บทที่ 503
บทที่ 503
ถังหยินและหยินโหรวเดินออกจากห้องอักษร ระหว่างทางถังหยินก็กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “ดูเหมือนว่าท่านจะไม่อยากเจอทูตจากแคว้นฉวนนะ…”
หยินโหรวกล่าวว่า “เพราะเหตุผลที่พวกเขามาคือ ต้องการเกณฑ์ทหาร”
ถังหยินกะพริบตาด้วยความสงสัยและถาม “ว่าอย่างไรนะ…”
หยินโหรวกล่าวอย่างแผ่วเบา “เมื่อไม่นานมานี้ ท่านเสนาบดีหวังอี้ได้เสนอให้ปฏิรูปกองทัพของเมืองหลวง แต่ถ้าเราจะเกณฑ์ทหารจากเมืองหลวง เวลาที่ใช้ในการรวบรวมทหารใหม่นานเกินไปและค่าใช้จ่ายก็จะสูงเกินไป ดังนั้นเขาจึงสนับสนุนให้ย้ายกองกำลังจากแคว้นต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลา อย่างไรก็ตาม หวังอี้เจอกับการต่อต้านของขุนนางหลาย ๆ ฝ่าย และแคว้นฉวนก็เป็นหนึ่งในขุนนางฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งที่สุด”
“เป็นเช่นนั้น!” ถังหยินตอบอย่างครุ่นคิด ในท้ายที่สุดก็มีทหารรักษาพระองค์เพียงไม่กี่หมื่นคน มันเป็นความคิดที่ดีที่จะดึงกองกำลังจากแคว้นต่าง ๆ เพื่อรับการสนับสนุนจากกองทัพขุนนาง แต่อำนาจการบังคับบัญชาอยู่ในมือของโอรสสวรรค์
สิ่งนี้ทำให้สิทธิของขุนนางอ่อนแอลงอย่างไม่ต้องสงสัย ในขณะเดียวกันก็เพิ่มอำนาจของโอรสสวรรค์ ดังนั้น พวกขุนนางย่อมไม่เห็นด้วยแน่นอน! ถังหยินขมวดคิ้วและพูดว่า “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”
“ในเวลานั้นแคว้นเฟิงน่าจะเป็นช่วงที่ซ่งเทียนตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ส่วนคำสั่งของโอรสสวรรค์ก็น่าจะถูกส่งไปยังซ่งเทียนด้วยเช่นกัน” หยินโหรวคาดเดา
เป็นไปได้! ถังหยินพยักหน้าและไม่ได้ติดตามเรื่องต่อไป ถ้าเขาเป็นผู้ครองแคว้นขึ้นมาจริง ๆ เขาคงไม่โง่ถึงขนาดที่จะย้ายกองทัพของตนไปที่ชางจิง และใช้เงินเพื่อสนับสนุนคนของตัวเอง ในขณะที่พวกเขาได้รับคำสั่งจากคนอื่น
ถังหยินไม่ได้พูดออกไป หยินโหรวก็เช่นกัน ทั้งสองเดินไปข้างหน้าท่ามกลางความเงียบ บางทีอาจเป็นเพราะหยินโหรวหมกมุ่นอยู่กับความคิดของนางมากเกินไป และไม่ได้สังเกตที่เท้า หญิงสาวสะดุดเข้ากับก้อนอิฐสี่เหลี่ยม ทำให้นางเสียหลักจนหน้าคะมำ
“องค์หญิง! ระวังพ่ะย่ะค่ะ!” ร่างกายของถังหยินเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้า เขารีบวิ่งไปที่ด้านข้างของหยินโหรวและคว้าตัวนางไว้
หยินโหรวที่ตื่นตระหนกก็ได้สติขึ้นมาในบัดดล เมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ในอ้อมกอดของถังหยิน ใบหน้าหยกเสลาของนางก็แดงทันที ในใจหวนนึกถึงตอนที่นางอยู่ในแคว้นเฟิง ถังหยินในตอนนั้นก็กอดนางแน่นเช่นนี้ ขณะที่กำลังต่อต้านมือสังหารจำนวนมาก
อ้อมกอดของเขามักทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างสุดจะพรรณนาได้เสมอ! และแล้วแก้มสีดอกกุหลาบของหยินโหรวก็แดงขึ้นมา
เมื่อเห็นหยินโหรวมีท่าทีน่ารักเช่นนี้ ถังหยินคิดอยากจะก้มศีรษะลงจูบนาง แต่เขาต้องหยุดตนเองไว้ เพราะด้านหลังนั้นคือวังหลวง ซ้ำยังมีองครักษ์มากมาย เขาไม่อาจกระทำสิ่งใดที่นำพาให้ชื่อเสียงของหยินโหรวเสื่อมเสียได้ ชายหนุ่มประคองร่างกายของหยินโหรวให้มั่นคง จากนั้นก็หดแขนกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
“พรุ่งนี้เจ้าจะออกจากเมืองหลวงหรือ” หยินโหรวใช้คำถามเพื่อปกปิดความทุกข์ในใจของนาง
“ใช่” ถังหยินมองตรงไปที่หยินโหรว ถ้านางเอ่ยขอให้เขาพานางกลับไปยังแคว้นเฟิงด้วย เขาจะตกลงรับคำนางโดยไม่ลังเลอย่างแน่นอน โดยไม่สนว่าจะมีคนพยายามห้ามเขาแค่ไหน
ทว่าหยินโหรวไม่ได้พูดออกมา นางเพียงแค่ตอบกลับเสียงเบา “โอ้” และไม่พูดอะไรอีก สวนทางกับการแสดงออกที่โดดเดี่ยวและเศร้าโศก ซึ่งปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของนาง
หัวใจของถังหยินเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น ยากที่จะแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งได้อีก เขายกมือขึ้นต้องการที่จะโอบกอดอีกฝ่าย ทว่าสุดท้ายมือคู่นั้นก็หยุดลงกลางอากาศ
“ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้า” หยินโหรวกล่าวเบา ๆ
เมื่อถังหยินและหยินโหรวเดินออกจากจาก เสี่ยวมินก็ออกมาต้อนรับพวกเขาทันที ก่อนอื่นใด นางทักทายพวกเขาด้วยความเคารพ จากนั้นก็หยิบยารวมวิญญาณออกมาและมอบให้กับถังหยิน
หลังจากกลืนยารวมวิญญาณเข้าไป ทันใดนั้นถังหยินก็จำอะไรบางอย่างได้ เขาล้วงมือเข้าไปในอ้อมอกและหยิบถุงหนังวัวซึ่งมีรอยนูนออกมา ส่งมันไปให้หยินโหรวและกล่าวว่า “ข้าอยากจะมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้ามานานแล้ว”
“มันคืออะไร?” หยินโหรวรับกระเป๋าหนังมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางดึงเชือกออกและภายในนั้นก็ปรากฏอัญมณีสีเขียวหยกอยู่เม็ดหนึ่ง
อัญมณีนี้มีขนาดครึ่งหนึ่งของฝ่ามือ ไร้ซึ่งตำหนิแม้แต่น้อย เมื่อถือมันไว้ในมือ ไอเย็น ๆ ก็แผ่ออกก่อนจะกระจายไปทั่วร่าง
ในฐานะเจ้าหญิงแห่งจักรวรรดิ นางครอบครองสมบัติเอาไว้มากมาย ทว่ากลับไม่เคยเห็นอัญมณีที่สวยงามและแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน เมื่อมองไปที่มัน ก็ราวกับว่านางกำลังมองเข้าไปในดวงตาของถังหยิน และความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในใจของนาง
เมื่อเห็นหยินโหรวถือหินหยกโดยไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน ถังหยินก็เริ่มกังวลในที่สุด เขาขมวดคิ้วและถามว่า “องค์หญิงไม่ชอบหรือ…” พูดอย่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปคว้าอัญมณีในมือของอีกฝ่าย
ทว่าไม่สามารถคว้าอัญมณีได้ และที่คว้าได้ก็เป็นเพียงกำปั้นที่กำแน่นของหยินโหรวเท่านั้น ถังหยินมองนางอย่างแปลกประหลาด แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ รอยยิ้มพร่างพราวบนใบหน้าของหยินโหรว นางพูดเบา ๆ ว่า “ข้าชอบมาก ข้าจะเก็บเอาไว้อย่างดี…”
เมื่อถังหยินได้ยินดังนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว ๆ ออกมา ยากนักที่ถังหยินจะได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสเช่นนี้จากนาง
หินคริสตัลสีเขียวนี้ถูกพบในถ้ำใต้ดิน ตอนที่ถังหยินกำลังฝึกวิชาเพลิงแห่งความมืด ในเวลานั้นเขาไม่คิดว่ามันเป็นสมบัติอะไรสักอย่าง จึงหยิบเพียงสองชิ้น ก่อนจะมอบให้เสี่ยวมินอีกหนึ่งชิ้น
“มันคงมีค่ามาก” หยินโหรวยิ้มให้ถังหยิน “แค่อันเดียวก็เพียงพอแล้ว”
ช่างง่ายดายยิ่ง… ถังหยินมองเจ้าหญิงด้วยความสงสาร บางทีนางอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แต่ยิ่งเขาเข้าใกล้หยินโหรวมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งจมลึกลงไปเท่านั้น ความรักของเขาที่มีต่อหยินโหรวได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของเหตุผลของตนไปแล้ว
หยินโหรวรักหยกอันนี้อย่างมาก จากนั้นนางก็คืนถุงผ้าให้กับถังหยิน ทว่าหลังจากครุ่นคิดสักครู่นางก็เปลี่ยนใจ ก้มหน้ามัดถุงผ้าเข้ากับเข็มขัดของถังหยินด้วยมือของนางเอง
เสี่ยวมินไม่เพียงแต่ตกตะลึงกับการกระทำของอีกฝ่าย แม้แต่ทหารรอบข้างยังตกตะลึงจนขากรรไกรของพวกเขาแทบหลุดมาที่อก เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และยิ่งใหญ่มอบถุงผ้าให้คนอื่น สิ่งนี้เกินขอบเขตความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว
ถังหยินอดที่จะเอ่ยด้วยความกังวลไม่ได้ “ข้าทำเองได้!”
