บทที่ 62 ตัดสัมพันธ์

บุหลันเคียงรัก

เซ่าอี๋มองเงาหลังของเขาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายมังกรน้อยกลัวที่จะต้องแสดงความสามารถของตัวเองต่อหน้าเหล่าเทพหรือ”

 

 

ชิงเยี่ยนหยุดเท้าลง เสวียนอี่ประหลาดใจมากที่เห็นใบหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมา ชิงเยี่ยนเองก็แสดงอารมณ์อย่างนี้ได้เหมือนกันหรือนี่

 

 

“ข้าไม่อยากแสดงความสามารถต่อหน้าท่านต่างหาก” ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำ

 

 

เซ่าอี๋ยิ้ม “องค์ชายน้อยระวังตัวกับข้าเยี่ยงนี้ พูดตามตรงท่านทำให้ข้าประหลาดใจนัก แต่ว่าสถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้ไม่ธรรมดา เหตุไฉนท่านไม่วางความขัดแย้งในใจลงแล้วมาร่วมใจกันกำจัดปีศาจเล่า”

 

 

ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเย็น “เดิมจะฆ่าปีศาจหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าอยู่แล้ว”

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการร้อนรนจนแทบเต้นผาง “องค์ชายมังกรน้อย ท่านจะพูดเช่นนี้ไม่ได้! ปีศาจไหวตนนี้ประหลาดเพียงนี้ หากว่าท่านมีวิธีการจัดการมัน ก็ขอให้ท่านช่วยเหลือด้วย!”

 

 

ชิงเยี่ยนไหนเลยจะสนใจเขา

 

 

จื่อซีกล่าวเสียงเบา “เมื่อครู่นี้ที่พูดว่าเขาถ่อมตน ที่แท้ก็เอาแต่ใจเหมือนกับเสวียนอี่ไม่มีผิด”

 

 

ในเมื่อลงมือช่วยแล้ว แต่กลับไม่ยอมช่วยให้ถึงที่สุด แล้วเรื่องที่เหลืออยู่นี่เล่าจะทำอย่างไร

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการยิ้มแล้วถอนหายใจ “ไม่มีทางเลือก ไม่อย่างนั้นพวกเราก็มาคิดหาวิธีกัน”

 

 

ถึงแม้จะพูดไปอย่างนั้น แต่ว่าพวกเขาจะมีวิธีอะไรได้ พวกเขาได้แต่มองปีศาจไหวถูกแทงเป็นเม่นหลายต่อหลายครั้งและรวมร่างกลับมาใหม่ซ้ำไปซ้ำมา บรรดาเหล่ามหาเทพและแม่ทัพแดนเทพที่เก่งกาจเหล่านั้นมีวิธี แต่ว่าหากรอให้พวกเขามาถึงเจ้าปีศาจไหวนี่คงหนีไปแล้ว แย่จริง ดูแล้ววันนี้หน้าตาของแดนเทพคงได้หมดสิ้นกันแล้ว

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการยังคงรบเร้าชิงเยี่ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยเขาไป ท่ามกลางเสียงเอะอะครึกโครมนี้ ฝูชางชักกระบี่ฉุนจวินออกมา ปลายนิ้วเขาไล้ไปบนตัวกระบี่ ฉุนจวินราวกับกำลังตอบรับสัมผัสของเขาและส่งเสียงต่ำออกมา

 

 

กระบี่วิเศษในตำนานล้ำค่าหาใดเปรียบ องค์ราชาก้งกงยังต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว เขากลับไม่มีวิธีใช้มันกำจัดปีศาจไหวตรงหน้า เขารู้ว่า ไม่ใช่เพราะฉุนจวินยังแข็งแกร่งไม่พอ แต่เป็นเขาเองที่แข็งแกร่งไม่พอต่างหาก

 

 

แต่ไหนแต่ไรมา เขามักจะมีนิสัยตามสบายและปล่อยทุกอย่างให้ไปตามธรรมชาติ การฝึกฝนวิถีกระบี่เองก็เช่นกัน เขาไม่เคยฝืนดึงดัน และด้วยความที่เขามีพรสวรรค์ทางกระบี่อันล้ำเลิศทำให้จนถึงทุกวันนี้เขายังไม่เคยเจอกับอุปสรรคการเลื่อนขั้นกระบี่ไม่ได้มาก่อน แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้ทำไม เขากลับมีใจอยากเอาชนะขึ้นมา และความรู้สึกอยากเอาชนะที่ยากจะกล่าวได้นี้ได้ทำให้พลังเทพในร่างของเขาสั่นสะเทือนเกิดความตระหนักรู้อย่างที่ไม่อาจจะบรรยายขึ้นมาทันใด

