บทที่ 63 เริ่มรู้สึกเมื่อไหร่

บุหลันเคียงรัก

เซ่าอี๋ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหยียนสยาถูกเทพผู้ตรวจการหลายคนพาไปแล้ว หัวหน้าผู้ตรวจการที่เสียงดังเอะอะและไม่สุขุมคนนั้นยังคงกล่าวชมเชยกระบี่ฉุนจวินของฝูชางไม่ขาดปาก

 

 

เขาค่อยๆ เดินออกไปด้านนอก จื่อซีพลันกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ศิษย์น้องเซ่าอี๋จะไปที่ไหน ไม่กลับไปประตูสวรรค์ทิศใต้ด้วยกันหรือ”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้ม “กลับ แต่ว่าข้าอยากจะไปเดินผ่อนคลายตามลำพังก่อน”

 

 

จื่อซีชะงักไป “ทุกวันนี้โลกเบื้องล่างวุ่นวายมาก เจ้าจะไปที่ไหน และตอนนี้เจ้าก็ไม่มีสัตว์พาหนะแล้วด้วย ข้าว่ากลับไปกับพวกข้าเถอะ”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วกล่าวปฏิเสธเสียงเรียบ “ไม่ต้องหรอก”

 

 

เห็นเขาขี่เมฆลอยขึ้นไป จื่อซีก็กัดริมฝีปากแน่นอย่างห้ามไม่อยู่ ครั้งนี้นางกัดแรงมาก เจ็บเสียจนตัวนางเองยังตกใจ รีบหันกลับไปพร้อมกล่าวว่า “หัวหน้าเทพผู้ตรวจการ ศิษย์น้องฝูชาง พวกเรากลับไปประตูสวรรค์ทิศใต้และพาตัวปีศาจไหวไปส่งให้ฝ่ายอาญาเถอะ”

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการกล่าวรับ แล้วเทพทั้งสามก็ออกมาจากหลุม ตอนนี้ด้านนอกเป็นช่วงพลบค่ำ ท้องฟ้าฉาบไปด้วยแสงอาทิตย์สีอ่อน คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขากลับอยู่ในบ้านของปีศาจไหวนานถึงหนึ่งวันเต็ม

 

 

นึกย้อนกลับไปก็อดที่จะกลัวไม่ได้ ไม่รู้ทำไมตอนนี้จื่อซีถึงได้หวังเหลือเกินว่าจะมีใครสักคนให้นางได้พูดคุยด้วย จึงยิ้มแล้วกล่าว “ศิษย์น้องฝูชาง ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวว่า สิ่งที่บ่งบอกว่าวิถีกระบี่ของตระกูลหวาซวีกำลังจะตื่นขึ้นก็คือการที่สามารถจำแลงปราณกระบี่เป็นมังกรได้ ตอนนั้นเทพบูรพาอายุได้ห้าหมื่นปีถึงสามารถจำแลงปราณกระบี่เป็นมังกรได้ แต่ศิษย์น้องฝูชางกลับเหนือกว่า ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”

 

 

ฝูชางยังคงนั่งนิ่งอยู่บนราชสีห์เก้าเศียรเงียบๆ จื่อซีรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนพูดน้อย แต่ว่าก็ไม่เคยทำตัวไร้มารยาทอย่างการเมินคนที่กำลังพูดกับเขาอยู่ เกิดอะไรขึ้น นางมองไปที่เขาและพบว่าร่างของเทพบุตรชุดขาวกำลังโงนเงนไปมา ก่อนจะตัวอ่อนล้มพับลงไปกับพื้น

 

 

นางตกใจมาก หัวหน้าเทพผู้ตรวจการที่อยู่อีกด้านรีบใช้พลังเทพเข้าตรวจสอบดู ไม่นานเขากลับแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา “…เหมือนว่าจะหลับไปแล้ว”

 

 

จื่อซีนึกไปถึงชิงเยี่ยนที่ทักทายฝูชางอย่างประหลาดก่อนจากไป ก็อดขนหัวลุกไม่ได้ “คงไม่ใช่ว่าองค์ชายมังกรน้อยทำอะไรกับเขาหรอกนะ”

 

 

