ตอนที่ 164.4 การปฏิวัติเมือง กับ ทำลายให้แตกพ่าย (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นยืนยันแน่แท้แล้ว ว่าผู้ตรวจราชการเหลียงไม่อยากให้หลี่ว์ปาได้พบหน้าองค์ชายสาม เห็นได้ชัดว่า เบื้องหลังจะต้องมีอะไรเป็นแน่ รู้ว่าขวางเขาไม่ได้แล้ว ก็มองดูขบวนเคลื่อนไปต่ออย่างเงียบๆ กลุ่มคนเคลื่อนไปดั่งงูเลื้อย เมื่อเห็นทหารทางการที่กุมตัวหลี่ว์ปาเดินผ่านม้าของตนไป ก็ฉวยโอกาสที่พวกเขาไม่ทันระวังตัว กุมบังเหียนแน่น หันคอม้าอย่างแรง แล้วหักเลี้ยวม้ากลับ 

 

 

หน้าม้าอันยาวปะทะกับทหารทางการสองนายพอดี ม้าก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ ในขณะเดียวกัน ทหารทางการทั้งสองก็ถูกชนจนล้มระเนระนาดลงไปกับพื้น ทั้งขบวนก็วุ่นวายขึ้นมาทันใด! 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นฉวยโอกาสลงจากหลังม้า กริชในแขนเสื้อก็ไถลลงมาอยู่ในฝ่ามือ ตั้งแต่เข้าเมืองเยี่ยนหยางมานางพกไว้กับปืนไฟเพื่อป้องกันตัว ปืนนั้นไม่สะดวกจะพกตลอดเวลา แต่กริชนั้นพกง่ายนัก เวลานี้ก็ได้ใช้พอดี นางเดินเข้าไปตรงหน้าหลี่ว์ปา แกะเชือกที่มัดมือของเขาออก แล้วยัดกริชใส่ในมือเขา กดเสียงเบา “จับข้าเป็นตัวประกัน!” 

 

 

หลี่ว์ปาเห็นนางใช้หัวม้าชนทหาร จนทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ก็ตกตะลึงแต่แรกแล้ว แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาจะถามอะไรแล้ว เขารัดคอนางไว้ในอก ใช้กริชจ่อคอนางเอาไว้ แล้วกระโดดขึ้นม้าดำอย่างรวดเร็ว! 

 

 

ด้านหน้านั้น ผู้ตรวจราชการเหลียงเห็นสถานการณ์แล้วตกใจใหญ่ สะบัดแขนเสื้อแล้วตะคอก “ยังไม่จับตัวผู้ก่อการจลาจลนั่นอีก! ก็แค่สาวใช้คนหนึ่ง ฆ่าก็ฆ่าไป กลัวอะไร” 

 

 

ทหารทางการจำนวนมากเข้าไปมุงล้อม แต่กลับเห็นหลี่ว์ปาบนอานม้ามือหนึ่งดึงบังเหียน มือหนึ่งใช้มีดจ่อคอแม่นางชิ่งเอ๋อร์แล้วตะโกน “นี่เป็นผู้มีผลงานและเป็นคนสนิทของท่านอ๋องของพวกเจ้า! เข้ามาสิ หากกล้าเข้ามาเพียงก้าวเดียว ข้าจะกรีดคอนางเสีย คนส่วนมากในบรรดาพวกเจ้าไม่ต้องรับผลกรรมอะไรหรอก แต่คนที่เข้ามาคนแรก ถึงเวลานั้นจะต้องชดใช้ให้กับชีวิตนางเป็นแน่!” 

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ เหล่าทหารต่างก็ลังเลไปสักพัก ใครก็ไม่กล้าล่วงเกินคนของท่านอ๋อง จึงได้แต่รอให้คนอื่นกระโจนเข้าไปเป็นคนแรกก่อน 

 

 

ฉวยโอกาสเวลาอันสั้นนี้ หลี่ว์ปาก้มหน้าแล้วพูดขึ้น “สาวน้อย นั่งดีหรือยัง” 

 

 

แล้วตบท้องม้า ดึงบังเหียน ม้าดำตัวใหญ่นั้นก็กระโดดลอยข้ามหัวทหารกลุ่มนั้นไป ใช้โอกาสตอนที่ทหารป้องหัวก้มตัวลงต่ำ หลี่ว์ปาก็ขี่ม้าวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงร้อนรนแล้วโวยวาย “ตามไป ยังไม่ตามไปอีก!” 

