บทที่ 413 สถานการณ์ร้ายแรง

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

บทที่ 413 สถานการณ์ร้ายแรง

บทที่ 413 สถานการณ์ร้ายแรง

หลังจากประธานบริษัทถามออกมา หวังจุนประหลาดใจอย่างมาก ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ประธานอวี้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ทั้งที่ดูเหมือนว่าไม่ทำอะไรเลย!

“สุดยอด! ท่านประธานอวี้เก่งมากเลยครับ!”

คราวนี้เขาไม่ได้มีเจตนาประจบประแจง แต่ชื่นชมด้วยใจจริง

ประธานอวี้ไปสถานที่เกิดเหตุแค่ครั้งเดียว แต่กลับรู้ว่าใครเป็นคนลงมือและใครอยู่เบื้องหลัง

ต่อให้เรื่องนี้จะมีเงื่อนงำซับซ้อนขนาดไหน ท่านประธานของเขาก็สามารถรับมือได้อย่างดีเยี่ยม!

ขณะเดียวกัน

ภายในอาคารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยกว่าเมื่อก่อน

กัวหย่งซินนั่งอยู่ในออฟฟิศชั้นบนสุดของอาคาร

“ฮ่า ๆ ผมว่าครั้งนี้คงไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยอวี้ฮ่าวหรานแน่นอน!”

เขาได้รับข่าวดีขณะที่กำลังดื่มชาอย่างสบายใจ

“ฮึ่ม ผมได้ยินมาว่าเขาเก่งเรื่องการต่อสู้ จุ๊ ๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เขาจะรับมือกับตำรวจได้ยังไง!”

ผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชาขณะที่ใบหน้าฉายแววรังเกียจ

“นี่มันศตวรรษไหนแล้ว ยังมีคนแก้ปัญหาด้วยกำลังอยู่เหรอ?!”

“ใช่ครับ พี่ชุ่ยพูดถูก! เมื่อก่อนผมพึ่งพาหลิ่วอวี้จิงมากเกินไป พวกลูกน้องเลยไม่เชื่อฟังผมสักเท่าไหร่”

ดูเหมือนว่ากัวหย่งซินจะได้รับบทเรียนแล้ว ชายวัยกลางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจึงค่อนข้างพึงพอใจ

“ดูหุ้นเครือฮ่าวหรานตกสิ แถมยังถูกสื่อวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่ได้ผุดได้เกิด ฉันว่าไม่นานบริษัทพวกมันต้องล้มละลายแน่นอน”

ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะอย่างเบิกบานใจ คำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

หลังจากพูดคุยกันจนพอใจแล้ว กัวหย่งซินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มน่าสยดสยองบนใบหน้า

“ฮ่า ๆ ผมจะมีความสุขแค่คนเดียวได้ยังไง ผมต้องไปดูสีหน้าสิ้นหวังของเด็กอมมือที่เครือฮ่าวหรานสักหน่อย”

“ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า หลังจากทุกอย่างจบลง ผมจะแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของเครือฮ่าวหรานให้คุณครึ่งหนึ่ง!”

ชายวัยกลางคนลุกยืนขึ้นแล้วเดินออกไป

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว หลังจากมาถึงสถานที่เกิดเหตุ เจียงอวิ๋นก็สั่งให้พวกลูกน้องตรวจสอบทุกสิ่งรอบตัวอย่างละเอียด

ไม่นานเขาก็พบความผิดปกติบนสายลวดสลิง

“บนลวดสลิงมีร่องรอยที่ผิดปกติ แต่เทคนิคที่ใช้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไร”

เจียงอวิ๋นหยิบเครื่องมือ ก่อนสำรวจรอยขาดแล้วบอกข้อสันนิษฐาน

“เส้นลวดสลิงถูกตัด ที่นี่ต้องมีหนอนบ่อนไส้แน่ ๆ!”