เสวียนอี่มักจะวิวาทกับฝูชางอย่างรุนแรง หากว่าองค์หญิงจอมจุ้นไปเรียกพี่ชายของตนมาแก้แค้นให้ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไร

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการส่ายหน้า “ได้ยินว่าตระกูลจู๋อินเป็นตระกูลที่มีนิสัยรุนแรง หากจะลงมือจริงๆ คงไม่เบาอย่างนี้แน่ อีกอย่างคิดจะทำร้ายตระกูลหวาซวีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าว่าเทพฝูชางดูแล้วไม่เหมือนได้รับบาดเจ็บนัก ส่งกลับไปแดนเทพก่อนเถอะ”

 

 

จื่อซีกังวลใจมาก ตอนนี้นางได้แต่แค้นใจที่ประตูสวรรค์ทิศใต้สร้างอยู่ไกลไป ยังต้องบินไปอีกหลายวันกว่าจะถึง ราชสีห์เก้าเศียรห้อตะบึงเต็มกำลังท่ามกลางทะเลเมฆ มันบินไปร้องครางไปจนทำให้หัวหน้าเทพผู้ตรวจการแปลกใจมาก “ราชสีห์เก้าเศียรตัวนี้กลับร้องไห้ได้ด้วย!”

 

 

เสี่ยวจิ่วทั้งร้องไห้ทั้งครางหงิงๆ และวิ่งห้อไปไม่หยุดถึงสามวัน ถึงได้เห็นเงาของประตูสวรรค์ทิศใต้ แต่ว่ามันกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ดวงตาทั้งสิบแปดมีน้ำตาไหลลงมาราวกับห่าฝน จื่อซีลูบหลังของมันเพื่อปลอบ พลันได้ยินเสียงของอาจารย์ดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ “จื่อซี!”

 

 

นางรีบร้อนหมุนตัวกลับไปก็เห็นรถคันใหญ่สีทองอร่ามเหมือนกับของอาจารย์ไม่มีผิดเพี้ยนกำลังถูกกิเลนสีทองแปดตัวลากมา พริบตาเดียวก็มาหยุดตรงหน้านาง มหาเทพไป๋เจ๋อกำลังขี่อยู่บนหลังของกิเลนสีทองตัวหนึ่งและแสดงใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าอย่างหาดูได้ยากออกมา

 

 

ทั้งที่แดนเทพยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งวันแท้ๆ แต่ว่าจื่อซีได้เห็นอาจารย์ในตอนนี้แล้วกลับรู้สึกราวกับห่างกันเป็นชาติ นางรีบคารวะแล้วกล่าวเรียก “อาจารย์” ออกมาพร้อมกับดวงตาแดงเรื่อ

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อกระโดดขึ้นมาบนหลังราชสีห์ ก็เห็นฝูชางหมอบนิ่งอยู่ เขาจึงรีบใช้พลังเทพเข้าตรวจสอบทันที ไม่นานก็ร้อง “เอ๋” ออกมาแล้วกล่าวว่า “วิถีกระบี่ของตระกูลหวาซวีตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่เป็นไร ให้เขานอนไป เขาจะตื่นขึ้นมาภายในสามวัน”

 

 

ที่แท้ก็เพราะกำลังเลื่อนขั้น จื่อซีถอนหายใจออกมาแล้วถาม “อาจารย์ ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ เล่าพวกเขาไม่เป็นอะไรกันใช่หรือไม่”

 

 

“นอกจากพวกเจ้าแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ เปิ่นจั้วได้รับกลับไปแดนเทพหมดแล้ว เซ่าอี๋กับเสวียนอี่เล่า” มหาเทพไป๋เจ๋อมองไปรอบๆ

 

 

