอยากจะกลายเป็นกลุ่มควันหนีไปก็มีแต่ต้องทิ้งขาทั้งสองข้างไว้ 

 

 

เซ่าอี๋พยักหน้าอย่างพอใจ “ดูเหมือนจะได้ผล” 

 

 

เสวียนอี่กล่าวอย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ นั่นคือไฟอะไร” 

 

 

เซ่าอี๋อธิบายให้นางฟังอย่างใจเย็น “เพลิงหงส์อมตะมีพลังเทพสองชนิดคือการสูญสลายและการถือกำเนิดใหม่ เพลิงสีฟ้ากลุ่มนั้น ข้าดึงเอาพลังเทพการกำเนิดใหม่ออกมา แต่น่าเสียดายที่พลังเทพไม่พอ จึงเผาร่างเขาได้แค่ครึ่งเดียว…ปัดโธ่ เหมือนว่าเขาจะหนีไปแล้ว” 

 

 

ระหว่างที่พูดอยู่นั้น แววตาของปีศาจไหวพลันดุดันขึ้น มันแข็งใจลงมือตัดขาทั้งสองที่ถูกแช่แข็งเอาไว้ด้วยพลังตระกูลจู๋อินแล้วกลายเป็นกลุ่มควันสีดำพร้อมกล่าวเสียงเข้มว่า “พวกเจ้ามันรนหาที่ตาย ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสนองให้!” 

 

 

เห็นเขาจะมุดเข้าไปในผนังต่อหน้าต่อตา หากว่าปล่อยให้เขาเข้าไปได้ พวกเขาไม่สามารถไปขุดมันออกมาได้แน่ ฝูชาง เซ่าอี๋ จื่อซีขยับตัวพร้อมกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขวางมันเอาไว้ที่นี่! 

 

 

เสวียนอี่เองก็อยากจะขยับ แต่น่าเสียดายที่ขาขวาของนางยังขยับไม่ได้ จึงทำได้แต่ประคองวงแหวนทองที่คลายออก 

 

 

ทันใดนั้น ราวกับมีมือขนาดใหญ่กำลังเคาะอยู่นอกผนังถ้ำที่ปิดอยู่ ตามมาด้วยเสียงที่เยือกเย็นทุ้มต่ำที่ดังขึ้นฉับพลัน ”เสวียนอี่ เจ้าอยู่ข้างในหรือ” 

 

 

— 

 

 

[1]ประสานหยินหยาง : ชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางกายกัน