ตอนที่ 164.3 การปฏิวัติเมือง กับ ทำลายให้แตกพ่าย (3)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

“ทำไมถึงได้รีบร้อนเพียงนี้ ไม่ต้องขึ้นศาลสอบสวนก่อนหรือ” อวิ๋นหว่านชิ่นจ้องทหารคนนั้น 

 

 

ทหารคนนั้นเกาหัว “ผู้ตรวจราชการเหลียงบอกว่า เรื่องกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง ส่งผลกระทบกับกระแสในกลุ่มชาวบ้านมากเกินไป ก่อการจลาจลจึงต้องใช้บทลงโทษที่รุนแรง หากยังทำตามกระบวนการปกติ เกรงว่าชาวบ้านจะรู้สึกว่าลงโทษเบาเกินไป ไม่ใส่ใจ คราวหลังจะเกิดการลอกเลียนแบบ การประหารตัดคอโดยทันทีจะสยบคนได้ ทำให้คนไม่กล้าทำอีก” 

 

 

เกรงว่าเรื่องจะไม่ง่ายเพียงนั้นน่ะสิ 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงนั่นเป็นคนอย่างไร หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าเมืองเยี่ยนหยางมาก็เคยได้ยินหลี่ว์ปาพูดถึง หลังจากเข้ามาในที่พักชั่วคราวแล้วก็ได้เห็นกับตา 

 

 

สมยอมให้เกิดภัยโจร ไม่คิดเปลี่ยนแปลง ขูดรีดชาวบ้าน ละโมบความสุขสบาย อารมณ์ร้อนรุนแรง 

 

 

อีกอย่าง หลี่ว์ปาเคยบอกว่า มีคนใหญ่คนโตชูหางผู้ตรวจราชการเหลียงและผู้ว่าสวีอยู่ ตอนนั้นถึงจะไม่ได้พูดต่อ แต่ก็ดูออกว่ารู้ว่าเป็นใครเพียงแต่ไม่สะดวกจะพูดเท่านั้น 

 

 

คนธรรมดาตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างเขา จะรู้เรื่องแวดวงขุนนางเหล่านี้ได้อย่างไร 

 

 

ไม่รู้ว่าทำไม เรื่องเหล่านี้ ก็เชื่อมโยงกันในหัวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงชิงตัดหัวหลี่ว์ปาก่อน ไม่ใช่เพราะอยากจะใช้บทลงโทษที่รุนแรงมาสยบคนอะไรหรอก เกรงว่า เพราะอยากจะฆ่าตัดตอน ปิดปากเขาเสียมากกว่า 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังม้าดำตัวใหญ่ที่ทหารคนนั้นเพิ่งจะขัดตัวไป ตัวใหญ่แข็งแรง ขาเรียวยาว ก็ชี้ไปทันใด “พี่ทหาร แรงม้าตัวนั้นไม่เลวเลยใช่หรือไม่” 

 

 

ทหารคนนั้นตะลึงงันไป แล้วก็ยิงฟัน ตอบความจริง “แน่นอนอยู่แล้ว! นี่เป็นม้าศึกพันธุ์ดีเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองของเมืองเยี่ยนหยางเราเลย” 

 

 

เพิ่งจะพูดจบ ยังไม่ทันได้รู้ตัว ก็เห็นสาวใช้หน้าตาไม่สะดุดตาคนนี้ปล่อยแขนเสื้อที่มัดไว้ตอนทำงานลง เดินไปยังม้าดำตัวใหญ่ ดึงบังเหียนที่ห้อยอยู่บนอานม้า เหยียบแล้วพลิกตัวขึ้นบนม้า ท่าทางทะมัดทะแมงลื่นไหลดั่งน้ำ 

 

 

ทหารคนนั้นตะลึงอ้าปากค้าง เด็กสาวคนนี้จะทำอะไรกันแน่ เห็นนางลองบังคับม้าให้เดินวนกับที่สองสามก้าว ลูบขนม้า แล้วทำให้ม้าตัวสูงใหญ่ตัวนั้นเชื่องในเวลาไม่นาน คนบนม้าท่าทางสง่างาม เขาก็ยิ่งประหลาดใจไปใหญ่ 

 

 

หญิงสาวในราชวงศ์ต้าเซวียนนั้นมีคนที่ขี่ม้าเป็น แต่นอกจากหญิงในบ้านขุนนางฝ่ายบู๊แล้ว ส่วนมากก็เป็นหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวง เพราะว่าม้าเป็นของฟุ่มเฟือย จะต้องเลี้ยงดูให้อาหาร ยังต้องสร้างคอกม้าอีก คนธรรมดาจะเลี้ยงไหวได้อย่างไร ยกตัวอย่างในเมืองเยี่ยนหยาง ถือเป็นเมืองแห่งศูนย์รวมการสัญจรของเขตฉางชวน รวบรวมขุนนางพ่อค้าจำนวนไม่น้อย แต่หญิงสาวที่ขี่ม้าเป็น นับสิบนิ้วก็นับได้หมด 

