บทที่ 61 พี่ชาย ชิงเยี่ยน

บุหลันเคียงรัก

เสวียนอี่อ้าปากกว้าง ตอนที่นางหุบปากก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเข้า

 

 

นางผุดลุกขึ้นแล้วใช้ขาข้างเดียวกระโดดไปมาจนวงแหวนทองตกลงมาจากผมของนางแล้วร้องเสียงดังด้วยความดีใจว่า “ชิงเยี่ยน! ชิงเยี่ยน! พี่ยังไม่ตาย!”

 

 

เสียงเยือกเย็นและทุ้มต่ำด้านนอกชะงักไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงแววยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังปากเสียเหมือนเดิม”

 

 

ผนังที่สลักอักขระมนตร์เผ่าปีศาจไว้ทั่วพลันแตกเป็นเสี่ยงๆ ฝุ่นยังไม่ทันจางหาย เงาคนสิบกว่าเงาก็พุ่งเข้ามากะทันหัน เงาส่วนมากในนั้นสวมใส่ชุดสีขาวเครื่องแบบของเทพผู้ตรวจการเอาไว้ มีเพียงแค่เทพอายุน้อยที่พุ่งนำมาเท่านั้นที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวอ่อน ไข่มุกสีดำไว้ที่ห้อยไว้ข้างหูทั้งสองเม็ดแกว่งไปมา สีหน้าของเขาขาวซีด ตรงกลางระหว่างคิ้วมีสีคล้ำ นี่ก็คือชิงเยี่ยนที่ไม่ได้เจอมานานถึงสามร้อยปี

 

 

เสวียนอี่โถมตัวเข้าหาเขาอย่างแรงราวเสือโหยมิปาน เขาก็รีบอ้าแขนทั้งสองแล้วโอบกอดร่างนางเอาไว้ มือหนึ่งประคองร่างของนาง อีกข้างก็ปัดเรือนผมยาวที่แผ่สยายยุ่งเหยิงของนางออก เขาเงยหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ “สูงขึ้นไม่น้อยเลยนี่”

 

 

เสวียนอี่กอดศีรษะเขาเอาไว้แน่นแล้วกล่าวอย่างร้อนรนว่า “ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทำไมพี่ไม่ตอบจดหมายของข้า สามร้อยปีนี้พี่ไปทำอะไรอยู่ ข้าเกือบจะตามฉีหนานไปหาพี่อยู่แล้ว!”

 

 

ชิงเยี่ยนตบหลังนาง “ไม่รีบ เดี๋ยวค่อยถามทีหลัง พวกเจ้าเหมือนจะเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้วนี่”

 

 

ระหว่างที่พูดคุยกัน เหล่าเทพผู้ตรวจการก็ทยอยเข้ามากันจนครบ พอเห็นเหยียนสยานอนอยู่ที่พื้น เหล่าเทพผู้ตรวจการก็รีบเข้าไปตรวจสอบทันที จากนั้นจึงพบว่าเหยียนสยาหมดสติไปเพราะถูกเวทดูดวิญญาณจึงวางใจลง พวกเขาต่างลุกขึ้นแล้วกล่าวขอโทษกับเหล่าเทพน้อยทั้งหลายในหลุม “ขออภัย เพราะพวกข้าทำงานพลาดจึงทำให้พวกท่านถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย พวกข้าต้องขออภัยเป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าปีศาจไหวที่เข้าสายมารตนนั้นอยู่ที่ใด”

 

 

ในที่สุดเหล่าเทพผู้ตรวจการก็มาได้เสียที! จื่อซีรู้สึกเข่าอ่อนทรุดนั่งลงไป นางชี้ไปที่ผนังซึ่งเต็มไปด้วยอักขระมนตร์เผ่าปีศาจแล้วถอนหายใจ “เขามุดเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปซ่อนอยู่ที่ไหน บาดแผลของเขาสามารถสมานเองได้ และยังเชี่ยวชาญเวทมายามาก ขอให้ทุกท่านระวังตัวด้วย”

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการเหมือนไม่เชื่อว่าเขาจะร้ายกาจได้ขนาดนั้น จึงเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ

 

 

