บทที่ 85 ลอบเข้าถ้ำ Ink Stone_Fantasy
ห่างจากบ้านไม้หลังนั้นประมาณหนึ่งกิโลเมตร มีสนต้นใหญ่ต้นหนึ่ง ลูเซียนนั่งอยู่บนสนต้นนั้นรอให้การต่อสู้ระหว่าง ‘ศาสนจักร’ กับ ‘ลัทธิเขาเงิน’ สิ้นสุดลง
เมื่อเขาเห็นคลื่นสีดำที่ทำลายพลุสัญญาณของผู้พิทักษ์ราตรีคนนั้น ลูเซียนก็คำนวณมุมและระยะทางเพื่อหาตำแหน่งที่พวกลัทธิเขาเงินหลบซ่อนอยู่
“ห่างจากบ้านไม้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณเก้าสิบเมตร” ลูเซียนพึมพำเสียงต่ำ
ในขณะเดียวกัน ลูเซียนก็มองไปอีกทางและนึกสงสัย “นางคงสังเกตเห็นความโกลาหลแล้วละ”
เมื่อพวกลัทธินอกรีตกับผู้พิทักษ์ราตรีเริ่มต่อสู้กัน ลูเซียนรู้สึกว่าถึงเวลาที่เขาต้องลงมือแล้ว
…
‘เวทเปลวไฟพิฆาต’ ‘เวทอัญเชิญเทวา’ ‘เวทเยียวยา’ …ผู้ถือคัมภีร์ร่ายเวทโดยไม่หยุดพัก ในฐานะบิชอประดับห้า เขาสามารถกำจัดศัตรูและช่วยชีวิตพรรคพวกของตน เวทมนตร์ของเขาทำลายวงเวทและกับดักมากมายที่พวก ‘ลัทธิเขาเงิน’ วางไว้
เนื่องจากในบรรดาผู้พิทักษ์ราตรีสิบแปดคนนั้น มีหกคนเป็นบาทหลวง พวกเขาจึงสามารถรักษาคนที่บาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้ ภายใต้การบัญชาของหัวหน้ากองสองคนนี้ กลุ่มผู้พิทักษ์ราตรียังคงสู้ต่อไป ซึ่งสถานการณ์เริ่มพลิกผัน ฝ่ายศาสนจักรกลับมาได้เปรียบ
แต่ตอนนั้นเอง ก็มีเมฆทะมึนลอยมา เมฆกลุ่มนั้นมีเสียงแหลมบาดหู
“แมลง!” มินสค์ร้องเตือนผู้พิทักษ์ราตรีคนอื่นๆ
แมลงพวกนี้มีมากเกินไปจนไม่สามารถกำจัดได้ทันที มันบินเร็วมากและไม่ช้าก็ล้อมกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรี แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะเกราะแสงที่คอยปกป้องผู้พิทักษ์ราตรีจนมิด เมื่อพวกบาทหลวงพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งให้เกราะแสง จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกอ่อนแรงจนร่ายเวทไม่ไหว ใบหน้าก็แดงราวกับมีไข้
ทันทีที่เกราะแสงหมดพลัง พวกแมลงก็เข้าโจมตีผู้พิทักษ์ราตรี
มินสค์ใช้พลังจาก ‘พรมังกรแดง’ เรียกใช้ ‘เกล็ดมังกร’ สกัดพวกแมลงไว้ได้เพียงบางส่วน แต่เขาก็รู้ว่าตัวเขากำลังจะถึงขีดจำกัด
มันเป็นมนต์ดำระดับห้า เรียกว่า ‘แมลงระบาด’ ที่นักบวชนอกรีตห้ารูปร่วมกันร่าย
อัศวินดำและนักบวชนอกรีตมาสมทบเพิ่มขึ้น สถานการณ์ที่กลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีเผชิญอยู่นั้นวิกฤตอีกครั้ง
ผู้ถือคัมภีร์หยุดโจมตีแล้วหันไปขับไล่แมลงและรักษาคนเจ็บโดยเฉพาะพวกบาทหลวง ผู้พิทักษ์ราตรีหลายนายที่สวมชุดเกราะสีเงินคอยยืนป้องกันบาทหลวงไว้
เมื่อพวกแมลงตาย อาการของพวกบาทหลวงก็ค่อยๆ ทุเลา จากนั้นพวกเขาก็เริ่มร่ายเวท อย่างเช่น ‘มนต์อวยพร’ ‘มนต์เรียกขวัญ’ ‘มนต์ภาวนา’ ให้แก่ผู้พิทักษ์ราตรีที่สวมชุดเกราะจำนวนสี่นายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ความว่องไวและความต้านทาน ส่วนคลาวน์และมินสค์ช่วยคุ้มกันพวกเขาจากการโจมตีอันหนักหน่วงจากพวกอัศวินดำและนักบวชนอกรีต