 

 

เห็นนางทำท่าจะควบออกไป ทหารคนนั้นก็เพิ่งจะรู้ตัว จึงรีบวิ่งไปดึงเชือกเอาไว้ไม่ปล่อย แต่ก็ยังไม่หายตกใจ “แม่นางชิ่งเอ๋อร์ เจ้าจะไปไหนหรือ บ่าวรับใช้จะออกไปจากที่พักชั่วคราวเองไม่ได้ เจ้าไม่กลัวถูกลงโทษ…” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นดึงเชือกไว้ ฉวยโอกาสตอนเขายังตกใจอยู่ ก็รีบดึงออกมา พูดเสียงเบา “ยืมใช้ม้าของเจ้าหน่อย กลับมาจะคืนให้” 

 

 

เมื่อพูดจบก็เอียงหน้า ทหารส่งสาส์นกลับมาแล้วยังมีรั้วประตูบานหนึ่งไม่ได้ปิดลง นางสะบัดแส้ ตบท้องม้า วิ่งออกไปยังประตูใหญ่ที่เปิดอ้าอยู่ 

 

 

กีบม้ายกขึ้นลอย โคลนข้างทางกระเด็นขึ้น ทำให้ทหารคนนั้นถอยไปด้านข้าง ยืนมองม้าวิ่งห่างที่พักชั่วคราวไกลออกไปเรื่อยๆ 

 

 

หลังจากที่มาอยู่เยี่ยนหยางหลายวันมานี้ อีกยังเคยได้ยินเว่ยเสียวเถี่ยคุยให้ฟัง อวิ๋นหว่านชิ่นก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองนี้แล้ว 

 

 

จากทางตะวันออกของเมืองอันห่างไกลจนถึงตลาดใจกลางเมือง มีเพียงทางเล็กๆ เส้นหนึ่งที่เลี่ยงทางหลวง 

 

 

ระหว่างที่ม้าวิ่งไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นหว่านชิ่นก็ตรงไปบนถนนเส้นนั้น 

 

 

บนทางที่มุ่งตรงไปสู่ตลาด กลุ่มผ้าเหลืองกลุ่มหนึ่งถูกเชือกมัดมือ ล้วนถูกยึดดาบหอกไปแล้ว ถูกทหารกุมตัวเดินไปข้างหน้า 

 

 

มีคนหวาดกลัว มีคนผิดหวัง มีคนร้องไห้ร้องขอชีวิต นอกนั้นส่วนมากก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร รอลิขิตแห่งโชคชะตา ในเมื่อเข้าร่วมกลุ่มผ้าเหลือง ก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีวันนี้ 

 

 

ด้านหน้าสุดนั้น ชายฉกรรจ์คิ้วหนาตาโตเสื้อผ้าถูกมีดดาบกรีดขาดระหว่างการต่อสู้ กล้ามเนื้อที่แข็งแรงนั้นมีเหงื่อไหลท่วม เผยรอยแผลจากดาบอันน่ากลัว เลือดไหลนอง แต่นิสัยอารมณ์นั้นยังไม่แก้ ถึงแม้ใกล้ตายแล้วก็ยังไม่มีอาการหวาดกลัว คาบผ้าที่ยัดปากไว้แล้วด่าทอ “ไอ้พวกสารเลว! ตัดคอก็ตัดไป อีกสิบแปดปีข้าก็ยังเป็นวีรบุรุษ! พวกเจ้าปล่อยพี่น้องข้าไป แน่จริงก็เอาหัวของข้าคนเดียวไปเอาผลงานสิ!” 

 

 

ด้านหน้าไปกว่านั้น ผู้ตรวจราชการเหลียงบนม้าตัวใหญ่เหลียวหลังมอง ขมวดคิ้ว เรียกให้คนไปอุดปากเขาให้สนิท แล้วเร่งฝีเท้า 

 

 

รีบกำจัดตัวหายนะนี่ไปให้เร็วที่สุด จะได้ไม่พูดอะไรออกมาในศาล ขุดเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา 

 

 

ทางเล็กๆ ที่เดิมทีนั้นเงียบสงบ ฝีเท้าที่วุ่นวายมุ่งตรงไปข้างหน้า ได้ยินเสียงกีบม้าลอยมาจากด้านหลัง หญิงสาวเสียงแหบพร่าดังขึ้น “ใต้เท้าเหลียง ช้าก่อน!” 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงดึงบังเหียนหันกลับมา มองไปอย่างตกตะลึง ทั้งขบวนก็หยุดลงตามกัน 