 

 

เสียงหอบหายใจหนักหน่วงของปีศาจไหวดึงสติฝูชางกลับมา เขาก้มหน้าลงมอง น้ำแข็งที่ใบหน้าของปีศาจไหวเริ่มละลายแล้ว ดวงตาของมันกลอกไปมา บ้างก็จ้องไปที่จื่อซี บ้างก็จ้องไปที่เหยียนสยา แต่ว่าส่วนมากมันกลับจ้องไปที่เสวียนอี่ที่อยู่ในอ้อมอกของชิงเยี่ยน

 

 

ใบหน้าของมันค่อยๆกลายเป็นฝุ่นสีดำ ฝุ่นแต่ละธุลีลอยไปทางเสวียนอี่อย่างไร้สุ้มเสียง ฝูชางขมวดคิ้วและชักกระบี่ออกมาเบาๆ กระบี่วิเศษสีน้ำเงินในมือของเขาหมุนช้าๆ แสงบนตัวกระบี่สว่างออกมา ฉุนจวินกลายเป็นมังกรทองตัวหนึ่งขดตัวอยู่กลางอากาศและอ้าปากกลืนปีศาจไหวที่อยู่บนพื้นลงไป ร่างมังกรโฉบผ่านไป กลายเป็นกระบี่ฉุนจวินกลับเข้ามาในมือของเขาใหม่อีกครั้ง ส่วนปีศาจไหวที่อยู่บนพื้นนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือทิ้งไว้เพียงเศษน้ำแข็งเต็มพื้น

 

 

เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากตัวกระบี่ แต่ไม่นานก็เงียบไป เลือดสดๆ หยดลงมาตามตัวฉุนจวินและย้อมหิมะจู๋อินบนพื้นจนกลายเป็นสีแดง

 

 

 เทพทั้งหลายเงียบไปในทันที จื่อซีสูดลมหายใจเข้า “ศิษย์น้องฝูชาง…นี่ นี่คือปราณกระบี่จำแลงมังกรของตระกูลหวาซวีในตำนานหรือ”

 

 

ใบหน้าของฝูชางขาวซีด เวลาครึ่งปีที่เขาทำความเข้าใจกับวิถีกระบี่ที่บ้าน เขาเปลี่ยนปราณกระบี่ให้เป็นมังกรนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่ากลับไม่เคยทำสำเร็จเลยสักครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้กลับทำสำเร็จได้ แต่ว่าร่างกายของเขากลับรับการใช้พลังเช่นนี้ไม่ไหว ภาพตรงหน้าค่อยๆ มืดลง

 

 

เขาตั้งสติแล้วประสานมือพร้อมกล่าวว่า “แค่โชคดีเท่านั้น ปีศาจไหวถูกกักอยู่ในกระบี่ คิดว่าคงไม่สามารถหนีไปได้แล้ว และสามารถพาเขากลับไปยังฝ่ายอาญาได้อย่างวางใจ ตอนนี้ส่งศิษย์พี่หญิงเหยียนสยากลับไปก่อนเถอะ”

 

 

ถึงตอนนี้เหล่าเทพผู้ตรวจการถึงได้ถอนหายใจเฮือกออกมา หัวหน้าเทพผู้ตรวจการกล่าวอย่างยินดีด้วยน้ำตานองหน้า “เทพฝูชาง กระบวนท่าจำแลงปราณกระบี่เป็นมังกรของท่านช่างวิเศษมาก! งดงามมากจริงๆ!” เวลาสำคัญ ตระกูลหวาซวีพึ่งพาได้มากกว่าตระกูลจู๋อินที่ผีเข้าผีออกมากนัก!

