บทที่ 226 สิ้นสุดการทดสอบพละกำลัง
หลินเป่ยเฉินวางกระถางหมายเลขหกกลับคืนลงไปบนพื้นหิน
เมื่อขยับเท้าถอยกลับมา ช่วงล่างก็รู้สึกเย็นแบบแปลกๆ ก้มหน้ามองถึงได้รู้ว่ากางเกงฉีกขาดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้ ‘น้องชาย’ ของเขาออกมาห้อยโตงเตงรับลมเล่นสบายใจเฉิบ
สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำคือยืนหนีบขา และหันไปมองหน้าเฉาพั่วเถียน คำรามว่า “เจ้าต้องรับผิดชอบค่าเสื้อผ้าของข้าด้วย”
แต่บัดนี้ เฉาพั่วเถียนตกอยู่ในอาการไม่รับรู้สิ่งใดแล้วทั้งสิ้น
ต่อให้เด็กหนุ่มผมทองมีสามขวัญเจ็ดวิญญาณ มาตอนนี้พวกมันก็หลุดลอยออกไปจากร่างของเขาหมดแล้ว
สายตาของทุกคนในขณะนี้หันมาจับจ้องอยู่ที่หลี่ชิงสวน
“ตรวจไม่พบการใช้พลังลมปราณ ร่างกายของหลินเป่ยเฉินไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ถือว่าผ่านการตรวจสอบ ให้ยึดคะแนนตามผลน้ำหนักที่หลินเป่ยเฉินทำได้” หลี่ชิงสวนประกาศผลการทดสอบทันทีเมื่อเก็บอุปกรณ์ตรวจวัดเรียบร้อย
ภายในห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในความเงียบสงบ
เสียงพูดของหลี่ชิงสวนดังก้องกังวานอยู่นานสองนาน
หลินเป่ยเฉินผ่านการตรวจสอบ
ให้ยึดคะแนนตามน้ำหนักที่เขาทำได้
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
มันหมายความว่าหลินเป่ยเฉินเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง
ให้ตายเถิด
หลินเป่ยเฉินเกิดมาพร้อมกับพลังพิเศษหรืออย่างไร?
สำหรับกับผู้ฝึกยุทธ์บางคน ต่อให้ทุ่มเทความพยายามทั้งชีวิต ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีร่างกายแข็งแกร่งเท่ากับหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินเอาสองมือกุมปิดเป้ากางเกงของตนเองไว้พร้อมกับหันไปชำเลืองมองหลินอี้และตงฟางจัน “พวกเจ้าสองคนรอก่อนเถอะ ภาวนาว่าอย่าเจอข้าในรอบประลองกระบี่ก็แล้วกัน…ใต้เท้าหลี่ขอรับ ข้าน้อยขออนุญาตออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็วิ่งออกจากห้องโถงใหญ่ไปโดยไม่รอฟังคำตอบ
เมื่อสักครู่นี้ เขาระเบิดพลังออกมารุนแรงมากเกินไป ส่งผลให้เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สภาพของหลินเป่ยเฉินจึงกลายเป็นเหมือนบุคคลกึ่งเปลือยที่วิ่งออกไปจากห้องโถงใหญ่ต่อหน้าสายตาทุกคน
หลี่ชิงสวนปากกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
“พรืด!”
