……
จิ๋งจิ่วลอยจากด้านล่างบึงสีเขียวขึ้นมายังด้านบน เขามองเห็นเศษซากบางอย่างที่กำลังพ่นฟองปุดๆ แล้วค่อยๆ หายไป จากนั้นก็มองเห็นใบหน้าใบหน้าหนึ่ง
พูดให้ถูกก็คือเป็นหนังหน้าแผ่นหนึ่ง ด้านบนยังมีอารมณ์ที่ไม่ยินยอม โกรธแค้นและสิ้นหวังหลงเหลืออยู่
ยอดฝีมือพรรคมารที่เคยโหดร้ายและดื้อรั้น จุดจบสุดท้ายก็เป็นได้แค่อาหารอันน่าเบื่อของสัตว์เทพบางตัว นี่ย่อมต้องเป็นการทำลายและดูหมิ่นที่ยากจะยอมรับได้
ใบหน้านั้นลอยอยู่ในบึง ก่อนจะหายไปอย่างช้าๆ
จิ๋งจิ่วมองดูภาพนี้ สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขาลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ ในมือถือกระบี่เหล็กว่ายมายังริมบึง
กระบี่เหล็กเล่มนี้ถูกเขาทำหายอยู่ในบึงเป็นเวลาสามปี ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือมันไม่หายไปไหน มีเพียงแค่เศษสนิมที่อยู่บนผิวกระบี่หลุดลอกออกไปเป็นจำนวนมากเท่านั้น รอยไหม้จากการเผากระบี่ตอนที่อยู่ในที่ราบหิมะมาเป็นเวลาหกปีถูกน้ำในบึงชะล้างจนมันวาวขึ้นกว่าเดิม แต่นี่มิได้ทำให้กระบี่เหล็กเปล่งประกายเหมือนเอาน้ำะล้างทวนเงิน ในทางกลับกัน มันกลับยิ่งดูน่าเกลียดขึ้นกว่าเดิม ดูคล้ายกับก้อนปฏิกูลอย่างไรอย่างนั้น
จิ๋งจิ่วมิได้รู้สึกไม่พอใจ การที่มันสามารถแช่อยู่ในน้ำที่มีความกัดกร่อนและความเป็นพิษที่รุนแรงขนาดนี้แล้วยังไม่ละลายหายไป ต่อให้เป็นกระบี่บินชั้นเซียนก็ไม่แน่ว่าจะทำแบบมันได้
เขาใช้เพลิงกระบี่เผาไหม้น้ำในบึงที่มีพิษอันรุนแรงออกไปจากร่างกายจนสะอาด จากนั้นหยิบเอาชุดสีขาวชุดใหม่มาสวม ใช้พายุกระบี่บดบังใบหน้า แล้วค่อยหมุนตัวมองขึ้นไปบนหน้าผาที่อยู่สูงขึ้นไป
บนหน้าผาเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำที่เปียกชื้น ดูแล้วเหมือนกับแถบผ้าสีเขียวแถบหนึ่งที่ขึ้นรา
ชายชราก้มมองดูเขาจากบนหน้าผา ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงปลิวไหวไปมา สีหน้าเฉยชา มุมปากมีรอยเลือดติดอยู่
จิ๋งจิ่วคาดเดาได้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร สิ่งมีชีวิตที่เดินไปไหนมาไหนในคุกสะกดมารได้อย่างอิสระนั้นมีแค่มันเพียงผู้เดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ปูดนูนขึ้นมาจากในผมเผ้าอันยุ่งเหยิงของมันก็ดูชัดเจนเป็นอย่างมาก
เขาทำการเตรียมความพร้อมในการเข้าออกคุกสะกดมารอย่างระมัดระวัง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ต้องการทำให้มันผู้นี้รู้ตัว คิดไม่ถึงเลยว่าผลสุดท้ายจะล้มเหลว
ใครเป็นคนบอกสำนักจงโจว? คนผู้นั้นได้บอกหรือเปล่าว่าตนเป็นใคร?
ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องเหล่านี้ อันตรายก็ได้มาถึงแล้ว
ชายชรามิได้สนใจที่จะสนทนากับเขา
บริเวณหน้าผามีลมพัดรุนแรงขึ้นมา ส่งเสียงคำรามหวีดหวิว ปกคลุมอากาศด้านบนราวคมมีด
ตะไคร่น้ำถูกลมพัดตกลงมา เศษดินโคลนที่เหม็นเน่ากระจัดกระจายเต็มไปทั่ว
ไอพลังที่รุนแรงอย่างที่ยากจินตนาการได้สายหนึ่งได้ตกลงมาด้านบนบึงสีเขียว
อย่าว่าแต่จิ๋งจิ่วเลย ต่อให้เป็นผู้อาวุโสขั้นแหวกทะเลของชิงซานก็ไม่สามารถต้านทานพลังสายนี้ได้
ภายในคุกกระบี่ ไม่มีใครที่จะเอาชนะชายชราผู้นี้ได้
ในอดีตตอนที่ปู้เหล่าหลินคิดอยากจะลอบสังหารลู่กั๋วกง ลู่กั๋วกงบอกว่าไม่มีใครที่จะสังหารตัวเองในวัดไท่ฉางได้ ความจริงแล้วมันก็เป็นหลักการเดียวกัน
ความคิดขยับ ฟ้าดินเขยื้อน
ใครจะหลบหนีออกไปนอกฟ้าดินแห่งนี้ได้?
น้ำในบึงสีเขียวที่มีเศษกระดูกของปีศาจยักษ์ตัวนั้นหลงเหลืออยู่ โหมกระหน่ำใส่จิ๋งจิ่วราวพายุฝนที่มีลูกเห็บปะปนมาด้วย
ลำแสงกระบี่สว่างวาบ
ท่ามกลางพายุฝนสีเขียว จิ๋งจิ่วแปลงเป็นลำแสงกระบี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หลบการโจมตีอันทรงพลัง ขณะเดียวกันก็พยายามหาจุดอ่อนที่อยู่ในไอพลังอันรุนแรงนั้น
ชายชรายืนอยู่ริมผา มองดูร่างที่เคลื่อนไหววกไปวนมาอยู่ในฝนพิษ สีหน้าเรียบเฉย
การที่สามารถหลบซ่อนจากการรับรู้ของเขาและเข้าไปยังชั้นที่ลึกที่สุดของคุกสะกดมารได้ คนผู้นั้นย่อมมิใช่คนธรรมดา
เสียงฟิ้วเบาๆ ดังขึ้น
จิ๋งจิ่วชูกระบี่ขึ้นด้านบน ฝ่าสายฝนพิษบินขึ้นมาบนหน้าผา
เมื่อเห็นภาพนี้ ชายชรารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
วิธีการควบคุมกระบี่เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยๆ ในสมัยโบราณเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้มีน้อยคนนักที่จะใช้วิธีนี้
ที่สำคัญที่สุดก็คือสภาวะของจิ๋งจิ่วอ่อนแอกว่าตอนที่เขาสัมผัสได้ในตอนแรกเสียอีก อย่างนั้นอีกฝ่ายล่วงรู้ความลับที่สำคัญที่สุดของคุกสะกดมารได้อย่างไร อีกทั้งยังกล้ามาที่นี่ด้วยตัวเองอีก?
ชายชราไม่คิดอีกต่อไป
ไม่มีใครจะมานั่งคิดว่ามดปลวกกำลังคิดอะไรอยู่
อ่อนแอขนาดนี้ อย่างนั้นก็กินเข้าไปเลยแล้วกัน
ชายชรายื่นมือขวาคว้าตะปบไปในอากาศอันมืดมิด
พลังที่ไร้รูปร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากในโลกอันมืดมิด ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ตกลงมาตรงด้านหน้าหน้าผาราวตาข่ายผืนหนึ่ง จากนั้นหุบรวบขึ้นไป
จิ๋งจิ่วที่บินด้วยความเร็วสูงพลันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ เขายังคงอยู่ในท่าทางชูกระบี่อยู่
พลังที่ไร้รูปร่างสายนั้นส่งผลอยู่บนร่างกายเขา ทำให้เสื้อผ้าบนร่างกายเขาเปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย ในร่างกายมีเสียงครึกดังขึ้นมา คล้ายกระดูกพร้อมจะหักลงทุกเมื่อ
พลังสายนั้นมาจากทุกทิศทาง ดังนั้นน้ำในบึงที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกายเขาจึงมิได้ร่วงตกลงไปราวสายฝน หากแต่ซึมลึกลงไปบนเสื้อผ้า กัดกินจนเป็นรู บ้างเล็กบ้างใหญ่
ผมที่เปียกชื้นเล็กน้อยห้อยตกลง เสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทางดูน่าขบขัน ไม่ว่าจะดูอย่างไร ตัวเขาที่อยู่ในภาพนี้ก็ดูกระเซอะกระเซิงน่าสงสาร
ชายชรายืนอยู่ริมผา สบตาจิ๋งจิ่วอย่างเงียบๆ
คนสองคนที่สภาวะแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน อย่างน้อยตอนนี้ก็อยู่ในระดับความสูงเดียวกัน
จิตใจก็เช่นเดียวกัน
จิ๋งจิ่วสงบนิ่ง ในดวงตาไร้ซึ่งความหวาดกลัว
ชายชราแปลกใจเล็กน้อย กล่าวถามว่า “เจ้าคือผีตัวนั้น?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “เจ้าคือมังกรตัวนั้น?”