นักรบสี่คนที่ได้รับพลังอำนวยพรจากพระเจ้า พากันเปล่งเสียงพลางใช้ดาบเล่มใหญ่ฟาดฟันศัตรู ถุงมือสีดำที่พวกเขาสวมใส่นั้นกุมดาบเรืองแสงสีดำ ซึ่งทำให้ดาบคมกริบและมีพลังมากขึ้น
ถึงแม้ว่าพวกอัศวินดำที่อยู่ตรงหน้าหลายคนจะมีพลังที่แตกต่างกัน เช่น ‘มังกรดำ’ ‘ยักษ์หิน’ และ ‘เอลฟ์เทา’ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถต้านทานนักรบสี่คนที่โกรธเกรี้ยวและได้รับพลังอำนวยพรจากพระเจ้าหลากหลายพลังได้
ไม่รู้เพราะอะไร ‘เกราะความมืด’ กับ ‘กำแพงไฟ’ ไม่สามารถใช้การได้เมื่อปะทะกับดาบเล่มมหึมา นักบวชดำสี่รูปกับนักบวชชั้นสูงหนึ่งรูปจึงไม่มีอะไรป้องกันตัวและถูกฟันขาดครึ่ง
“นี่มัน… พร ‘พลังทำลายล้าง’ นี่!” นักบวชอาวุโสชั้นสูงรูปหนึ่งในวิหารใต้ดินตกตะลึง “อัศวินสี่นายที่มีพลังแฝงจากพรทำลายล้าง… และหนึ่งในนั้นเป็นอัศวินหลวงระดับห้า!”
พรที่ชื่อ ‘พลังทำลายล้าง’ นั้นสามารถทำให้พลังเหนือธรรมชาติที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าที่แท้จริง ‘ไร้พลัง’ และประสิทธิภาพของพลังแฝงจากพรนี้จะขึ้นอยู่กับพลังของแต่ละบุคคล และสามารถเลือกพลังจาก ‘พระเจ้าที่แท้จริง’ ได้
‘พลังทำลายล้าง’ เป็นพรที่สูงส่งและบริสุทธิ์ที่สุดในกลุ่ม ‘นักล่าปีศาจดั้งเดิม’
“แองโกลา เจ้าต้องไปช่วยพวกเขา” นักบวชหลวงอีกคนหนึ่งบอกนักบวชศีรษะล้าน “เราไม่ควรจะเอาพลังมาเสียเปล่าที่นี่ กับเหตุบังเอิญนี้”
“เหตุบังเอิญนี้เป็นบททดสอบจากพระเจ้า” แองโกลายิ้ม เขาดูค่อนข้างมีอายุ “น่าสนใจดี เป้าหมายเดิมของพวกมันคือนักเวทคนหนึ่ง แต่ตอนนี้เราต้องมาสู้กับมันแทน”
“ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องวิหาร” นักบวชหลวงในชุดคลุมสีเงินพูด
…
ในที่สุด เมื่อพวกผู้พิทักษ์ราตรีสบโอกาสที่จะส่งสัญญาณ ก็มีเงามัวๆ พุ่งปรี่เข้าใส่พวกเขาจากหลายทิศทาง อัศวินคนหนึ่งในกลุ่มผู้พิทักษ์ราตรีโดนเงาดำซัดหน้าจนร้องลั่น
มนต์ดำระดับเจ็ด ‘เงากระหาย’
สักพัก ดวงตาของอัศวินคนนั้นก็กลายเป็นสีแดง เขาค่อยๆ หยิบดาบเล่มมหึมาขึ้นมาแล้วฟาดฟันผู้พิทักษ์ราตรีคนอื่นๆ ซึ่งเป็นพวกเดียวกันเอง
วิญญาณของเขาถูกเงาสีดำกลืนกิน แล้วร่างของเขาก็จะถูกผู้ร่ายเวทมนตร์ควบคุมเป็นระยะเวลาสั้นๆ
…
เมื่อลูเซียนสัมผัสได้ถึงรังสีชั่วร้ายจากนักบวชหลวงคนนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันที ร่างของเขาโปร่งแสงกลมกลืนไปกับแสงจันทร์ระดับหนึ่ง และกระโดดลงพื้นอย่างรวดเร็วแล้ววิ่งสุดฝีเท้าไปยังวิหารใต้ดินจากอีกฟากหนึ่งของป่าเพื่อหลีกเลี่ยงสนามรบตรงนั้น
ลูเซียนยืนอยู่ปากทางเข้าวิหารของ ‘ลัทธิเขาเงิน’ ถึงแม้ว่าแสงจันทร์จะทำให้ตัวเขาโปร่งแสงจนแทบมองไม่เห็น แต่ลูเซียนก็ยังคงกังวลว่าพวกลัทธินอกรีตจะเจอเขา อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าลุงโจเอลกับครอบครัวกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเสี่ยง
แล้วว่า ลูเซียน ‘ภาคแบ่ง’ ของแสงจันทร์ก็ลอบเข้าไปในถ้ำนั้น
……………………………………….