เยว่เว่ยหยางหลุดหัวเราะออกมา
นางหัวเราะเสียงดังสดใสเสนาะหู
ในที่สุด เสียงหัวเราะของนักบวชสาวก็ทำให้บรรยากาศที่เหมือนตกอยู่ในการกดปุ่ม ‘หยุดชั่วคราว’ จางหายไป ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เด็กสาวจำนวนมากยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก
เด็กหนุ่มจำนวนไม่น้อยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินมีมาดเคร่งขรึมดุดันราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามจุติลงมาจากสรวงสวรรค์ ทว่า บัดนี้เขากลับต้องวิ่งเปลือยกายออกไปจากสถานที่แข่งขัน ดูน่ารักน่าชังและน่าเอ็นดูเหลือเกิน
แล้วร่างกายของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ตลอดลำตัวของหลินเป่ยเฉินไม่ได้เต็มไปด้วยมัดกล้ามเหมือนนักเพาะกายอีกแล้ว ผิวหนังและกล้ามเนื้อของเขากลับคืนสู่สภาพปกติสมส่วนตามวัย เมื่อหลินเป่ยเฉินหนีออกมารอดพ้นสายตาของทุกคน เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกสุดชีวิต
นอกจากเฉาพั่วเถียน หลินอี้และตงฟางจันทั้ง 3 คนแล้ว กลุ่มผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ยื่นอุทธรณ์ให้ตรวจสอบหลินเป่ยเฉินต่างก็รู้สึกละอายใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง มันทำให้พวกเขาได้รู้ตัวเองว่าที่ลงชื่ออุทธรณ์เมื่อสักครู่นี้เป็นเพราะความอิจฉาริษยาเท่านั้น
หลิงเฉินยิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย
รอยยิ้มเพียงนิดเดียวของนางทำให้บรรยากาศในห้องโถงใหญ่สดใสขึ้นมาทันตา
“ว่าไงเล่า เจ้าลูกหมูทั้งสามตัว มีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ไป๋ชินหยุนเป็นผู้ที่มีสีหน้าสะใจมากที่สุด นางเดินเข้ามาถามพวกของเฉาพั่วเถียนอย่างปราศจากความกลัวเกรง
เด็กหนุ่มทั้ง 3 คนไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว
เฉาพั่วเถียนได้แต่เหยียดยิ้มเย้ยหยัน ในดวงตาเป็นประกายดุดัน
ไม่มีใครทราบว่าเด็กหนุ่มผมทองกำลังคิดอะไรอยู่
ตงฟางจันกับหลินอี้ก้มหน้าก้มตาไม่ตอบคำใด แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินคำถามของเด็กสาวร่างเล็ก
“ทุกคนเงียบได้แล้ว!” หลี่ชิงสวนพูดออกมาเสียงดังอีกครั้ง “เราจะมาเริ่มการทดสอบกันต่อนับจากนี้”
…
ที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่
เมื่อไม่ต้องอยู่ในค่ายอาคมที่ปิดกั้นพลังลมปราณ หลินเป่ยเฉินก็โคจรพลังนำวงแหวนวารีออกมารักษาอาการบอบช้ำของร่างกายตัวเอง
เพียงพริบตาเดียว ร่างกายของเขาก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ
ไม่นานหลังจากนั้น ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินก็สามารถหาเครื่องแบบของลูกศิษย์สถานศึกษากระบี่ที่สามมาให้เขาได้ตัวหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะใส่ได้ไม่ค่อยพอดีสักเท่าไหร่ แต่มันก็ดีกว่าให้หลินเป่ยเฉินนั่งเปลือยกายอยู่อย่างนี้
แต่ชุดใหม่ที่อาจารย์หามาให้มันใหญ่มากเกินไป เมื่อสวมใส่แล้ว หลินเป่ยเฉินก็มีสภาพเหมือนเด็กน้อยขโมยชุดบิดามาสวมไม่มีผิด
“เจ้าลูกเต่า บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเจ้าทำได้อย่างไร?”