“รู้ว่าข้าเป็นใคร อีกทั้งไร้ซึ่งความหวาดกลัว ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าจะทำให้เจ้าถูกกินในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อสำนักของเจ้า”
จิ๋งจิ่วรู้ว่านี่เป็นค่าตอบแทนที่ทำให้อีกฝ่ายยอมอยู่ในเมืองเจาเกอ
ค่าตอบแทนนที่ว่าก็คือ…หลังจากที่นักโทษในคุกสะกดมารตายไป พวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นอาหารของชายชรา
ปราณก่อกำเนิดและพลังของยอดฝีมือพรรคมารและมารเผ่าหมิงเหล่านั้นจะถูกชายชราแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุด และใช้มันเพื่อเพิ่มอายุขัยของตัวเอง
ในตอนนั้นที่พลังในร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยขัดแย้งกัน จิ๋งจิ่วก็เคยคิดถึงเรื่องนี้
นอกจากมังกรชางหลงของสำนักจงโจวแล้ว ก็มีแต่ซือโก่วเท่านั้นที่สามารถเอาพลังชั่วร้ายที่ซับซ้อนที่สุดและสกปรกที่สุดแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังจักรวาลที่บริสุทธิ์ที่สุดได้
ถูกต้อง ชายชราที่อยู่ในคุกสะกดมารผู้นี้ก็คือมังกรชางหลง สัตว์เทพของสำนักจงโจว หรือพูดอีกอย่างก็คือดวงจิตของมังกรชางหลง
จิ๋งจิ่วกล่าว “ตามข้อตกลงที่ว่าไว้ในตอนแรก เจ้ากินได้แค่คนตายเท่านั้น”
ชายชรารู้สึกแปลกใจที่เขารู้เรื่องที่ยาวนานขนาดนี้ด้วย จึงกล่าวว่า “เอาไว้ข้ากินเจ้าแล้ว เจ้าย่อมต้องตายไปแล้วแน่นอน”
จิ๋งจิ่วคิดถึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความไม่ยินยอมในบึงก่อนหน้านี้ จึงกล่าวว่า “ที่แท้เจ้าก็ทำผิดข้อตกลงมาโดยตลอด”
ชายชรากล่าวว่า “คนเป็นย่อมต้องอร่อยกว่าคนตาย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เจ้าไม่กลัวจะถูกกฎสำนักจงโจวลงโทษ?”
“ไม่มีใครที่จะรอดออกไปจากคุกสะกดมารได้ นี่คือกฎที่ท่านนักพรตไป๋ตั้งให้ข้าในตอนแรก เช่นนั้นใครจะรู้ได้ว่าคนที่ข้ากินเป็นคนเป็นหรือคนตาย?”