ตอนที่ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงมา เขาเสียพลังเทพไปมหาศาลถึงทำให้เหล่าศิษย์สามารถหนีการปะทะกันของไอขุ่นมัวและไอบริสุทธิ์ได้ และลงมาที่โลกเบื้องล่างนี้ได้อย่างปลอดภัย ตัวเขาเองก็แทบจะตกลงมาด้วยแล้ว หลังจากนั้นแดนเทพก็วุ่นวายอลหม่านไปหมด เขารายงานสถานการณ์คร่าวๆ ให้กับจักรพรรดิสวรรค์ฟังแล้วจึงรีบลงมาหาศิษย์ที่โลกเบื้องล่าง เขาตามหาศิษย์ทั้งหมดจากใกล้ไปไกลด้วยการทำนายพยากรณ์ ทางจื่อซีมีศิษย์สี่คนอยู่ด้วยกันและยังอยู่ห่างออกมาไกลมาก เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาจึงส่งศิษย์คนอื่นกลับมาแดนเทพก่อน แล้วถึงได้รีบร้อนมารับพวกเขาทั้งสี่คน เพิ่งจะออกจากประตูสวรรค์ทิศใต้มาก็มาเจอกับจื่อซีเข้า เห็นนางมีท่าทีอ่อนล้าราวกับคนป่วย คิดว่าหลายวันนี้คงจะเจอกับอุปสรรคและลำบากมากแน่

 

 

จื่อซีค่อยๆ เล่าเรื่องหลายวันที่ผ่านมานี้รอบหนึ่ง พูดถึงปีศาจไหวที่ตอนนี้ถูกกักไว้ในฉุนจวินตนนั้น ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ฆ่ามันให้ตายไม่ได้ มหาเทพไป๋เจ๋อรับเอาฉุนจวินมาดูทันที ไม่นานก็กล่าวว่า

 

 

“ปีศาจไหวตายแล้ว ในโลกนี้ไม่มีพลังสมานอะไรที่ไม่มีวันหมด มันถูกเซ่าอี๋ใช้เพลิงหงส์อมตะแผดเผาจนบาดเจ็บ ภายหลังยังถูกองค์ชายมังกรน้อยใช้หิมะของตระกูลจู๋อินแช่แข็งเอาไว้ สุดท้ายมาถูกปราณกระบี่จำแลงมังกรทำให้บาดเจ็บอีก กระบวนท่าเหล่านี้ถือว่าเป็นกระบวนท่าที่ขึ้นชื่อของแดนเทพทั้งนั้น มันเป็นแค่ปีศาจตัวเล็กๆ ตนหนึ่ง ไม่มีทางรับไหว”

 

 

พูดแล้วเขาก็ใช้สองนิ้วคีบไว้ ร่างของปีศาจไหวก็ตกลงมาบนหลังของราชสีห์เก้าเศียรทันที ร่างทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด ขาทั้งสองถูกตัดขาด มันตายอย่างน่าอนาถมาก

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อถูกความอัปลักษณ์ของมันทำให้ตกใจไป เขารีบผุดลุกแล้วเดินห่างไปสองก้าวอย่างรังเกียจ เขาคลำไปในอกอยู่นานก็ยังหาของที่จะเอามาเก็บซากมันไม่เจอ จึงได้แต่ถอดถุงเท้าออกมาข้างหนึ่งแล้วนำซากของปีศาจไหวที่หดเล็กจนมีขนาดเท่ากับใบไม้เก็บลงไปในนั้น

 

 

เขารีบส่งถุงเท้าไปให้กับหัวหน้าเทพผู้ตรวจการที่ยืนอยู่อีกด้านอย่างรวดเร็ว “ถึงจะตายไปแล้ว แต่ว่าซากมันยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ส่งไปที่ตำหนักหมื่นเทพดู ให้พวกเขาช่วยกันตรวจสอบดูอย่างละเอียด ไม่แน่ว่าอาจจะเจออะไรก็ได้”

 

 

หัวหน้าเทพผู้ตรวจการเห็นว่าเป็นถุงเท้าก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่รับมาด้วยท่าทางลำบากใจ นึกตำหนิในใจแล้วรีบเหาะไปทางประตูสวรรค์ทิศใต้อย่างรวดเร็ว

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “เจ้าพาฝูชางกลับไปที่ประตูสวรรค์ทิศใต้ก่อน เสวียนอี่ถูกองค์ชายมังกรน้อยรับกลับไปแล้วก็น่าจะไม่เป็นอะไร เปิ่นจั้วจะไปหาเซ่าอี๋”

 

 

