บทที่ 227 โด่งดังทั่วเมือง
“ท่านผู้เฒ่า ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ นับจากวันนี้ไป ข้าน้อยจะติดตามท่านผู้เฒ่า ข้าน้อยขอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับท่าน ข้าน้อย…” ชายหนุ่มผู้ไว้ผมจุกบนศีรษะรีบปรี่เข้ามายิ้มแย้มประจบประแจงหวังจง
หวังจงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ไม่ต้องมาเฉไฉ เจ้าว่าจะกินโต๊ะตัวนี้ให้ข้าดูไม่ใช่หรือ?”
ชายหนุ่มผมจุกยิ้มเศร้าแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่าไม่สงสารข้าน้อยหรือขอรับ ข้าน้อยสูญเสียเงินไปหมดตัวแล้ว หากข้าน้อยยังต้องมากินโต๊ะตัวนี้อีก เห็นทีคงได้ตายเป็นแน่แท้…”
หวังจงนำกระบี่วิหคครามเหน็บเข้ากับข้างเอว หลังจากนั้นก็ใช้มือลูบถุงใส่เหรียญทองคำที่ห้อยอยู่ข้างกัน ด้วยไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
“หากเจ้าตายมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักหน่อย”
ชายชรายิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทันใดนั้น ชายผมจุกกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “พี่ใหญ่ ในเมื่อตอนนี้เราเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว ก็คงไม่มีอะไรปิดบังกันอีกต่อไป พี่ใหญ่บอกข้ามาเถิด ว่าท่านเป็นพ่อบ้านตระกูลหลินใช่หรือไม่ และหลินเป่ยเฉินก็คือนายน้อยของท่าน”
“หืม?” หวังจงเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”
ชายชรารู้ตัวดีว่าตนเองไม่ได้มีสภาพสง่างามเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว เขาผอมซูบมากกว่าเดิม เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เก่าแก่ซอมซ่อ ยิ่งตอนที่เข้ามาอยู่ในบ่อนพนัน หวังจงย่อมมาในสภาพปลอมแปลงตัวตน จึงคิดไม่ถึงว่าจะมีผู้คนสามารถจดจำเขาได้
“พี่ใหญ่หารู้ไม่ ตอนที่ท่านเป็นพ่อบ้านใหญ่ประจำจวนสกุลหลิน ข้าน้อยนั้นเคารพเลื่อมใสท่านมาก บัดนี้แม้ท่านตกต่ำ แต่สติปัญญาก็ยังเฉียบแหลมไม่เปลี่ยนแปลง” ชายผมจุกยิ่งพูดก็ยิ่งเอ่ยออกมาแต่คำหวานหู “พี่ใหญ่คงรู้ดีอยู่แล้วสินะว่านายน้อยของตนเองมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหน ท่านก็เลยแทงเดิมพันลงไปที่นายน้อยหมดหน้าตักอย่างนี้”
หวังจงหัวเราะเยาะ “ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง แล้วมีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องบอกเจ้าด้วยเล่า?”
ชายผมจุกตอบว่า “พี่ใหญ่เข้าใจผิดแล้ว โลกนี้จะมีคนรวยอยู่เพียงคนเดียวได้อย่างไร? คนเราเมื่อตายแล้วจะเอาทรัพย์สมบัติติดตัวไปได้หรือ? ท่านต้องไม่ลืมว่าคนสองคนช่วยกันหาเงิน จะอย่างไรก็ต้องได้เงินมากกว่าคนคนเดียวอยู่แล้ว”
เมื่อได้รับฟังดังนั้น หวังจงก็มองหน้าชายหนุ่มฝ่ายตรงข้ามด้วยความสนใจมากขึ้น “นับว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในการพูดคุยไม่ใช่น้อย”
ชายผมจุกยิ้มแย้มอย่างถ่อมตัว “ทุกอย่างข้าก็เรียนรู้มาจากท่านทั้งนั้น บอกตามตรงว่าท่านคือวีรบุรุษต้นแบบของข้า”
หวังจงเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ที่เจ้าพูดออกมาก็มีเหตุผล เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้เราก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว บอกข้ามาซิว่าเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร?”
ชายผมจุกรีบตอบโดยเร็ว “ข้าคือกงกงขอรับ”
“เจ้าเป็นกงกงอย่างนั้นหรือ?” หวังจงจ้องมองไปที่หว่างขาของชายหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ “อย่าบอกนะว่าเจ้าตัดทิ้งไปแล้ว?”
“ไม่ใช่ขอรับ ข้าหมายถึงข้าแซ่กง มีนามว่ากง จึงเรียกรวมกันว่ากงกง” ชายหนุ่มผมจุกรีบอธิบายละล่ำละลัก
“เป็นชื่อที่อัปมงคลอะไรเช่นนี้…งั้นขอถามหน่อยเถิด เจ้าพอมีเส้นสายอะไรบ้างหรือไม่?” หวังจงวกกลับมาเข้าประเด็นหาเงินอีกครั้ง
กงกงเอนตัวเข้ามายิ้มร่า พูดกระซิบกระซาบว่า “ข้าพอจะมีเพื่อนฝูงประจำการอยู่ที่ถนนสายที่ 20 กับสายที่ 30 อยู่บ้าง แม้พวกเขาจะไม่ใช่คนใหญ่คนโต แต่เราก็สามารถใช้ปล่อยข่าวลือได้พอสมควร”
“อย่างนั้นก็ดีเลย”
หวังจงยกมือขึ้นมาจับคางตนเองอย่างใช้ความคิด หลังจากผ่านไปเนิ่นนานถึงได้กล่าวว่า “วันนี้นายน้อยแสดงฝีมือออกมาเก่งกาจมากเกินไป อัตราการต่อรองจะต้องเปลี่ยนแปลงเป็นแน่แท้ วันพรุ่งนี้ราคาคงไม่สูงเท่าวันนี้อีกแล้ว ถ้าเราคิดจะทำเงินด้วยการเดิมพันฝั่งนายน้อย เจ้าก็ต้องทำตามแผนการของข้าทุกอย่าง คืนนี้เจ้าไปรอข้าอยู่ที่หน้าประตูสถานศึกษากระบี่ที่สามก็แล้วกัน”
กงกงได้ยินดังนั้นก็เบิกตาโตด้วยความลิงโลด “พี่ใหญ่วางใจได้เลยขอรับ ข้าจะต้องไปที่นั่นแน่นอน”
ทั้งสองคนพูดคุยอะไรกันอยู่อีกเล็กน้อย ก็รู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดีว่าต่างฝ่ายต่างเจ้าเล่ห์เขี้ยวลากดิน
“เข้าใจใช่ไหม? อย่าลืมไปตามนัดด้วยล่ะ…”
หวังจงนัดหมายเวลาเป็นที่แน่นอนเสร็จเรียบร้อย รู้ตัวอีกทีท้องฟ้าด้านนอกก็มีความมืดมิดแผ่ปกคลุมสลัวเลือนลาง กาลเวลาหมุนผ่านอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ย่างเข้าสู่ช่วงหัวค่ำแล้ว
แต่เมื่อชายชราเดินออกมาจากบ่อนพนัน เขาก็เห็นว่ามีกลุ่มคนกำลังจับกลุ่มกันยื้อแย่งอะไรบางอย่าง สุดท้ายอดไม่ได้ก็ต้องเดินเข้าไปดูด้วยความสงสัย
“เร่เข้ามาจ้าเร่เข้ามา นี่คือรูปจำลองร่างเปลือยขนาดเล็กของคุณชายหลินเป่ยเฉิน เพิ่งส่งออกมาจากร้านอาจารย์ฟ่านสดๆ ร้อนๆ เมื่อบ่ายวันนี้ ราคาเพียง 50 เหรียญทองแดงต่อหนึ่งตัวเท่านั้น ใครมาก่อนได้ก่อน ช้าหมดอดนะจะบอกให้…”
“รูปวาดเสมือนจริงของคุณชายหลินเป่ยเฉินกำลังยกกระถางทองคำ ขายเพียงรูปละ 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น แต่ถ้าท่านอยากได้รูปตอนยกกระถางในขณะที่เสื้อผ้าของคุณชายฉีกขาด ก็มีราคาเพียงรูปละ 1 เหรียญเงินเท่านั้นเอง เมื่อนำไปแขวนไว้ภายในบ้านเรือน ก็จะสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจได้โดยทันที!”
“คุณชายหลินเป่ยเฉินมีพละกำลังมหาศาลได้อย่างไรน่ะหรือ? นั่นเป็นเพราะว่าเขารับประทานโอสถเพิ่มพลังเสือโคร่งของข้า หนึ่งขวดบรรจุโอสถ 10 เม็ด ขายเพียงราคา 20 เหรียญเงิน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ไม่ว่าเป็นชายหรือหญิง ก็จะมีภาระกำลังเพิ่มพูนขึ้นมายิ่งกว่ายอดมนุษย์!”
“นี่คือรองเท้ารุ่นเดียวกับที่คุณชายหลินสวมใส่…”
“หลินเป่ยเฉินสามารถยกกระถางทองคำได้ด้วยกล้ามเนื้อที่ทรงพลัง เพราะเขารับประทานยาลูกกลอนของอาจารย์ตันชิง…”
มีพ่อค้าหัวใสปรากฏตัวอยู่เต็มพื้นที่ริมถนน
เมื่อหวังจงเดินเข้าไปสำรวจดู เขาก็พบว่ามีแต่ข้าวของที่เกี่ยวกับนายน้อยวางจัดจำหน่ายเต็มไปหมด ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรูปวาดขนาดเต็มตัวในลักษณะเปลือยกาย ในขณะที่นายน้อยของหวังจงกำลังยกกระถางทองคำ และรูปวาดของพ่อค้าบางเจ้าก็ลงรายละเอียดถึงตรงส่วนของลับเลยทีเดียว….
พ่อบ้านชราแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองอีกแล้ว
…
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ณ ตำหนักไม้ไผ่ เมื่อหลินเป่ยเฉินกลับมาถึงหน้าที่พักของตนเอง ฝีมือการตกแต่งสนามหญ้าหน้าบ้านของหวังจงก็ทำให้เขาต้องหยุดยืนอยู่กับที่
ให้ตายสิ…
เจ้าพวกผู้คนในโลกจอมยุทธ์คิดทำอะไรกันอยู่เนี่ย?