เขาพูดด้วยสีหน้ามืดมนเล็กน้อย

“แต่พวกเราตรวจสอบที่นี่หมดแล้วนะครับหัวหน้าเจียง ไม่มีใครมีเครื่องมือที่สามารถตัดลวดสลิงได้เลย”

ลูกน้องคนหนึ่งขมวดคิ้ว

เส้นลวดสลิงทั้งแข็งแรงและเส้นใหญ่ หากใช้เครื่องมือตัดถ่างธรรมดาคงตัดไม่ขาดแน่นอน

“หึหึ ไม่เสมอไปหรอก ฉันว่าคนลงมือต้องเป็นคนในไซต์ก่อสร้างแน่!”

เจียงอวิ๋นสันนิษฐาน

“ถ้ามันเป็นฝีมือคนนอกจริง ๆ นายลองคิดดูสิว่าใครจะรู้เวลาที่แน่นอนว่าสายลวดสลิงเส้นนี้ถูกใช้ล่าสุดเมื่อไร? แล้วอีกอย่างคนนอกจะรู้ได้ยังไงว่าช่วงเวลาไหนจะมีคนงานอยู่ข้างล่างเยอะ?”

ลูกน้องคนนั้นพยักหน้าเมื่อได้ยินข้อสันนิษฐาน

“ถ้าเป็นฝีมือของคนภายนอก พวกมันจะต้องหาเวลาที่ไม่มีคนเฝ้ายามแอบเข้ามาก่อเหตุ ซึ่งมีแค่คนงานที่ทำงานอยู่ที่นี่เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้!”

“จริงด้วย! มีหนอนบ่อนไส้อยู่ในนี้แน่นอนครับ!”

ตอนนั้นเอง ลูกน้องในทีมก็เริ่มตั้งข้อสันนิษฐานมากขึ้น

“หัวหน้าทีมเจียง คนก่อเหตุสามารถตบตาคนอื่น ๆ ได้ แต่ผมว่าหัวหน้าทีมโจวไม่น่าจะหลงกลมันนะครับ พวกเขา…”

พูดจบ เขาก็ทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนี้ต้องซับซ้อนมากกว่าที่คิดแน่นอน!

“ไม่ต้องห่วง หลังจากที่พวกเราส่งหลักฐานไป พวกเขาก็สอบปากคำหัวหน้าโจวแล้ว ผมว่าเร็ว ๆ นี้เราได้รู้ผลการสอบสวนแน่”

เจียงอวิ๋นมองคราบเลือดแห้งกรังบนพื้น ก่อนกะพริบตา

“หัวหน้าทีมเก่าฉันน่ารังเกียจสุด ๆ!”

อวี้ฮ่าวหรานกลับมาถึงบ้านเวลาห้าโมงครึ่งตามปกติ เขาไม่สนใจนักข่าวและพวกแรงงานต่างชาติที่ชุมนุมข้างล่างบริษัทแม้แต่น้อย

เขาปล่อยให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ตามที่พวกเขาต้องการ แต่เมื่อไรที่ความจริงปรากฏ พวกเขาจะต้องพลิกลิ้นแน่!

ภายในบ้าน…

หลี่หรงกลับมาถึงบ้านช้ากว่าปกติ

ใบหน้าเธอฉายแววเศร้าโศก เมื่อเห็นว่าพี่เขยเปิดประตูและเดินเข้ามา เธอก็ตะโกนถามทันที

“พี่เขย ข่าวพวกนั้นคือเรื่องจริงเหรอ? มีคนงานหลายคนตายในไซต์ก่อสร้างของบริษัทพี่เหรอ?”

สำนักข่าวทุกสำนักต่างรายงานข่าวนี้ไม่หยุดหย่อน ดังนั้นมันต้องไม่ใช่เรื่องเล็กแน่

แต่อวี้ฮ่าวหรานกลับหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่ใส่ใจ

“ฮ่า ๆ แค่ปัญหาเล็กน้อยน่ะ อย่าคิดมากเลย ความจริงอาจถูกเปิดเผยวันพรุ่งนี้ก็ได้”

“แต่…”

หลี่หรงทีท่าทางลังเลเล็กน้อยก่อนเงียบไป เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคนนับสิบ แล้วมันจะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร?!

ถึงเธอจะไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมายมากเท่าไร แต่ก็รู้ดีว่าหลังเกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ เครือฮ่าวหรานอาจถูกสั่งล้มละลายในชั่วข้ามคืน ส่วนผู้บริหารระดับสูงหลายรายจะต้องถูกตัดสินโทษและติดคุก!

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง สองสามเดือนที่ผ่านมาหลังจากที่พี่หายดี เธอเคยเห็นพี่เครียดเรื่องอะไรไหม?”

อวี้อ่าวหรานวางถวนถวนที่อยู่ในอ้อมกอดลง

“มันก็ใช่ แต่เรื่องนี้ไม่เหมือนกัน ถึงยังไงพี่เขยก็ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้”

หลี่หรงรู้สึกว่าตั้งแต่พี่เขยกลับมา เขาก็มีท่าทางเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แถมยังไม่หัวอ่อนตกเป็นเหยื่อของคนที่ตั้งใจเข้ามาทำร้ายเขาอีกด้วย

แต่ยังไงเธอก็กังวลอยู่ดี…

ขณะเดียวกัน ถึงถวนถวนจะไม่เข้าใจว่าพวกผู้ใหญ่กำลังคุยอะไร แต่ก็สังเกตเห็นว่าทั้งสองมีสีหน้าเคร่งเครียด เธอจึงพูดชื่นชมพ่อทันที

“พ่อจ๋าเก่งที่สุดในโลกเล้ย! พ่อทำได้ทุกอย่าง! แถมยังพาครูสอนเปียโนของถวนถวนมาทำงานที่บริษัทด้วย”

พอถวนถวนพูดจบ หลี่หรงก็หันมองพี่เขยด้วยความสงสัยทันที

“พี่เขย?”

“พี่เขย!”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ปฏิเสธ

“เฮ้อ…พี่เขยชอบช่วยคนไปทั่วจริง ๆ!”

เธอมองพี่เขยเงียบ ๆ แค่ไม่กี่เดือนเขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยเหรอ?

พูดจบ เธอก็เดินเข้าไปในห้องครัวแล้วทำอาหารด้วยความไม่พอใจ อีกทั้งเธอได้รับคำตอบในเรื่องที่กลัวที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัว

ค่ำคืนเงียบสงัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว…

เวลาห้าโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเดินทางมาถึงบริษัท เขาก็พบว่ามีแรงงานต่างชาติและนักข่าวจำนวนมากปิดล้อมทางเข้าเอาไว้

แรงงานต่างชาติถือป้ายว่า

‘ประณามนายทุนใจบาปที่ละเลยชีวิตเพื่อมนุษย์’

นักข่าวที่อยู่รอบข้างดูมีความสุขอย่างมาก

ในที่สุดรถของอวี้ฮ่าวหรานก็ฝ่าฝูงชนเข้ามาได้ ซึ่งหลังจากเข้ามาในบริษัท เขารู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวแปลกไป

“ทำยังไงดี พ่อฉันบอกให้ลาออกจากที่นี่”

“เพื่อนฉันก็เหมือนกัน เธอบอกว่าเครือฮ่าวหรานกำลังจะ…”

“อย่าไปฟังเขา พวกคุณรู้ดีแก่ใจว่าประธานอวี้ปฏิบัติต่อเรายังไง”

“…”

ต่อให้ทุกคนจะพูดคุยหรือกระซิบด้วยเสียงที่เบามาก แต่เขาก็สามารถได้ยินคำพูดเหล่านั้นอย่างชัดเจน

เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของพวกพนักงานสักเท่าไหร่

ตอนนี้ประชาชนกำลังโจมตีเครือฮ่าวหรานอย่างหนัก ถึงอย่างนั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปสามารถทำได้

ไม่นานเขาก็มาถึงหน้าห้องทำงาน

หลี่จิงเทียนรอเขาอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว…

“พี่เขย…เราจบเห่แล้วใช่ไหม?”