ฉู่เหินถามออกมาด้วยความสงสัย
“หมายถึงอะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่รู้ไม่ชี้
ฉู่เหินกล่าวว่า “ไม่ต้องโกหก พูดความจริงมาเดี๋ยวนี้”
พานเว่ยหมินก็รอฟังคำตอบด้วยความอยากรู้เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินอธิบายว่า “ตอนที่ข้าน้อยจัดการพวกกลุ่มโจรในหุบเขาชายแดนเหนือ บังเอิญว่าข้าน้อยไปได้คัมภีร์มาจากหัวหน้าโจรคนหนึ่ง มันเป็นคัมภีร์ระดับ 3 ดาวชื่อว่าคัมภีร์โลหิตกระชากวิญญาณ ซึ่งเปลี่ยนเลือดภายในร่างกายคนเราให้กลายเป็นอาวุธโจมตีคู่ต่อสู้ และยังช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายได้อีกหลายส่วนด้วยขอรับ…”
แล้วเด็กหนุ่มก็กล่าวถึงข้อดีและข้อเสียของการฝึกฝนวิทยายุทธ์วิชานี้
“ตอนที่เข้ารับการทดสอบเมื่อสักครู่ ภายในห้องโถงใหญ่ไม่สามารถใช้พลังลมปราณได้ แต่พลังที่เป็นแรงส่งจากมวลเลือดในร่างกายไม่นับว่าเป็นพลังลมปราณแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น ข้าจึงรวบรวมพลังจากมวลเลือดที่ได้มาจากวิชาโลหิตกระชากวิญญาณ เปลี่ยนถ่ายเป็นพละกำลังเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายชั่วคราว แต่ข้อเสียก็คือ มันทำให้ข้าต้องเสียเลือดจำนวนมากเลยละขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง
ในคัมภีร์โลหิตกระชากวิญญาณนั้นจะแบ่งการใช้งานออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการเปลี่ยนโลหิตในร่างกายให้เป็นพลังระเบิดโจมตีคู่ต่อสู้ ส่วนที่สองคือการเปลี่ยนโลหิตในร่างกายให้เป็นแรงเสริมสร้างความแข็งแกร่งชั่วคราว ซึ่งในส่วนที่สองนี้สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณ
ตอนที่หลินเป่ยเฉินยกกระถางทองคำ ม่านสีแดงเจือจางที่ปรากฏบนผิวกายของเขา ก็คือละอองเลือดที่พ่นออกมาจากการใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณนั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองสินะ”
เมื่อฉู่เหินรับฟังทุกอย่างก็ต้องเบิกตาโตด้วยความมหัศจรรย์ใจ
พานเว่ยหมินกล่าวต่อโดยทันที “ปาฏิหาริย์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ก็เพราะว่าเจ้าสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุน้ำได้สำเร็จ นึกดูสิว่าถ้าเจ้าไม่มีวงแหวนวารีคอยเยียวยาอาการบาดเจ็บของร่างกายตนเอง เจ้าจะสามารถใช้วิชานี้ได้หรือ? หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าคนผู้นั้นคงไม่มีเรี่ยวแรงสำหรับแข่งขันรอบต่อไปอีกแล้ว ดีไม่ดีอาจจะลุกจากเตียงไม่ขึ้นเป็นเวลานานนับเดือนเลยด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มกล่าวว่า “เห็นไหมล่ะขอรับอาจารย์ วิชาโลหิตกระชากวิญญาณของข้า ไม่ได้โกงใครสักหน่อย”
ฉู่เหินพยักหน้ายืนยัน พร้อมกับใช้กำปั้นทุบหน้าอกตนเองด้วยความสะใจ “ถูกต้องแล้ว ต่อให้ทุกคนรู้ความจริงข้อนี้ ก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรเจ้าได้ เพราะเจ้าไม่ได้ละเมิดกฎสักข้อเดียว…”
เสียงพูดยังไม่ทันจบ
กร๊อบ
เสียงกระดูกแตกหักก็ดังขึ้น
ฉู่เหินมีใบหน้าเหยเก
หลินเป่ยเฉินกับพานเว่ยหมินมองอาจารย์แขนกลด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…หุหุ”