 

 

ชิงเยี่ยนมองอยู่นานแล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “อาอี่ เจ้าทะเลาะกับเทพฝูชางคนนี้หรือ”

 

 

เสวียนอี่ปั้นหน้าตึง “แม้แต่เรื่องนี้ฉีหนานก็ยังบอกพี่ ปากเขานี่นับวันยิ่งปิดไม่มิดจริงๆ”

 

 

ชิงเยี่ยนกล่าว “ฉีหนานกล่าวชมเขาตลอด วันนี้ได้มาเห็นก็สมเหตุสมผลดี ปราณกระบี่จำแลงมังกรของตระกูลหวาซวีไม่ธรรมดา ทำไมเจ้าต้องไปทะเลาะกับเขาด้วย ตระกูลหวาซวีมีชื่อเสียงดีงามตลอด ไปล่วงเกินเขาไม่ใช่เรื่องดี”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ก็ข้าจะล่วงเกินเขา ข้ามองเขาแล้วไม่ชอบใจ”

 

 

ชิงเยี่ยนปรายตามองมาที่นางอย่างมีความหมาย เจ้าเด็กคนนี้ ตั้งแต่เล็กไม่เคยโมโหขัดเคืองใครอย่างนี้มาก่อนเลย หากจะพูดว่านางมองเทพฝูชางอย่างไม่ชอบใจและขัดเคือง สู้พูดว่านางมองเขาเป็นคู่ปรับนางจะดีกว่า แต่ไหนแต่ไรมา นางมักจะอวดดีเอาแต่ใจมาตลอด แต่ว่าคนรอบข้างมักจะยอมนางเสมอ หากว่าไปเจอคนที่ไม่ยอมนางแล้วยังกัดนางกลับมาเข้า นางก็จะยิ่งทุ่มเทมากขึ้นเพื่อจะกดเขาให้ได้

 

 

เขากล่าวเสียงเบา “เขารังแกเจ้าหรือ ให้ข้าช่วยเอาคืนให้ไหม”

 

 

เสวียนอี่คิด ‘ข้าจะจัดการเขาด้วยตัวเอง’ 

 

 

เป็นคำตอบที่คิดเอาไว้อยู่แล้ว นางเป็นคนที่ไม่ยอมคนและถือดีมาตลอด ดังนั้นจึงแทบจะไม่ยอมเอ่ยปากขอร้องใคร และคิดว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่นางทำไม่ได้ แต่ว่าทุกที่ล้วนแต่พูดกันด้วยความสามารถทั้งนั้น เทพฝูชางเชี่ยวชาญด้านกระบี่มาก ฝีมือของเขาจัดว่ายอดเยี่ยม หากว่าเขาคิดจะกดเสวียนอี่ นางที่มีอายุน้อยและต่อสู้ไม่เป็น ไม่มีทางต่อต้านได้แน่

 

 

ชิงเยี่ยนนึกขันในใจ ‘จะจัดการอย่างไร ด่าเขาให้ตาย?’ 

 

 

เสวียนอี่ถูกถามกลับจนชะงักค้าง หากเขาไม่ถาม นางยังคิดอยู่ว่านางมีวิธีเลวร้ายมากมายเต็มหัวที่จะจัดการฝูชาง แต่พอเขาถามออกมา นางก็กลับรู้สึกว่าทุกครั้งนางมีแต่แพ้อย่างน่าอนาถทั้งสิ้น พูดตามตรง นางเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วนางต้องการอะไร เหมือนว่านางอยากจะเห็นท่าทางโมโหของฝูชาง ที่โมโหนางจนตัวสั่นแต่กลับทำอะไรนางไม่ได้ แต่น่าเสียดายที่จนถึงวันนี้ สถานการณ์ส่วนมากระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันเสียมากกว่า

 

 

ชิงเยี่ยมลูบศีรษะนาง จู่ๆ ก็วางนางลงพร้อมกับหมุนตัวเดินไปหาฝูชาง แล้วประสานมือกล่าวว่า “เทพฝูชาง กระบวนท่าจำแลงปราณกระบี่เป็นมังกรของท่านเมื่อครู่นี้ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ร้ายกาจมาก ได้ยินว่ากระบี่คู่กายท่านคือกระบี่วิเศษฉุนจวิน ท่านจะให้ข้ายืมมาชมหน่อยได้หรือไม่”

 

 