หลุมนี้คือส่วนหนึ่งของภูเขา และบ้านของปีศาจไหวก็คือหลุมแห่งนี้ เขาขุดจากยอดเขาลงมาจนถึงเชิงเขา เมื่อครู่พวกเขาทำลายผนังเข้ามาจากด้านนอก เดิมเพราะคิดว่าปีศาจไหวซ่อนตัวอยู่ในหลุมนี้ ใครจะรู้ว่ามันกลับหนีไปได้ ทำให้ร่องรอยที่ต้องหาขยายวงกว้างออกไปเป็นเขาทั้งลูก ทั้งยังต้องเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีก

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการลุกขึ้นยืนแล้วลบอักขระมนตร์เผ่าปีศาจบนผนังกับหินใหญ่ที่อุดด้านบนหลุมออกไป จากนั้นก็ชักกริชที่เอวออกมาแล้วสลักอักขระมนตร์เผ่าเทพลงไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลุมปิดตายทั้งหลุมก็เต็มไปด้วยอักขระมนตร์เผ่าเทพ เขาสะบัดแขนเสื้อ “บ้านของปีศาจไหวอยู่ที่นี่ จากร่องรอยที่มันทิ้งเอาไว้มันยังหนีไปได้ไม่ไกล ไปล่อมันเข้ามา!”

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการแยกย้ายกันไปทันที เสวียนอี่เห็นว่าพวกเขาคงยังไม่ตีกันเร็วๆ นี้แน่ก็รัดแขนชิงเยี่ยนเอาไว้แล้วถาม “ทำไมพี่ถึงมาด้านล่างนี้ได้ จดหมายที่ข้าเขียนพี่ไม่เห็นหรือ”

 

 

ชิงเยี่ยนกำลังก้มลงมองแผลที่ขาขวาของนาง พอเห็นว่าสมานกันได้เร็วอย่างนี้ก็เหมือนจะไม่ได้รู้สึกประหลาดใจนัก และกล่าวเพียงว่า “ข้าเข้าสู่ระดับเหนือสรรพสิ่งแล้ว หลับไปตื่นหนึ่งก็ผ่านไปสามร้อยปี ข้าสะดุ้งตื่นขึ้นมาในคืนที่ทะเลหลีเฮิ่นพังทลาย ข้ายังไม่ทันจะได้อ่านจดหมายของเจ้ากับฉีหนานก็กลับมาที่เขาจงซานเสียก่อนแล้ว ฉีหนานร้องไห้จนตาบวม เจ้าก็ไม่ยอมทำให้เขาวางใจได้เสียที ถ้าไม่เป็นอะไรทำไมถึงไม่รีบกลับไป ยังจะอยู่ที่โลกเบื้องล่างนี้อีกทำไมกัน หรือเจ้ายังอยากจะฆ่าปีศาจปราบมารกัน”

 

 

เห็นเขาจ้องแผลที่ขาขวาตน สีหน้าของเสวียนอี่ก็ชักจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมา “เรื่องที่ข้าบาดเจ็บท่านพ่อเป็นคนบอกท่านพี่หรือ”

 

 

นางสั่งไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว่าอย่าบอกชิงเยี่ยน แต่เขาก็ยังพูด

 

 

ชิงเยี่ยนยิ้มบางๆ แล้วข้ามเรื่องเกี่ยวกับมหาเทพจงซานไป “ฉีหนานเป็นคนพูด เขาพูดเรื่องอะไรไม่รู้ตั้งมากมาย…อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องพวกนี้เลย ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ ตอนที่ข้ามาหาเจ้าก็ไปเจอกับเหล่าเทพผู้ตรวจการเข้าพอดี ได้ยินว่าตอนนี้โลกเบื้องล่างมีปีศาจมากมายนับไม่ถ้วน เหล่าเทพที่ตกลงมาโลกเบื้องล่างพร้อมกันกับพวกเจ้าดับสูญไปหลายคน เจ้านี่นะ ทำให้ข้าตกใจจริงๆ”

 

 

เสวียนอี่คล้องคอเขาเอาไว้แล้วเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกล่าวว่า “ชิงเยี่ยน ท่านผอมลงแล้วนะ มหาเทพเสวียนหมิงคนนั้นจะต้องทรมานพี่ทุกวันแน่ หรือว่าท่านจะเปลี่ยนอาจารย์ดี มหาเทพไป๋เจ๋อเป็นมิตรและใจดีมากนะ”

 

 

ชิงเยี่ยนแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา เขากำลังจะพูดแต่กลับได้ยินเสียงของเหล่าเทพผู้ตรวจการดังขึ้นมา “ขวางมันไว้! อย่าให้มันหนีไปได้!”