ฉู่เหินปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่ในใจกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เจ้าหยางเฉินโจวตัวแสบ เมื่อคืนนี้เรียกเขาไปพบเพื่อเปลี่ยนระดับความแข็งแกร่งของแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ เจ้านั่นไม่ได้บอกเขาเลยสักนิดว่าแขนกลมีพละกำลังเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน เมื่อสักครู่นี้ ชายชราทุบหน้าอกตนเองด้วยความดีใจแรงมากเกินไปหน่อย ส่งผลให้กระดูกหน้าอกของเขาบางส่วนเกิดอาการแตกหัก แต่โชคดีที่ไม่มีอะไรหนักหนา เพียงให้หลินเป่ยเฉินใช้วงแหวนวารีรักษาเล็กน้อยก็หายดีแล้ว
หนึ่งชั่วยามต่อมา
การทดสอบพละกำลังก็จบลง
มันเป็นการแข่งขันที่มีบรรยากาศเงียบเหงามากที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
ดูเหมือนว่าทุกคนยังคงตราตรึงอยู่กับการยกกระถางของหลินเป่ยเฉิน พวกเขาล้วนทราบดีว่าไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนใดจะทำคะแนนได้มากไปกว่าเจ้าแกะดำอีกแล้ว
ผู้ที่ทำคะแนนได้มากที่สุดในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันรอบหลัง ก็คงหนีไม่พ้นหลิงเฉิน ซึ่งสุดท้ายสามารถยกกระถางหมายเลขหกน้ำหนัก 3,000 ชั่งได้อย่างเหลือเชื่อ
นางทำให้ใครหลายคนต้องเบิกตาโต อ้าปากค้าง
ไม่มีใครคิดเลยว่าเด็กสาวที่ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นอย่างนาง เมื่อไม่มีพลังลมปราณคอยช่วยเหลือ ก็ยังสามารถยกกระถางทั้งหมดได้มีน้ำหนักโดยรวมมากกว่าเฉาพั่วเถียนเสียอีก
กล่าวได้ว่าถ้าการแข่งขันครั้งนี้ไม่มีหลินเป่ยเฉิน หลิงเฉินก็จะกลายเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง โดยที่ทำลายสถิติของผู้เข้าแข่งขันคนเก่าลงราบคาบ
ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็ทำได้ไม่เลวเช่นกัน
หลินอี้สามารถยกได้ถึงกระถางหมายเลขสี่ และถูกจัดอยู่ในระดับจอมทะเลทราย
หลิงเสวียน อีกหนึ่งอัจฉริยะจากตระกูลหลิง ก็สามารถยกได้ถึงกระถางหมายเลขสี่เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีซูเสี่ยวหยาน มี่หรู่หยาน โจวเค่อ คังซานเสว่ หวังซินอวี่และยอดอัจฉริยะคนอื่นๆ ก็สามารถทำคะแนนได้ในระดับจอมทะเลทรายเช่นกัน
ในกลุ่มพวกเขา หวังซินอวี่มีความโดดเด่นมากที่สุด
นางเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักน่าชัง ดูจากภายนอกไม่น่าแบกกระสอบข้าวสารได้ด้วยซ้ำ จึงไม่มีใครคิดว่าจะสามารถยกกระถางหมายเลขสี่ได้สำเร็จ
ส่วนตัวแทนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามอีก 2 คนอย่างไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ ต่างก็ยกกระถางสองใบแรกได้สำเร็จ แต่เมื่อมาถึงกระถางใบที่สาม พวกเขายกขึ้นมาครึ่งทางก็ต้องวางคืนกลับลงไปที่เดิม ส่งผลให้ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้ที่ทำคะแนนได้ระดับปานกลาง
ถึงแม้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนั้น แต่ไป๋ชินหยุนกับฮันปู้ฟู่ก็รู้สึกภูมิใจในคะแนนของตนเองมากแล้ว
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินได้แสดงฝีมือเอาไว้ให้พวกเขาได้เชิดหน้าชูตา รับรองว่าสถิติของหลินเป่ยเฉินจะต้องคงอยู่ต่อไปอีกหลายปีทีเดียว
เมื่อการทดสอบพละกำลังสิ้นสุดลง บรรดาผู้เข้าแข่งขันก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่สถานศึกษาของตนเอง
วันพรุ่งนี้จะเป็นการแข่งขันเกี่ยวกับ ‘ทักษะการใช้กระบี่’
แต่วันนี้ หลินเป่ยเฉินกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง
ทว่า กลับมีอีกเรื่องหนึ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้น และเมื่อเรื่องนั้นแพร่กระจายไปทั่วเมือง เขาก็ไม่รู้จะจัดการกับมันอย่างไรอีกแล้ว