เขาเอาติ้วไม้ไผ่ในอกออกมา กำลังจะทำนายทิศทางของเซ่าอี๋ก็พลันได้ยินเสียงลมดังแหวกอากาศมาท่ามกลางทะเลเมฆ นกอวิ๋นเผิง [1] ตัวใหญ่บินสูงแล้วมาหยุดใกล้ๆ ตรงหน้า เซ่าอี๋นั่งอยู่บนหลังของนกอวิ๋นเผิง เขาโอบเทพธิดาหน้าตางดงามแปลกหน้าคนหนึ่งไว้พลางยิ้มตาหยีแล้วร้องทักพวกเขาว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่หญิง”

 

 

มหาเทพไป๋เจ๋อไม่เคยไปยุ่งกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของลูกศิษย์ เห็นเขากลับมาได้อย่างปลอดภัยก็กล่าวอย่างวางใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กลับกันเถอะ”

 

 

เซ่าอี๋ลอยลงมาบนหลังของราชสีห์เก้าเศียรอย่างนุ่มนวล เทพธิดาหน้าตางดงามในอ้อมแขนเขาเองก็มาด้วย นางกอดแขนของเขาอย่างสนิทสนม ดวงตาคู่งามของนางจ้องไปที่จื่อซีและฝูชางที่หลับลึกอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้

 

 

…อยู่ที่โลกเบื้องล่างได้สามวันเขากลับไปล่อลวงเทพธิดาคนใหม่มาได้อีกคน จื่อซีไม่รู้จะว่าควรจะพูดเช่นไรดี หากเป็นแต่ก่อนนางคงไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น…ทั้งๆ ที่เขากอดเหยียนสยาและพูดขอโทษ ทั้งยังตัดสัมพันธ์ให้นาง แต่ว่าเพราะเหตุใดแค่พริบตาเดียวเขากลับไปหยอกล้อคลอเคลียกับเทพธิดาอีกคนเสียแล้ว

 

 

“ศิษย์น้องฝูชางนอนหลับหรือ” เซ่าอี๋ก้มลงพินิจดู “หรือว่า ปราณกระบี่จำแลงมังกรก่อนหน้านี้ทำให้วิถีกระบี่ของเขาตื่นขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ต้องถือว่ายอดเยี่ยมมาก”

 

 

จื่อซีพยักหน้ารับ นางทนแล้วทนอีกแต่ก็ทนไม่ไหว จึงกล่าวเสียงต่ำไปว่า “ศิษย์น้องเซ่าอี๋ ท่านนี้คือ…”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วกล่าว “นี่คือเทพธิดาหันซวงของเผ่าอวิ๋นเผิง นับๆ ดูแล้วน่าจะถือได้ว่าเป็นพี่สาวลูกพี่ลูกน้องญาติห่างๆ ของข้า คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้นางเองก็มาเป็นแขกที่จวนอวี้หยางเหมือนกัน โชคดีที่นางหนีรอดมาได้ ข้าบังเอิญไปเจอนางที่โลกเบื้องล่างเข้าพอดีจึงกลับมาพร้อมกัน ดีที่นกอวิ๋นเผิงบินได้เร็ว ไม่อย่างนั้นหากว่าข้าขี่เมฆกลับมาคนเดียวยังไม่รู้เลยว่าจะต้องบินนานเท่าไหร่”

 

 

ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นางเรียกให้เขากลับมาพร้อมกันแท้ๆ …จื่อซีฝืนยิ้มอย่างไร้คำพูด

 

 

กลับมาถึงประตูสวรรค์ทิศใต้ที่คุ้นเคย ที่นี่นอกจากทหารคุ้มกันแล้วก็ยากนักที่จะได้เห็นเทพมาเบียดเสียดรวมตัวกันที่นี่ เหล่าศิษย์ของมหาเทพไป๋เจ๋อรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นตี้ซิว [2] แต่ละคนยังไม่สามารถสงบอารมณ์ได้ และบอกเล่าเรื่องที่ตัวเองได้เจอและประสบกันที่โลกเบื้องล่างเสียงดังจอแจ

 

 

กู่ถิงเห็นจื่อซีแต่ไกลก็รีบพุ่งเข้ามาทักทายนางทันที “ศิษย์พี่หญิงจื่อซี! เสวียนอี่เล่า ฝูชาง…ฝูชาง!”