หยินโหรวหาได้ฟังไม่ นางยังคงทำต่อไป ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “นี่คือยันต์ป้องกันตัวที่ท่านพ่อมอบให้ข้า”
ถังหยินไม่รู้ว่าเขาต้องใช้พลังใจมากแค่ไหนในการระงับความต้องการที่จะโอบกอดนาง ในยุคนี้มีจารีตมากเกินไป ถังหยินจึงยังไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม เมื่อได้เห็นหยินโหรวอยู่ใกล้ ๆ เขาทำได้เพียงพึมพำชื่อของนางในใจอย่างเงียบ ๆ แต่ในใจของเขาได้สัตย์สาบานไว้แล้วว่า วันหนึ่งเขาจะต้องมีพร้อมทุกสิ่งเพื่อนาง!
หลังจากออกจากพระราชวัง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ถังหยินรีบตรงกลับไปยังโรงแรมด้วยอารมณ์ที่ไม่สงบ
คราวนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนเมื่อครั้งก่อน ดูเหมือนว่าหลังจากครั้งสุดท้ายที่ผู้ใช้ศาสตร์มืดล้มเหลวในการลอบสังหารถังหยิน อีกฝ่ายก็ยับยั้งตัวเองมากขึ้น และไม่กล้าที่จะมีปัญหากับเขาต่อไป
เมื่อกลับไปที่โรงเตี๊ยม ถังหยินก็เรียกผู้ติดตามทั้งสามออกมา พวกเขาจะออกจากเมืองในคืนนี้และมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหยาน อย่างไรก็ตามเจียงหลูและสายลับคนอื่น ๆ จะยังอยู่ในชางจิง
อันที่จริง สถานการณ์ของเมืองหยานในใจของถังหยิน ไม่ได้ร้ายแรงพอที่เขาจะต้องเดินทางกลับข้ามคืน เพียงแต่เขาไม่กล้าที่จะอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไป เพราะเขากลัวว่าจู่ ๆ ตนเองจะไม่เต็มใจที่จะจากไปเพราะหยินโหรว
ชายหนุ่มภูมิใจในการควบคุมตนเองที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แต่ต่อหน้าหยินโหรวเขาไม่มีความมั่นใจในการควบคุมตนเองเลย
ในตอนที่พวกเขามาถึงเมืองหลวงของจักรวรรดิ ถังหยินได้พาหลีเทียนและเจี๋ยงฟานมาด้วย
ทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงรีบออกไปอย่างกะทันหัน แต่หลีเทียนกับเจี๋ยงฟานไม่กล้าถามมากเกินไป ทั้งคู่แบกกระเป๋าและเดินตามถังหยินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว
ถังหยินออกจากชางจิงในชั่วอึดใจ จากนั้นก็เข้าสู่แคว้นอัน หลีเทียนและเจี๋ยงฟานใช้พลังทั้งหมดที่มีก็แล้ว แต่ก็ไม่อาจตามถังหยินได้ทัน พอพวกเขาเข้าไปในดินแดนของแคว้นอัน ซึ่งเป็นระยะทางกว่าสองร้อยลี้แล้ว ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีไป ม้าของถังหยินค่อย ๆ วิ่งช้าลง
ในที่สุดหลีเทียนกับเจี๋ยงฟานก็ตามถังหยินทัน หลีเทียนกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวว่า “นายท่าน เราควรพักผ่อนก่อนนะขอรับ ม้าจะไม่ไหวแล้ว!”
ถังหยินเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของเขา มองลงไปและเห็นว่าม้าที่ขี่กำลังสั่นเทา หากยังวิ่งต่อไป มันอาจจะตายด้วยความเหนื่อยล้าได้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นพักที่นี่สักประเดี๋ยว”
หลังจากทั้งสามลงจากหลังม้าแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเจ็บที่บั้นท้าย ร่างกายหนึบชาราวกับว่ากระดูกทั้งหมดในตัวกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
ถังหยินปล่อยม้าของเขาไปด้านข้าง เพื่อให้มันกินหญ้าบนพื้นหญ้า ขณะที่ตัวเขาเองก็นั่งลงบนพื้น เอนร่างกายไปข้างหลัง มองดูดวงดาวบนท้องฟ้าและพูดว่า “หลีเทียน เจี๋ยงฟาน!”
“ขอรับ?”
หลีเทียนและเจี๋ยงฟานเดินไปอย่างรวดเร็วและมองไปที่เขาด้วยความสงสัย
ถังหยินหรี่ตา ดูไม่ออกว่าเขากำลังพูดกับตัวเอง หรือกับทั้งสองคน “เมื่อข้ากลายเป็นผู้ครองแคว้นแล้ว ข้าจะแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน นอกจากนางแล้วจะไม่มีราชินีคนอื่นอีก!”