 

 

พูดแล้วก็เห็นเหล่าเทพผู้ตรวจการไล่ตามปีศาจไหวที่แปลงเป็นกลุ่มเงาดำเข้ามาในหลุมนี้ คาถาของเหล่าเทพส่งไปที่ร่างของปีศาจไหวแต่กลับเหมือนกำลังโปรยเม็ดทราย ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นเหล่าเทพผู้ตรวจการแทนที่หอบหายใจหนัก เหมือนกับกำลังเล่นแมวจับหนูมิปาน บ้างก็วิ่งบ้างก็หยุด เขาหัวเราะออกมาเสียงดัง “เทพผู้ตรวจการแดนเทพมันก็เท่านี้เอง! มาอีกสักร้อยข้าก็ไม่กลัว! ข้าอยากจะรู้สักหน่อยว่าหากพลังเทพของพวกเจ้าหมดแล้วจะเป็นอย่างไร!”

 

 

ชิงเยี่ยนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวเสียงต่ำ “อ้อ เจ้าสามารถสมานแผลได้ตลอด เราจะสิ้นเปลืองกับเขาอีกไม่ได้”

 

 

เขาวางเสวียนอี่ไว้ที่มุมสะอาดแห่งหนึ่งแล้วหมุนตัวจะเดินไป “นั่งดีๆ ข้าจัดการเสร็จแล้วพวกเราค่อยมาคุยกัน”

 

 

เสวียนอี่ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจแล้วคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้พลางกล่าวเสียงเบา “รีบกลับมา”

 

 

ชิงเยี่ยนลูบศีรษะที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงของนาง “จะรีบกลับมา”

 

 

เสวียนอี่ปล่อยมือ จ้องมองเขาพร้อมยิ้มตาหยี จากนั้นจึงจัดเสื้อผ้าหน้าผมใหม่ให้เรียบร้อยพร้อมกับเสียบวงแหวนทองเข้าไป

 

 

ปีศาจไหวตนนั้นบินสะเปะสะปะอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อ มันค่อยๆ หยุดลงแล้วให้คาถาเทพโจมตีมาที่ร่างของเขาได้ตามสบาย เขากลับอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน เขาเห็นว่าเสวียนอี่นั่งอยู่คนเดียวตรงมุมและกำลังจัดแต่งผมอยู่ แขนเสื้อของนางถลกขึ้นมาไม่น้อยจนเผยให้เห็นแขนเรียวขาวของนาง ดวงตาของเขาพลันแดงก่ำขึ้นอย่างอดไม่อยู่ เขาทั้งรักทั้งแค้นนาง เทพสาวน้อยตระกูลจู๋อินผู้นี้วางแผนจนทำให้เขาต้องเสียขาทั้งสองไป เขาจะต้องสั่งสอนนางให้หนัก!

 

 

เขาคำรามเสียงดัง ทันใดนั้นบนผนังก็มีกิ่งไม้หนาสีแดงเลือดเลื้อยขึ้นมาราวกับงู กิ่งไม้ทุกกิ่งมีปากมากมาย ฟันในปากแหลมคมราวกับคมมีด มีแสงสว่างวาบมา กิ่งไม้เหล่านั้นพุ่งไปทางเสวียนอี่

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการต่างก็พุ่งเข้าไปบังด้านหน้า แต่กลับได้ยินเสียงเยือกเย็นของชิงเยี่ยนดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “ถอยไป ข้าเอง”

 

 

หิมะตระกูลจู๋อินตกลงมาไม่ขาดสาย หิมะนั้นมีพลังกว่าของเสวียนอี่หลายเท่า หิมะกระจายวงกว้างกว่าและหนาแน่นกว่า กิ่งไม้สีแดงเหล่านั้นเมื่อถูกหิมะเข้าก็ค่อยๆ น้อมต่ำลง มันบิดไปมาช้าๆ และถูกแช่แข็งไปอย่างจำใจ