 

 

เป็นสาวน้อยชิ่งเอ๋อร์ที่ทำงานให้กับท่านอ๋อง 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นชายตามองหลี่ว์ปา เห็นว่าเขาสีหน้าตกใจแฝงไปด้วยความตึงเครียด เหงื่อไหลท่วมมากกว่าเมื่อครู่ ดวงตาที่แดงก่ำจ้องมองตน เหมือนว่าไม่อยากจะเห็นตนในเวลานี้ 

 

 

นางละสายตากลับมา บังคับม้าเดินไปใกล้ผู้ตรวจราชการเหลียง แล้วคารวะคำนับอยู่บนอานม้า “ใต้เท้า จับเป็นหลี่ว์ปา ไม่ต้องพบฉินอ๋องก่อน แล้วสอบสวน กุมตัวกลับเมืองหลวงให้กรมยุติธรรมพิจารณาคดีหรือเจ้าคะ” 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงสีหน้าโมโห “เจ้าเป็นใครกัน! เป็นบ่าวติดตามของท่านอ๋องได้ไม่กี่วัน กล้ามาสอนข้าทำงานหรือ เจ้ามีสิทธิ์อะไร ทหาร จับตัวสาวใช้คนนี้…” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรอจังหวะเอ่ยปาก “ใต้เท้า หากเป็นเพียงบ่าวติดตาม ข้าคงไม่กล้าเหิมเกริม แต่ถ้าหากการจับกุมโจรในครั้งนี้ เป็นแผนการของบ่าว บ่าวก็มีส่วนเข้าร่วมด้วย เช่นนั้นบ่าวมีสิทธิ์มีเสียงหรือไม่” 

 

 

เมื่อพูดคำนี้ออกมา หลี่ว์ปาก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว ที่จริงตอนที่ทหารซุ่มโจมตีของฉินอ๋องปรากฏตัวขึ้น เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ดวงตาทั้งคู่ยิ่งแดงก่ำ ก้มหน้าอย่างหมดหวัง หลับตา สีหน้าสิ้นหวัง 

 

 

ก่อนหน้านั้นถูกน้องสาวที่เลี้ยงมากับมือหลอก ตอนนี้ก็ได้รู้ว่าที่แท้สาวน้อยคนนี้เป็นคนของราชสำนักอีก 

 

 

หลี่ว์ปาใจสลายเป็นเถ้าถ่าน 

 

 

ชายฉกรรจ์ที่เมื่อครู่ยังด่าทอเสียงแข็ง ชั่วพริบตาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา 

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ห้ามทหารตระกูลเสิ่นเข้าเมืองนั้น ผู้ตรวจราชการเหลียงก็รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้แทบจะเป็นกุนซือน้อยของฉินอ๋องไปแล้ว ที่แท้ครั้งนี้ก็เป็นนางที่ล่อกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองออกมา แต่เขาก็ยังขมวดคิ้ว “แล้วจะทำไม ตอนนี้ก็จับตัวชาวบ้านที่ก่อการจลาจลได้แล้ว ข้าจะเชือดไก่ให้ลิงดู ให้ชาวบ้านได้เห็นกัน!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหันหน้าไปทางผู้ตรวจราชการเหลียง สายตาเต็มไปด้วยการสำรวจและสงสัย เหมือนจะมองทะลุไปถึงในใจของผู้ตรวจราชการเหลียงได้อย่างนั้น น้ำเสียงกลับยังคงอ่อนโยนและนอบน้อม “ใต้เท้า อย่างน้อยก็ควรจะให้ท่านอ๋องสอบสวนแกนนำชาวบ้านที่ก่อการจลาจลด้วยตนเองก่อนสิเจ้าคะ ตอนนี้ท่านอ๋องไปทลายรังโจรของซานอิงที่เขาหม่าโถวอยู่ ใกล้จะกลับที่พักชั่วคราวแล้ว หรือว่าเวลาเพียงแค่นี้ ท่านก็รอไม่ได้หรือเจ้าคะ” 

 

 

“เจ้า…” ผู้ตรวจราชการเหลียงถูกนางว่าจนหน้าแดงหูแดง เคอะเขินจนแสร้งทำเป็นโมโห เขาสะบัดแส้ขึ้นมาทันใด “ก่อนท่านอ๋องจะไปทลายรังโจร ได้มอบกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองให้ข้าจัดการ เช่นนั้นคำพูดของข้าก็ถือเป็นคำขาด! ข้าเห็นเจ้าเป็นคนข้างกายท่านอ๋อง อีกยังเป็นผู้สร้างผลงานในครั้งนี้ จึงไม่อยากจะโต้เถียงกับเจ้า หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ก็อย่าโทษที่ข้าจะจับตัวเจ้าไว้ตอนนี้เลย!”