 

 

กีบม้าเร็วรี่ เลี้ยวซ้ายหักขวา ความเร็วค่อยๆ ลดลง สุดท้าย ก็หยุดลงบนทางเล็กๆ ที่สองข้างทางเป็นป่าทึบ 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูรอบข้าง เหมือนจะเป็นตีนเขาไม่ใหญ่ไม่เล็ก รกร้างไร้ผู้คน เงียบสงัดยิ่งนัก น่าจะเป็นมุมหนึ่งในตัวเมือง หลี่ว์ปาเป็นคนที่เติบโตมาในพื้นที่ จะต้องรู้ทุกตรอกซอกซอยอยู่แล้ว ที่นี่น่าจะปลอดภัยแล้ว 

 

 

หลี่ว์ปาลงม้า หายใจเหนื่อยหอบ สงบสติอารมณ์ แล้วเงยหน้าขึ้นมองดูสาวน้อยบนอานม้า 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยขึ้น “ลูกพี่หลี่ว์ปา…” 

 

 

หลี่ว์ปาโบกมือ “เจ้าไม่ต้องอธิบายแล้ว ข้าล่าเหยี่ยวมาทั้งชีวิตแต่กลับโดนเหยี่ยวจิกตา สุดท้ายมาตกอยู่ในมือเด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าอย่างเจ้า ข้าจะพูดอะไรได้อีก” พูดอยู่ก็ยิ้มอย่างทนทุกข์แล้วจับที่หน้าอก ตนเอง “แต่ข้ากลับชังเจ้าไม่ลง” ถึงแม้จะยิ้มอยู่ แต่ขอบตากลับแดงก่ำ แล้วพูดต่อ “เจ้าจะช่วยข้าอีกทำไม เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะแก้แค้นเจ้า กรีดคอเจ้าหรือ” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นถอนหายใจ “ก็เพราะว่าข้ารู้ว่าลูกพี่หลี่ว์ปาไม่ใช่คนอย่างนั้น ข้าจึงได้ช่วย” ชะงักไปเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่ “ลูกพี่หลี่ว์ตอนนี้มีอยู่สองทาง พี่สามารถใช้ความสามารถของพี่ หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ หาที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน ใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไปตลอดชีวิต หรือไม่ ก็กลับไปพบฉินอ๋องกับข้า ยอมรับการสอบปากคำและพิพากษาคดี กลุ่มผ้าเหลืองถึงแม้จะมีโทษ แต่ก็เป็นเพราะสถาณการณ์บังคับ พี่รายงานเหตุผลและความจริงว่าทำไมถึงได้ก่อการจฃาจล พูดออกไปให้หมด ผลสุดท้าย ข้าไม่สามารถรับประกันว่าพี่จะไม่ถูกลงโทษได้ แต่อย่างน้อยก็มีผลที่ชัดแจ้งและเปิดเผย” 

 

 

พระอาทิตย์เวลาเที่ยงสาดส่องลงบนร่มเงาของไม้ ส่องแสงเป็นประกายไปทั้งผืนป่า 

 

 

จุดประสงค์ในการจัดตั้งกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองนั้น ก็เพื่อพยายามออกสิทธิ์ออกเสียงให้กับชาวบ้านที่ประสบภัย ต่อรองกับทางราชสำนัก เพียงแต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น 

 

 

หลี่ว์ปาไม่ได้คิดอยากจะต่อต้านเช่นนี้ไปตลอดชีวิต ตอนนี้เมื่อถูกจับแล้ว ก็ปล่อยวางไปได้เรื่องหนึ่ง อย่างน้อยได้พูดต่อรองต่อหน้าราชสำนัก ถึงแม้จะตาย ก็คุ้มค่านัก 

 

 

หลี่ว์ปาเงียบไปสักพัก ยืดตัวอันสูงใหญ่ขึ้น “เจ้าช่วยข้าออกมา ก็เพื่อกลับไปพบฉินอ๋องมิใช่หรือ สาวน้อย ข้าจะตามเจ้าไปพบฉินอ๋อง” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มออกมา ภายใต้แสงสาดส่อง หลี่ว์ปามองแล้วเหม่อลอยไป เวลานี้ที่มองลงมา กลับเหมือนดั่งนางฟ้า ทำให้ลืมเรื่องรูปลักษณ์อันธรรมดาของนางไปโดยสิ้นเชิง 

 

 

ผ่านไปสักพัก หลี่ว์ปาดึงบังเหียน แล้วลากม้ากำลังจะเดินลัดไปตามทางเล็กเพื่อมุ่งสู่ที่พักทหารชั่วคราว แต่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าลอยมาจากด้านหน้า 

 

 

ทั้งสองหยุดเดินแล้วมองไป ด้านหน้านั้นเป็นกลุ่มคนที่ยืนเรียงกันเป็นแถวเป็นแนวปรากฏอยู่ในสายตา แล้วค่อยๆ ใกล้เข้ามา 

 

 

พบกันในทางแคบ ทั้งสองไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน 

 

 

ชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดอายุราวสามสี่สิบ หน้าแหลมตาเหยี่ยว รอยแผลเป็นจากดาบพาดยาวกลางหน้าผาก ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี 

 

 

ผู้เฒ่าคนหนึ่งด้านข้าง ก็คือผู้เฒ่าเถียน เวลานี้เมื่อเห็นสาวน้อยบนอานม้าข้างกายหลี่ว์ปา ก็ชี้อย่างโมโห แล้วตะโกนออกมา “ท่านอินทรีภูเขา นางนี่ล่ะ สาวน้อยคนนี้นี่ล่ะ บอกว่าจะไปเป็นสายให้ในที่พระราชนิเวศน์ แต่กลับเป็นนกสองหัว แท้จริงแล้วเข้าพวกกับฉินอ๋อง ทำให้พวกเราถูกตลบหลัง โดนทลายรัง!” 

 

 

หลี่ว์ปาคิดว่าแย่แล้ว พูดอย่างแผ่วเบา “รีบหนีไป” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกบังเหียนขึ้นแล้วกลับม้า วิ่งออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ม้าดำตัวใหญ่ที่ขี่อยู่ก็โอดร้อง เอวม้าถูกลูกธนูยิงเข้าใส่จนนั่งลงไป! 

 

 

นางเสียสูญจนแทบจะลอยออกไป จึงรีบตะแคงตัวแล้วกลิ้งไป บนพื้นเป็นกอหญ้าพอดีจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร 

 

 

ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา ก็ได้ยินซานอิงพูดด้วยสายตาโหดร้าย เหมือนดั่งจะกินเนื้อแทะกระดูกอย่างนั้น แล้วโบกมือ “จับตัวเด็กสาวที่กินบนเรือนขี้บนหลังคาคนนั้นมา!” 

 

 

เมื่ออาณาจักรของโจรป่าบนเขาหม่าโถวถูกทำลายลงและกลุ่มผ้าเหลืองถูกจับกุม รอบเมืองเยี่ยนหยางก็ถูกครองด้วยทหารของฉินอ๋อง 

 

 

ในขณะเดียวกัน ทหารตระกูลเฉินได้รับสาส์นจากฉินอ๋อง ก็รีบออกเดินทางจากตำบลเพ่ยมายังเมืองเยี่ยนหยาง 

 

 

ในเวลาบ่าย ประตูเมืองหลักเปิดออก ทหารของฉินอ๋องรอต้อนรับหน้าประตู บนม้าตัวสูงใหญ่นั้น แม่ทัพเฉินเดินทางมาอย่างไม่ได้หยุดพัก สีหน้าตึงเครียด บังคับม้านำขบวนมุ่งเข้าเมืองไป 

 

 

ณ พระราชนิเวศน์ ในห้องโถงหลัก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเพิ่งจะกลับมาจากเขาหม่าโถวไม่นาน กำลังรอข่าวการจับกุมเหยี่ยวภูเขาอยู่ ถอดหมวก เสื้อเกราะและเกราะหัวใจ เปลี่ยนมาเป็นชุดลำลององค์ชายตัวหลวมสบายสีม่วง ถึงแม้ใบหน้าจะดูผ่อนคลาย แต่ในใจก็ยังร้อนรนอย่างไร้เหตุผล ลูบแหวนเบาๆ ดวงตาก็เพ่งค้างไป 

 

 

ซือเหยาอันเห็นท่าทีแล้วพูดขึ้น “องค์ชายสามขอรับ ในเมืองถูกปิดล้อมเอาไว้แล้ว ทหารตระกูลเฉินก็เข้ามาแล้ว ซานอิงยากจะหนีรอดไปได้ ช้าเร็วก็ต้องถูกจับกุมขอรับ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงขานรับ มองไปรอบข้าง แล้วเอ่ยถามขึ้น “เด็กสาวคนนั้นเล่า” 

 

 

“ใครนะขอรับ” ซือเหยาอันชะงัก ผ่านไปสักครู่จึงนึกขึ้นได้ ว่าพูดถึงแม่นางชิ่งเอ๋อร์ ครั้งนี้นางมีผลงานใหญ่ กำลังจะหาคนไปเรียกให้ องครักษ์หน้าประตูก็รายงาน “แม่ทัพเฉินมาในที่พักชั่วคราวขอรับ!” 

 

 

“เชิญ” ซย่าโหวซื่อถิงมองขึ้น 

 

 

เพียงไม่นาน เฉินจ้าวที่สวมชุดเกราะออกรบทั้งตัว รองเท้าหุ้มข้อยาวก็เดินเข้ามา คารวะฉินอ๋องที่นั่งอยู่ แล้วมองไปรอบข้าง กลับไม่มีเงาของอวิ๋นหว่านชิ่น จึงกระวนกระวายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วตะคอกออกมา “ออกไปให้หมด!”