 

 

ชิงเยี่ยนสะกิดปลายเท้าลอยขึ้นไปบนฟ้า เทพทั้งหลายต่างมองไม่ชัดว่าเขาทำอะไรกันแน่ ทุกคนต่างรู้สึกแค่มีแสงหิมะสว่างวูบไป ทำให้ปีศาจไหวที่หดตัวอยู่ในผนังถูกฝ่ามือของเขาโจมตีเข้าอย่างจัง มันร่วงลงไปที่พื้นเสียงดังสนั่นแต่กลับไม่ได้กลายเป็นกลุ่มควันสีดำหลบหนีไป

 

 

ปีศาจไหวนอนแผ่ที่พื้นด้วยความแปลกใจ ร่างที่เคยเคลื่อนไหวได้ของมันก็ค่อยๆ แข็งขึ้นจนสุดท้ายก็แข็งนิ่งไปราวกับรูปสลักน้ำแข็ง เขากล่าวว่า “เจ้า…ทำอะไรกับข้า”

 

 

ชิงเยี่ยนลงมาช้าๆ แล้วกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าเป็นตัวอะไร คู่ควรมาถามคำถามกับข้าหรือ ใครใช้ให้เจ้ากล้ามายุ่งกับตระกูลจู๋อิน”

 

 

ดวงตาของปีศาจไหวกลอกกลิ้งไปมา มันอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ว่าลิ้นของมันถูกแช่แข็งเอาไว้มันจึงทำได้แค่กลอกตา ท่าทางของมันดูแล้วน่าขันมาก

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการดีใจมาก ต่างเดินเข้าไปแล้วใช้เชือกมัดปีศาจไหวเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างแน่นหนา หัวหน้าเทพผู้ตรวจการประสานมือแล้วกล่าวอย่างเคารพยำเกรงว่า “ขอบคุณองค์ชายมังกรน้อยมากที่ช่วยเหลือ”

 

 

ชื่อเสียงตระกูลจู๋อินสมคำร่ำลือจริงๆ องค์ชายมังกรน้อยคนนี้อายุยังไม่ทันจะถึงสองหมื่นปีกลับไปถึงระดับเหนือสรรพสิ่งได้แล้ว ภายภาคหน้าจะต้องประสบความสำเร็จยิ่งกว่ามหาเทพจงซานองค์ปัจจุบันแน่ ถึงแม้ว่าท่าทีเย่อหยิ่งทระนงตัวของเขาจะทำให้เหล่าเทพผู้ตรวจการรู้สึกไม่ดีนัก แต่ว่าพวกเขาต่างเคารพผู้แข็งแกร่ง และตระกูลจู๋อินก็มีคุณสมบัติพอที่จะเย่อหยิ่งได้จริงๆ

 

 

ชิงเยี่ยนกล่าว “ข้าแช่แข็งเขาไว้ได้แค่หนึ่งวันของโลกมนุษย์เท่านั้น พอครบเวลาน้ำแข็งก็จะละลาย เขาก็จะสามารถหนีไปได้อยู่ดี ข้าเตือนว่าพวกเจ้าอย่าได้คิดจะเอาตัวเขากลับไปให้กับเทพฝ่ายอาญาสอบสวนจะดีกว่า เพราะเกรงว่าพวกเจ้าคงจะนำกลับไปไม่ได้”

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการตกใจ “นี่…แล้วจะทำอย่างไรดี”

 

 

“ก็ฆ่าเขาเสียตรงนี้เลยจะเหมาะสมที่สุด ไม่ว่าอย่างไรโทษของเขาก็มีแต่ต้องตายอย่างเดียว” น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานของเซ่าอี๋ดังมาจากด้านหลัง เขายิ้มแล้วเดินมาด้านหน้าพร้อมปรายตาไปที่ชิงเยี่ยน “องค์ชายมังกรน้อย ไม่ได้เจอกันนานเลย ท่านเก่งกาจขึ้นทุกวันแล้ว”

 

 

ดวงตาของชิงเยี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย แต่มองไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร จากนั้นก็กล่าวออกมาว่า “เทพเซ่าอี๋ ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ”

 

 