ฝูชางสบตากับเขา องค์ชายมังกรน้อยคนนี้กำลังใช้สายตาครุ่นคิดพิจารณามองมาที่เขา สายตาของเขาเบนไปทางด้านหลังและมองไปที่ร่างของเสวียนอี่ องค์หญิงมังกรกำลังยิ้มมาให้เขาอย่างไม่ประสงค์ดี

 

 

 เขาเบนสายตากลับมา ทั้งโมโหทั้งขบขัน ปลดกระบี่ฉุนจวินพร้อมประคองไว้บนมือทั้งสอง เขารู้สึกว่าชิงเยี่ยนกำฝักกระบี่ด้วยแรงมหาศาล เขากำด้ามกระบี่เอาไว้แน่นโดยไม่แสดงอาการใด ฝ่ามือพลิกกลับ ฝักกระบี่หลุดร่วงลงไป แต่ทว่า ตัวกระบี่ที่แหลมคมกลับถูกชิงเยี่ยนจับเอาไว้ด้วยมือเปล่า

 

 

อานุภาพของฉุนจวิน กลับถูกเขาจับคมกระบี่ไว้แน่นด้วยมือเปล่า หากนิ้วไม่ขาดก็ต้องถูกบาดแน่ แต่ใครจะคิดได้ว่า ฝ่ามือของชิงเยี่ยนกลับไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย เขากำลังก้มหน้าลงสำรวจกระบี่ฉุนจวินอย่างขะมักเขม้น ดวงตาสีดำสนิทมองมาที่ใบหน้าของฝูชางแล้วยิ้มบาง “กระบี่ดี!”

 

 

 เขาคลายมือออกช้าๆ ฝูชางขยับข้อมืออีกครั้ง และเก็บกระบี่ฉุนจวินเข้าไปในฝักกระบี่อีกครั้งพลางพยักหน้าตอบรับ

 

 

ชิงเยี่ยนหมุนตัวกลับไปอุ้มเสวียนอี่แล้วกล่าวเสียงเบา “ครั้งนี้มีเหล่าเทพผู้ตรวจการอยู่ ครั้งหน้าข้าค่อยช่วยเอาคืนให้แล้วกัน”

 

 

เสวียนอี่ใช้นิ้วมือไล้วนใบหน้าของเขาอย่างไม่ใส่ใจ นางยิ้มบางๆแล้วกล่าวว่า “ขี้โม้ ข้าไม่เชื่อหรอก”

 

 

น้ำเสียงของชิงเยี่ยนพลันนุ่มนวลขึ้น “กลับกันเถอะ ฉีหนานร้อนรนจะแย่แล้ว”

 

 

เสวียนอี่พยักหน้า

 

 

อีกด้านเหล่าเทพผู้ตรวจการก็ประคองเหยียนสยาขึ้นจากพื้น ตอนนี้นางคือมนุษย์ธรรมดา เวทดูดวิญญาณไม่อาจคงอยู่ได้นาน ไม่อย่างนั้นความทรงจำอาจสับสนเลอะเลือนได้ หัวหน้าเทพผู้ตรวจการใช้นิ้วดีดที่หน้าผากของนางเบาๆหนึ่งครั้ง ร่างนางก็สั่นสะท้านและคล้ายหลับคล้ายตื่นขึ้นมา

 

 

ระหว่างที่พานางกลับบ้าน เหยียนสยากลับเหมือนละเมอฝันแล้วกล่าวว่า “เซ่าอี๋…”

 

 

คำที่เหนือความคาดหมายของทุกคนทำให้เหล่าเทพต่างชะงักไป นางในตอนนี้ไม่มีทางที่จะมีความทรงจำของแดนเทพ แล้วชื่อของ ‘เซ่าอี๋’ มาจากที่ไหน

 

 

เซ่าอี๋หมุนตัวแล้วเดินไปข้างกายนางนิ่งๆ นางลืมตาขึ้นแล้ว แต่ว่าครั้งนี้ใช้เวทดูดวิญญาณนานเกินไป นางจึงรู้สึกราวกับฝันและมองไปรอบด้านอย่างมึนงง ทันใดนั้นพลันนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้านางพลันซีดเผือดแล้วกล่าวเสียงสั่นว่า “ที่นี่คือที่ไหน จื่อตู จื่อตู”

 

 

