บทที่ 225 เทพแห่งสงครามตัวจริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 225 เทพแห่งสงครามตัวจริง

“ฟู่…”

เฉาพั่วเถียนกระอักเลือดออกมาจากปาก

“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้ มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร…เจ้าต้องโกงแน่นอน” เขาพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาเสียงดังมากขึ้น “เจ้าจะมีปัญญาทำเรื่องราวแบบนี้ได้อย่างไร?”

หลินเป่ยเฉินวางกระถางทั้งห้าใบที่ซ้อนกันอยู่กลับคืนลงที่เดิมด้วยความนุ่มนวล รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นที่มุมปาก

รอยยิ้มนี้คือคำตอบ ไม่จำเป็นที่เขาต้องให้คำอธิบายอะไรอีกแล้ว

“บังอาจนัก เจ้ากล้าดีอย่างไรมาส่งเสียงโวยวายในการแข่งขัน?” หลี่ชิงสวนหลุดออกจากความตกตะลึงได้ก็ยกมือส่งสัญญาณเรียกนายทหารมาควบคุมตัวเฉาพั่วเถียนออกไปนอกห้องโถง

“ช้าก่อนขอรับ”

เฉาพั่วเถียนยกมือปาดเลือดที่มุมปาก สะบัดตัวจนหลุดเป็นอิสระและพูดออกมาเสียงดังกังวานว่า “กราบเรียนใต้เท้าหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคณะอาจารย์หรือผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ทุกคนต่างก็เห็นว่าตอนที่หลินเป่ยเฉินทำการยกกระถางเมื่อสักครู่นี้ ได้มีม่านพลังสีแดง ลักษณะคล้ายกับม่านพลังลมปราณแผ่ออกมาจากรอบกายของเขา ข้าจึงอยากยื่นอุทธรณ์ให้พวกท่านตรวจสอบเขาด้วยขอรับ”

ทันใดนั้น ในห้องโถงที่จัดการแข่งขันพลันอื้ออึงไปด้วยเสียงอุทานตื่นตกใจ

จริงด้วยสิ

หลายคนทบทวนตามคำพูดของเฉาพั่วเถียน แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองเห็นม่านพลังสีแดงนั้นเช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าผิวของหลินเป่ยเฉินคงจะแดงขึ้นมาเพราะเลือดลมสูบฉีดรุนแรงเกินไปเท่านั้น แต่เมื่อเฉาพั่วเถียนกล้าที่จะทักท้วงออกมาอีกครั้ง ทุกคนก็เริ่มไม่แน่ใจความคิดเดิมของตัวเองอีกแล้ว

ถูกต้อง

ถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถยกน้ำหนักมหาศาลได้ โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณช่วยเหลือจริงๆ ไม่ทราบเลยว่าเขาต้องมีพละกำลังเข้มแข็งในระดับไหนกัน

หรือหลินเป่ยเฉินเป็นพญามังกรจำแลงกายมาหรืออย่างไร?

มันเป็นไปได้หรือที่มือกระบี่รุ่นเยาวชนจะมีความแข็งแกร่งถึงระดับนี้?

มันคงเป็นไปได้ หากหลินเป่ยเฉินสามารถพบช่องโหว่ในค่ายอาคมที่ครอบคลุมอยู่ทั่วพื้นที่จัดการแข่งขัน และมีวิธีทำให้ตนเองสามารถใช้พลังลมปราณได้ชั่วคราว

“ข้าน้อยก็ขอยื่นอุทธรณ์ให้ตรวจสอบเช่นกันขอรับ”

หลินอี้ได้โอกาสประสานเสียงขึ้นมาทันที

“ข้าน้อยด้วยขอรับ”

ตงฟางจันตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย สติสัมปชัญญะกลับคืนสู่ร่างกายและตะโกนออกมาเสียงดังสนั่น

“พวกเจ้าเอาแต่เรียกร้องให้ตรวจสอบ ไม่ทราบว่าตระกูลของเจ้าเป็นคนจัดการแข่งขันหรืออย่างไร?”

ไป๋ชินหยุนยกมือกอดอกพูดออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์

แต่ถึงกระนั้น ก็มีคนยกมือเรียกร้องให้ตรวจสอบหลินเป่ยเฉินตามมาอีกมากมาย

เพราะว่าการยกกระถางของหลินเป่ยเฉินมันน่าเหลือเชื่อมากเกินไป

มันเป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มอายุเท่าเขาไม่น่าทำได้สำเร็จ

มันเป็นสิ่งที่น่าสงสัยมากเกินไป

เฉาพั่วเถียนเริ่มกลับมายิ้มออกอีกครั้ง “ฮ่าฮ่า พฤติกรรมของหลินเป่ยเฉินไม่ชอบมาพากลนัก หากเขาปฏิเสธการตรวจสอบ คำตอบยิ่งไม่ชัดเจนมากกว่าเดิมหรือ? ที่ข้ายื่นอุทธรณ์ให้ตรวจสอบ ไม่ใช่เพราะว่าข้ามีเรื่องกับเขา แต่ข้าต้องทำเพื่อปกป้องชื่อเสียงของการแข่งขันและดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอันศักดิ์สิทธิ์”

“ถูกต้อง ทั้งหมดก็เป็นเช่นนั้นเอง”

ตงฟางจันรีบกล่าวสนับสนุน

ต้องตรวจสอบเพื่อปกป้องชื่อเสียงของการแข่งขันอย่างนั้นหรือ?

ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว

นี่คือเรื่องที่สำคัญมาก

ในพื้นที่ซึ่งจัดไว้ให้คณะอาจารย์นั่งดูการแข่งขัน ชิวเทียนกล่าวออกมาว่า “ข้าก็ขออุทธรณ์ให้ตรวจสอบเช่นกัน”

หลังจากนั้น คณะอาจารย์จากสถาบันต่างๆ ก็ยกมือสนับสนุนการตรวจสอบ

ในอดีต แม้แต่หลิงฉือบุตรชายคนโตของตระกูลหลิงและหลินถิงซาน พี่สาวของหลินเป่ยเฉิน ก็ยังไม่สามารถยกกระถางห้าใบที่ซ้อนกันได้ด้วยซ้ำ

แต่นี่คือหลินเป่ยเฉิน เจ้าแกะดำผู้ไม่เอาไหน เด็กหนุ่มผู้มีสติไม่สมประกอบ การที่เขาสามารถทำเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ได้ มันจึงน่าสงสัยมากเกินไป

ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ และพานเว่ยหมินพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคัดค้านการตรวจสอบ

แต่เสียงพวกเขาก็ถูกกลบด้วยเสียงของผู้ที่สนับสนุนการตรวจสอบ

“ทุกคนเงียบก่อน!”

หลี่ชิงสวนลุกขึ้นยืนและตบโต๊ะเสียงดังปัง

ความวุ่นวายโกลาหลเงียบกริบลงทันที

เขาหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ลังเลเล็กน้อยตอนที่ถามว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้ายินดีให้คณะกรรมการตรวจสอบหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินพูดเน้นเสียงทีละคำ “ข้าคิดว่าทางผู้จัดการแข่งขันได้เตรียมค่ายอาคมเอาไว้เป็นอย่างดีแล้ว ไม่มีหลักฐานใดที่พิสูจน์ได้ว่าข้าโกงการแข่งขัน นั่นเท่ากับว่าการยื่นอุทธรณ์ตรวจสอบข้า เป็นการดูถูกความสามารถของข้าอย่างยิ่ง”

“เฮอะ ทำเป็นพูดดีไปเถอะ เจ้าไม่กล้าให้เขาตรวจสอบมากกว่า”

เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม

หลินเป่ยเฉินไม่แม้แต่มองกลับไปด้วยซ้ำ เขากวาดสายตามองหน้าผู้เข้าร่วมการแข่งขันที่ยืนอยู่โดยรอบและกล่าว “พวกเจ้าทุกคนเปรียบเสมือนกบในกะลา เมื่อกะลาที่ครอบหัวอยู่ถูกเปิดออก พวกเจ้ามีโอกาสได้มองเห็นท้องฟ้าที่แสนสวยงาม แต่เพราะว่าสติปัญญาโง่เขลามากเกินไป พวกเจ้าจึงเข้าใจว่าท้องฟ้านั้นเป็นของปลอม…”

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่ยื่นเรื่องอุทธรณ์ต่างก็พากันยิ้มเหยียดหยามกลับมา

หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “อยากจะตรวจสอบข้าอย่างนั้นหรือ? ไม่มีปัญหา ขอให้พวกเจ้าจงเตรียมใจยอมรับความพ่ายแพ้อย่างราบคาบก็แล้วกัน…”

เด็กหนุ่มหัวเราะเยาะ เดินกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะคณะกรรมการ แล้วกล่าว “กราบเรียนใต้เท้าหลี่ ท่านขึ้นชื่อเรื่องความยุติธรรมมากที่สุด ข้าจะไม่ทำให้ท่านต้องอับอายขายหน้า ข้ายินดีให้ท่านตรวจสอบ”

พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง “แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะเรียนถามท่านให้แน่ใจ ในการวัดระดับพลังร่างกายครั้งนี้ ตราบใดที่เราไม่ได้ใช้พลังลมปราณ แต่ใช้พลังผลักดันจากเลือดเนื้อและโครงกระดูก ก็ไม่ถือว่าทำผิดกติกาใช่ไหมขอรับ?”

ความฉงนฉงายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่ชิงสวน “ถูกต้อง ขอแค่เจ้าใช้วิธีไหนก็ได้ที่ไม่ใช่พลังลมปราณ ก็ไม่ถือว่าเจ้าละเมิดกฎการแข่งขัน”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “ถ้าอย่างนั้น เราก็มาเริ่มการตรวจสอบกันเถิดขอรับ”

เด็กหนุ่มเดินแช่มช้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้ากระถาง 5 ใบที่ซ้อนกัน แล้วเขาก็ยกพวกมันขึ้น นำไปซ้อนอยู่ในกระถางหมายเลขหก

เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนก็ต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง

หลินเป่ยเฉิน…

เขากำลังทำอะไรอยู่? เขาอยากจะยกกระถาง 6 ใบพร้อมกันอย่างนั้นหรือ?

น้ำหนักรวมกันมัน 10,500 ชั่งเลยนะ

มันจะเป็นไปได้อย่างไร?

หรือว่าหลินเป่ยเฉิน…เสียสติไปแล้ว?

ท่ามกลางสายตาแห่งความสงสัยของทุกผู้คน หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามออกมาจากลำคอ แขนขาของเขาเกร็งกำลัง กล้ามเนื้อปูดโปน แผ่นหินที่อยู่ใต้เท้าเกิดรอยแตกร้าวเป็นใยแมงมุมส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ…

แล้วกระถางหมายเลขหกก็ค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า

ทุกคนล้วนไม่อยากเชื่อ

เพียงรับฟังเสียงเสื้อผ้าฉีกขาดดังกระทบหู

รองเท้าครึ่งแข้งที่หลินเป่ยเฉินสวมใส่ฉีกขาดกระจุยกระจาย

เช่นเดียวกับเสื้อผ้าของเขาที่ฉีกขาดตั้งแต่ช่วงไหล่เป็นต้นมา เปิดเผยให้เห็นร่างกายอุดมด้วยกล้ามเนื้อ ดูสวยงามราวกับมัดกล้ามของนักเพาะกายระดับโลก รูปร่างของเด็กหนุ่มในตอนนี้ไม่ต่างไปจากเทพแห่งสงครามในตำนานปรัมปรา ไม่ว่าผู้ใดได้พบเห็น ล้วนแล้วแต่ไม่อยากจะเชื่อสายตาทั้งสิ้น

ฉับพลันนั้น ม่านพลังสีแดงเจือจางปรากฏขึ้นเหนือผิวหนังหลินเป่ยเฉิน

ขณะนี้ เขากำลังยกกระถางหมายเลขหกชูขึ้นเหนือศีรษะ

เสื้อคลุมและเสื้อตัวในของเขาฉีกขาดไม่เหลือชิ้นดี บัดนี้เหลือเพียงแต่ชายเสื้อห้อยอยู่กับขอบกางเกงเท่านั้น

กล้ามเนื้อบนใบหน้าเด็กหนุ่มเต้นระริก เส้นผมของเขาปลิวไสว เศษเสื้อผ้ากระจัดกระจายไปรอบทิศทาง…

สิ่งเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำให้รูปลักษณ์หลินเป่ยเฉินเหมือนเทพเจ้าแห่งสงครามมากเข้าไปใหญ่

ทุกคนได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้นด้วยความตกตะลึง

“ยังไม่รีบเข้ามาตรวจสอบอีก?”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกน

นั่นเองถึงทำให้คณะกรรมการได้สติ

“ตรวจสอบ กำลังจะตรวจสอบแล้ว…”

หลี่ชิงสวนขานรับทันที

หลินเป่ยเฉินกำลังยกกระถางที่มีน้ำหนักรวมกันมากกว่าหมื่นชั่ง แต่เขายังสามารถพูดได้ด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ในฐานะผู้สังเกตการอาวุโส หลี่ชิงสวนไม่เคยพบเห็นสิ่งใดน่ามหัศจรรย์มากกว่านี้มาก่อน เขารีบนำอุปกรณ์ตรวจวัดพลังลมปราณออกมาจากด้านในเสื้อคลุม ก้าวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างหลินเป่ยเฉิน…และเริ่มใช้เครื่องนั้นทาบไปตามลำตัวของเด็กหนุ่ม

ชายชราใช้เครื่องมือตรวจสอบหลินเป่ยเฉินตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่หลายครั้ง

ผ่านไปจนครบกำหนดระยะเวลา

การตรวจสอบก็เสร็จสิ้น

หลี่ชิงสวนเก็บเครื่องตรวจวัดกลับเข้าไปในอกเสื้อ พูดออกมาด้วยสีหน้าเหลือเชื่อว่า “เอาละ หลินเป่ยเฉิน เจ้าวางกระถางกลับลงที่เดิมก่อน…”