เขาหมุนตัวแล้วประสานมือคารวะฝูชางกับจื่อซีที่เดินเข้ามาพลางกล่าวว่า “ทั้งสองท่านคงจะเป็นเทพฝูชางและเทพธิดาจื่อซี น้องสาวข้านิสัยดื้อรั้นนัก ต้องรบกวนท่านทั้งสองช่วยดูแล ข้าซาบซึ้งใจนัก”

 

 

เอ๋ เขากลับดูถ่อมตน ยังคิดว่าตระกูลจู๋อินจะอวดดีจองหองเหมือนกับเสวียนอี่หมดเสียอีก ดูแล้วก็ไม่ใช่อย่างนั้น จื่อซีรีบยิ้มรับแล้วคารวะกลับ “องค์ชายมังกรน้อยเกรงใจไปแล้ว”

 

 

ฝูชางประสานมือแล้วคารวะอย่างมีมารยาท “องค์ชายมังกรน้อยเกรงใจไปแล้ว”

 

 

พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าสายตาของชิงเยี่ยนหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเขาราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในใจเขารู้สึกไม่เข้าใจ แต่ทว่าใบหน้ากลับไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา พวกเขาทั้งสองคนต่างสบตากันอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เบนสายตาออกไป

 

 

เทพผู้ตรวจการที่อยู่อีกด้านไม่รู้ว่าได้ใช้คาถาไปมากเท่าไหร่ อาวุธของเหล่าเทพปักแทงลงไปที่ร่างของปีศาจไหวจนราวกับตัวเม่น แต่ดวงตาของปีศาจไหวก็ยังคงกลอกไปมาเหมือนเดิม แววตาของมันเต็มไปประกายเยาะเย้ยราวกับกำลังหัวเราะเหล่าเทพว่าไร้ความสามารถ

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการโมโหจนกล่าวซ้ำไปซ้ำมา “ควรทำอย่างไรดี! ควรทำอย่างไรดี!”

 

 

เขามีชีวิตมาหลายแสนปี แต่ว่านี่คือครั้งแรกที่เขาพบกับปีศาจที่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ไม่สามารถฆ่าได้อย่างนี้ นี่มันตัวประหลาดอะไรกัน

 

 

เซ่าอี๋ชี้นิ้วออกไป เพลิงหงส์อมตะก็ปรากฏขึ้นกลุ่มหนึ่ง เขารวมพลังเทพอยู่นานจนหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ สุดท้ายก็ถอนหายใจ “ไม่ไหว ก่อนหน้านี้ข้าใช้พลังเทพมากเกินไป วันนี้ข้าเรียกเพลิงหงส์อมตะไม่ได้แล้ว”

 

 

“ให้ข้าลองดู”

 

 

จื่อซียกแขนขึ้น กระบี่อ่อนโปร่งแสงก็ม้วนตัวราวกับมังกร นางถือกำเนิดในตระกูลเทพนักรบ วิชาฝีมือยอดเยี่ยมมาก แสงสีเงินประกายวาบ ปีศาจไหวก็กลายเป็นเสี่ยงๆ ไปในพริบตา แต่ว่าไม่นานร่างที่ถูกแช่แข็งของมันก็ราวกับมีแรงดึงดูดแล้วค่อยๆ ขยับเข้าหากัน แววตาเย้ยหยันในดวงตาของปีศาจไหวก็เข้มขึ้น

 

 

เซ่าอี๋หันไปมองชิงเยี่ยนด้วยท่าทีคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “องค์ชายมังกรน้อย หากว่าจะช่วยก็ควรช่วยจนถึงที่สุด ข้ารู้ว่าท่านจะต้องมีวิธีจัดการเขาแน่ แล้วทำไมถึงได้ไม่กำจัดภัยนี้ไปเสีย”

 

 

ชิงเยี่ยนเอ่ยออกมาช้าๆ “ที่ข้าลงมาโลกเบื้องล่างในครั้งนี้ก็เพื่อตามหาน้องสาว จะฆ่าเขาหรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”

 

 

เขาหมุนตัวแล้วเดินไปหาเสวียนอี่ จากนั้นก็ค้อมเอวลงไปอุ้มนางขึ้นมาและเตรียมจะเดินจากไป