 

 

การหลับใหลของฝูชางทำให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายตกใจขึ้นมาอีกครั้ง พอรู้ว่าสหายร่วมสำนักต่างไม่มีอันตราย กู่ถิงก็ถอนหายใจออกมา เดิมเขาคิดจะถามจื่อซีว่าไปเจออะไรมาบ้างที่โลกเบื้องล่าง แต่เห็นนางมีท่าทางเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ก็ไม่ได้ถามออกไป แต่ไปพูดคุยเรื่องที่เขาไปเจอมาในโลกเบื้องล่างกับไท่เหยาต่อ

 

 

ตอนอยู่โลกเบื้องล่าง พวกเขาทั้งสองอยู่ด้วยกัน พวกเขาถือว่าโชคดีมากจึงไม่ได้เจออะไรเข้าเลย และยังได้เที่ยวเล่นอยู่ในเมืองของมนุษย์อยู่หลายวันอีก สุขสำราญกันมาก

 

 

จื่อซีฟังอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ความนึกคิดของนางกลับล่องลอยออกไปไกล นางกลับมองหาเงาของเซ่าอี๋ท่ามกลางแสงรัศมีเทพอย่างไม่รู้ตัว แต่ว่านางกลับหาไม่พบ

 

 

นางรู้สึกไม่ชอบใจเซ่าอี๋มานานมาก และยังเชื่อมาตลอดว่าเขาเป็นพวกที่ชอบเล่นกับอารมณ์และเหยียบย่ำความจริงใจของผู้อื่น เหล่าเทพกำลังนิยมการไม่ทำตามกฎเกณฑ์กันอย่างมากก็เพราะว่ามีเทพประเภทเดียวกันกับเขามากเกินไป

 

 

ครั้งนี้เจอภัยพิบัติและลงมาที่โลกเบื้องล่าง ระหว่างนางยังไปเจอกับเขาเข้าอย่างบังเอิญ ในใจก็ระวังตัวตลอดว่าหากเขามีท่าทีอยากจะพูดจาหยอกล้อนาง นางจะต้องรีบใช้โอกาสนี้สั่งสอนเขาหนักๆ แน่ แต่ใครจะรู้ว่าตลอดทางเขากลับมีท่าทางสุภาพมาก กระทั่งพูดยังพูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น จนทำให้นางที่อยู่ไม่สงบดูราวกับคนโง่งม

 

 

ภายหลังเขาพูดว่าจะไปหาเหยียนสยาเพียงลำพังทำให้นางตกใจมาก เดิมนางคิดว่าที่เขาพูดจะไปหาเหยียนสยาก็แค่คำพูดล้อเล่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขากลับใส่ใจจริงๆ นับจากนั้นนางก็มองเขาเปลี่ยนไปทันที

 

 

แต่ว่าเมื่อครู่นี้ เทพธิดาเผ่าอวิ๋นเผิงคนนั้น…

 

 

แม้แต่นางเองยังต้องหวาดกลัวและสับสนเลย โดยไม่ทันรู้ตัว ในหัวของนางกลับคิดถึงแต่เรื่องของเซ่าอี๋

 

 

 

 

ลมที่เต็มไปด้วยไอขุ่นมัวของโลกมนุษย์ทำให้รู้สึกไม่ดีนัก เสวียนอี่เอาผมที่แนบติดใบหน้าออกแล้วเงยหน้ามองชิงเยี่ยน

 

 

นับจากที่ออกมาจากหลุมนั้นเขาก็เงียบมาตลอดทาง พวกเขาไม่ได้เจอกันมาสามร้อยปี ตามปกติแล้วควรจะมีเรื่องมากมายมาพูดกัน เขาเองก็ไม่ได้เป็นพวกไม่ชอบพูดจาอย่างฝูชาง แต่ว่าเขากลับนิ่งเงียบด้วยท่าทีราวกับมีเรื่องหนักอึ้งอะไรในใจ

 

 

เสวียนอี่ใช้หน้าผากกระแทกอกเขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ชิงเยี่ยน พี่รู้จักเซ่าอี๋ของตระกูลชิงหยางคนนั้นมานานแล้วใช่ไหม อีกอย่าง เรื่องที่ข้าบาดเจ็บตอนที่ข้ายังเล็กนั่นมันเรื่องอะไรกัน”

 

 