ที่นี่จะมีงานเลี้ยงหรือไง?
ตอนที่เขาออกจากตำหนักไม้ไผ่ไปเมื่อเช้านี้ หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่ายังไม่มีผืนผ้ามาขึงเอาไว้รอบบริเวณสักหน่อย
แล้วชั้นวางของที่เป็นสินค้าเหล่านั้นอีก อย่าบอกนะว่าจะมีคนมาเปิดตลาดขายของหน้าบ้านของเขา?
หลินเป่ยเฉินเพียงกวาดตามองสินค้าได้ไม่กี่อย่าง เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ตัวอย่างสินค้าที่น่าหดหู่ใจมากที่สุด แต่ดันมีป้ายคำว่าขายดีที่สุดแปะเอาไว้อยู่ด้านหน้า ก็คือสิ่งที่เรียกว่าศิลาทัศน์ มันคือก้อนหินที่มีขนาดเท่ากำปั้น บนพื้นผิวแกะสลักลวดลายสวยงาม เมื่อโคจรพลังลมปราณใส่เข้าไป มันก็จะทำหน้าที่เป็นเหมือนเครื่องฉายภาพโฮโลแกรม แสดงภาพเหตุการณ์ตอนที่หลินเป่ยเฉินกำลังเปลือยกายยกกระถางทองคำระหว่างการแข่งขันในสถานศึกษากระบี่หลวง…
ถึงจะเป็นภาพเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็น่าอับอายเกินพอแล้ว
“ใครเป็นคนทำของแบบนี้ออกมาขาย? ข้าจะไปฆ่ามัน”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความโกรธแค้น ดาวน์โหลดดาบศีลธรรมออกมาถือในมือ และหมุนตัวกำลังจะเดินกลับออกไปหาเรื่องผู้คน
“นายน้อยใจเย็นก่อนขอรับ”
หวังจงออกมาจากตำหนักไม้ไผ่พอดี รีบวิ่งเข้ามาเหนี่ยวรั้งเด็กหนุ่ม “ของเหล่านี้คือสินค้าขายดีจากในตัวเมืองขอรับ ขณะนี้กลายเป็นของหายากแล้วด้วย เพราะไม่สามารถซื้อหาได้อีกแล้ว ข้าจึงเหมาของทั้งหมดนี้มาเพื่อเป็นของที่ระลึกให้แก่นายน้อยโดยเฉพาะ”
“การแข่งขันปีก่อนๆ มีอะไรแบบนี้วางขายบ้างหรือไม่?” หลินเป่ยเฉินยังคงถามด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
พ่อบ้านชราตอบว่า “การแข่งขันปีก่อนๆ ก็มีของลักษณะแบบนี้วางขายเช่นกัน แต่ไม่เคยมีสินค้าของใครกลายเป็นสินค้าขายดีเหมือนนายน้อยมาก่อนขอรับ…”
ชายชราชำเลืองมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ลังเลอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวต่อ “การแสดงฝีมือของนายน้อยในครั้งนี้เตะตาผู้คนเป็นจำนวนมาก ทำให้มีสินค้าเกี่ยวกับนายน้อยถูกผลิตขึ้นมาวางจำหน่ายเต็มไปหมด เรียกได้ว่าสินค้าของนายน้อยขายดียิ่งกว่าสินค้าของคุณหนูหลิงเฉินอีกนะขอรับ”
“พูดจริงงั้นหรือ?” หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกหายขุ่นเคืองใจลงไปบ้างเล็กน้อย
เขายกมือนวดขมับตนเองและพูดออกมาหลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่ “เจ้าหมายความว่าบัดนี้ข้ามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองแล้วหรือ?”
“โด่งดังมากขอรับ”
หวังจงพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ
ชายชรากล่าวต่อในใจโดยไม่ได้พูดออกไปว่า นายน้อยโด่งดังในฐานะเด็กหนุ่มคนแรกที่เกือบเปลือยกายยกกระถางทองคำที่มีน้ำหนักโดยรวมสูงถึง 10,500 ชั่ง ซึ่งเรื่องพิสดารและสัปดนเช่นนี้ ไม่เคยมีใครกล้าทำมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้บอกให้นายน้อยทราบถึงความจริงข้อนี้
หลินเป่ยเฉินเริ่มหัวเราะออกมาแล้ว “น่าสนใจดีเหมือนกันนี่นา”
ตอนนี้เขากลายเป็นดาวดังประจำเมือง
ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองคงได้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีเป็นแน่แท้
เมื่อหวังจงเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉินกลับมามีความเยือกเย็นเหมือนเก่า ก็เรียบเรียงคำพูดออกมาว่า “นายน้อยขอรับ ข้าค้นพบวิธีหาเงินที่จะทำให้พวกเราร่ำรวยได้โดยง่ายดาย ไม่ทราบว่านายน้อยสนใจร่วมด้วยหรือไม่?”