ใกล้นางเพียงครึ่งฉื่อ มีเสียงถอนหายใจนุ่มนวลดังขึ้น เงาร่างตรงหน้าสั่นไหวไปมาคล้ายน้ำหมึก สุดท้ายก็กลายเป็นเทพหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีดำ บริเวณหน้าผากของเขามีไข่มุกสีแดงเพลิงห้อยอยู่หนึ่งเม็ด เขามีท่าทางคล้ายจนปัญญา คล้ายรู้สึกผิด คล้ายขบขัน และกำลังสบตามองนางด้วยแววตาอ่อนโยนลึกล้ำ

 

 

เหยียนสยาจ้องมองเขานิ่ง ในใจคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจแล้วพึมพำว่า “ท่านคือ…”

 

 

เซ่าอี๋กางแขนออกแล้วกอดนางไว้ในอก ลูบเรือนผมยาวของนาง ดวงตาของนางมีน้ำตาไหลรินออกมาอย่างคุมไม่อยู่ น้ำตาไหลไปตามผมยาวของเขาและตกลงบนพื้นหิมะสีขาว

 

 

“ขอโทษด้วย” น้ำเสียงของเขาเบามาก เบาจนราวกับเป็นเพียงสายลมอันแผ่วเบา “ขอโทษด้วย”

 

 

ความเงียบนี้ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดน้ำตาของเหยียนสยาก็ค่อยๆหยุดไหล ใบหน้าของนางแสดงท่าทีราวกับปล่อยวางออกมา ที่หน้าผากมีจุดแสงสว่างเล็กๆมากมายลอยออกมา ราวกับว่ามันคือน้ำตาหยดสุดท้ายบนใบหน้าของนาง

 

 

จุดสีคล้ำกลางหน้าผากของนางหายไป นางค่อยๆ หลับตาลงราวกับหลับสนิท

 

 

เหล่าเทพผู้ตรวจการต่างถอนหายใจออกมาอย่างประหลาดใจ เสวียนอี่อดไม่ได้แล้วถามว่า “จุดแสงที่ลอยออกมาจากหน้าผากของนางเมื่อครู่นี้คืออะไร”

 

 

ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงต่ำ “นางตัดสัมพันธ์แล้ว พอหมดชาตินี้ นางก็กลับไปยังแดนเทพได้แล้ว ปัญญาก้าวหน้าไปมาก มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเพียรอย่างมาก”

 

 

จิตใจลุ่มหลงของหญิงสาว สิ่งที่นางต้องการก็แค่คำขอโทษจากใจจริงเท่านั้น

 

 

เสวียนอี่ยังคงแปลกใจ “ในเมื่อสามารถเพิ่มตบะได้ แล้วทำไมถึงไม่ใช่ทุกคนที่สามารถลงมาโลกเบื้องล่างตัดสัมพันธ์ได้เล่า”

 

 

ชิงเยี่ยนส่ายหน้า “เจ้าก็ลองคิดดูว่ามีเทพผู้ตรวจการมาคอยดูแลมากขนาดนั้นที่ไหน และแต่ไหนแต่ไรมาก็มีการจำกัดจำนวนเทพที่ลงมาโลกเบื้องล่างไว้ ตลอดมามีแต่เหล่าเทพที่สัญชาตญาณยังไม่ดับไปเท่านั้นที่จะลงมาเวียนว่ายอยู่ที่โลกเบื้องล่างนับร้อยๆ ชาติ แต่ว่าหากมาปมอารมณ์ในใจที่ยากจะคลายได้ จนทำลายปัญญา ก็สามารถลงมาโลกเบื้องล่างเพื่อตัดสัมพันธ์ได้เหมือนกัน ศิษย์พี่หญิงของเจ้าก็คือกรณีนี้”

 

 

เซ่าอี๋วางเหยียนสยาลงบนพื้นช้าๆ แล้วลุกขึ้นพร้อมถอนหายใจ เขาหันกลับไปก็เห็นชิงเยี่ยนกำลังจะจากไป จึงพลันกล่าวขึ้นมาว่า “องค์ชายมังกรน้อย การบำเพ็ญเพียรทั้งทรมานและว้าเหว่ ท่านต้องรับให้ไหวนะ”

 

 

ชิงเยี่ยนทำราวกับไม่ได้ยิน ก้าวออกไปจากหลุม ขี่ลมจากไป