ชิงเยี่ยนสีหน้าท่าทีเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ถามกลับมาว่า “เซ่าอี๋คนนั้นบอกเจ้าหรือ ข้าหลับไปสามร้อยปี คิดไม่ถึงเลยว่าฉีหนานกับท่านพ่อจะหาอาจารย์ให้เจ้าเร็วขนาดนี้ ซ้ำยังเป็นมหาเทพไป๋เจ๋ออีก หากว่าหากรู้ ข้าไม่ให้เจ้าไปแน่ น่าเสียดายที่ต่อให้พูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

 

 

เสวียนอี่มองเขานิ่งไม่พูดจา รอยคล้ำกลางหน้าผากของชิงเยี่ยนเข้มขึ้น นิ่งไปพักหนึ่งนางถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “ตอนนั้น ท่านแม่ทรมานและแค้นท่านพ่อเรื่องที่เขาเจ้าชู้จึงออกไปจากเขาจงซาน และยังพาท่านไปด้วย ภายหลังไปเจอเผ่าถงซานมาท้าทายเข้า ท่านแม่ถูกพวกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บหนักและดับสูญไป เจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บเพราะเรื่องนี้ พอหายดีเจ้าก็ลืมช่วงนั้นไปหมด คิดว่าน่าจะเพราะเจ็บปวดเกินไป ลืมไปได้เสียก็ดี”

 

 

สีหน้าของเสวียนอี่เปลี่ยนไปทันที มีเรื่องนี้ด้วย นาง…ทำไมถึงลืมไปหมดได้ นางจำได้แค่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างไม่สิ้นสุดของท่านแม่ และยังมีเกล็ดหิมะที่ตกลงมาไม่ขาดสายนอกหน้าต่าง รวมถึงเลือดสีแดงสดเต็มพื้นในตอนที่ท่านแม่ดับสูญ

 

 

“ข้ารู้จักเซ่าอี๋มานานแล้วจริงๆ แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเจ้า ถามไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับเขาจะเป็นเพื่อนร่วมสำนักกัน…เจ้าออกห่างเขาหน่อย เทพองค์นี้มีชื่อเสียงเรื่องเจ้าชู้มาก เรื่องของท่านแม่ มีแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว”

 

 

เสวียนอี่กลับยิ้มออกมา “พี่กลัวว่าข้าจะเหมือนกับท่านแม่หรือ ชิงเยี่ยน พี่คิดมากไปแล้ว”

 

 

ชิงเยี่ยนกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าจะเหมือนกับท่านแม่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ว่าเจ้ายังอายุน้อย ทุกที่มีเทพและมหาเทพที่เลวร้ายยิ่งกว่าท่านพ่ออยู่อีกมาก ใครมารังแกเจ้า ข้าก็สั่งสอนเขาแทนเจ้าได้ แต่ว่าหากใครมาทำร้ายจิตใจเจ้า ข้ากลับไม่รู้จะต้องทำอย่างไร”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ “ตอนนี้ความสามารถในการเปลี่ยนเรื่องของพี่นับวันยิ่งสูงส่งจนจะเหมือนกับฉีหนานแล้ว ข้าไม่รู้จะพูดอะไรดีแล้ว”

 

 

ชิงเยี่ยนยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ พลันได้ยินนางกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไม่มีทางเหมือนกับท่านแม่”

 

 

เขารู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ที่เขาพูดถึงท่านแม่ก็เพราะต้องการเปลี่ยนเรื่องจริงๆ นางจะได้ไม่ต้องมาจี้ถามเขาเรื่องเซ่าอี๋อีก คิดไม่ถึงว่านางจะพูดออกมาเช่นนี้

 

 

ชิงเยี่ยนมองท่าทีนิ่งเฉยของนาง กลับรู้สึกงงงันขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

[1] นกอวิ๋นเผิง : นกในเทพนิยายของจีน มีขนาดมหึมา สามารถบินได้เร็วและไกลมาก

 

 

[2] ต้นตี้ซิว : ต้นไม้ในตำนานต้นหนึ่งมีอีกชื่อว่า ต้นไร้ทุกข์ เชื่อกันว่าหากว่าได้กินมันเข้าไปจะทำให้สามารถขจัดความทุกข์ทั้งหมดได้