ชายชราหัวเราะขึ้นมา จากนั้นอ้าปากกว้าง
ปากของเขาอ้าเปิดออก ใหญ่เสียยิ่งกว่าร่างกายของตัวเขาเสียอีก ดูแล้วเหมือนอสรพิษที่กำลังจะกินเหยื่อ
พลังที่ไร้รูปร่างสายนั้นดึงจิ๋งจิ่วเข้าไปยังริมผา
ปากของชายชรามีน้ำลายไหล กลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้ง ภายในปากเต็มไปด้วยก้อนเนื้อปูดขึ้นมา ลวดลายบนก้อนเนื้อดูคล้ายมันสมองของมนุษย์
ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือเขี้ยวอันคมกริบสี่เขี้ยวที่งอกออกมาจากในปาก นั่นคือเขี้ยวมังกร
จิ๋งจิ่วมองดูภาพเหล่านี้ สีหน้ามิแปรเปลี่ยน เขาถามว่า “หรือเจ้าไม่อยากรู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่?”
ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งภายในปากของชายชราพลันปริแตกออก กลายเป็นปากปากหนึ่ง ส่งเสียงที่น่าเกลียดน่ากลัวออกมา เต็มไปด้วยความรู้สึกดูถูกและเย้ยหยัน
“ถึงเจ้าอยากบอก ข้าก็ไม่มีทางถาม เพราะข้าจะใช้วิชาค้นดวงจิตช่วงชิงเศษเสี้ยวจิตสำนึกของเจ้ามา ความเจ็บปวดอันรุนแรงเช่นนั้นและความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจะทำให้เลือดลมของเจ้าพลุ่งพล่าน ข้าเคยบอกแล้ว ร่างกายอันงดงามอย่างเจ้าควรจะถูกข้ากินในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด เช่นนี้จึงจะถือว่าใช้ประโยชน์จากร่างกายเจ้าได้สูงสุด ต่อไปหากอาจารย์ที่สำนักชิงซานของเจ้ารู้เรื่อง พวกเจ้าควรจะขอบคุณข้าถึงจะถูก”
วิชาค้นดวงจิตยากที่จะได้รับความทรงจำที่สมบูรณ์ในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ผู้บำเพ็ญพรตที่ถูกค้นหาดวงจิตจำต้องเผชิญกับการทรมานทางจิตที่เจ็บปวดที่สุด
ชายชราไม่ได้อยากฟังจิ๋งจิ่วพูด เขาจะใช้วิชาค้นหาดวงจิตก็เพราะอยากทรมานจิ๋งจิ่ว บางทีอาจเป็นเพราะเขาคาดเดาได้แล้วว่าจิ๋งจิ่วเป็นใคร
ร่างกายครึ่งร่างของจิ๋งจิ่วเข้าไปในปากของชายชรา เขี้ยวอันแหลมคมจ่ออยู่ที่เอวของเขา แต่สีหน้าเขายังคงเรียบเฉย เขากล่าวว่า “อย่างนี้นี่เอง ความเจ็บปวดที่เจ้าพยายามจะสร้างให้กับร่างกายของชิงซานจะกลับไปหาเจ้าทั้งหมด”
นั่นคือเขี้ยวมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลกนี้ ต่อให้เป็นอาวุธวิเศษชั้นเซียนก็ยังสามารถแทงทะลุได้
ต่อให้เขี้ยวมังกรคู่นี้จะมิใช่ร่างที่แท้จริง แต่ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนจะใช้ร่างกายรับมันได้
ในดวงตาของชายชราเผยให้เห็นสายตาที่โหดร้ายและหยอกล้อ จากนั้นขย้ำลงไป
เสียงตู้มดังสนั่น
ด้านหน้าหน้าผาเกิดลมส่งเสียงหวีดร้องคลุ้มคลั่ง สายฟ้าฟาดดังกัมปนาท
เสียงที่สนั่นนั้นมาจากการเสียดสีกันของฟันมังกร
เสียงร้องเจ็บปวดอย่างรุนแรงเสียงหนึ่งดังตามขึ้นมา
ชายชราเอามือปิดปาด โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากซอกนิ้วมือ
ใบหน้าเขาขาวซีด ตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
แข็งมาก!
เขามองไปทางด้านหน้า
จิ๋งจิ่วได้หายตัวไปแล้ว
ชายชรายิ่งโกรธเกรี้ยว จิตจำแนกกวาดออกไป ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายได้หนีออกไปไกลหลายลี้แล้ว จึงตะโกนเสียงดังสนั่นว่า “เจ้าอย่าได้ฝันว่าจะหนีไปจากที่นี่ได้!”
จิ๋งจิ่วเหลียวหน้ากลับมามองเขา กล่าวว่า “นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น”