บทที่ 170 ยังมีคนสร้างภาพลวงหลอกให้กลัว

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 170 ยังมีคนสร้างภาพลวงหลอกให้กลัว

ในเวลานี้เมลัมไม่พูดอะไรอีก เพียงยื่นมือชี้นิ้วไปที่อัศวิน A ทันใดนั้นพายุเฮอริเคนก็พุ่งขึ้นไปในอากาศราวกับมีชีวิต

มันใหญ่อย่างน้อยขนาดสองสามคนโอบและยาวหลายสิบเมตร วาดหัววาดหางน่าเกรงขาม

หลังจากปล่อยท่าไม้ตาย ศัตรูทั้งสามก็หันหลังวิ่งหนี หลังจากวิ่งไปไม่กี่ก้าว ทั้งสามก็หายตัวไปในอากาศพร้อมกัน

ฟางหนิงตกตะลึงและพูดไม่ออก ผ่านไปเนิ่นนานถึงค่อยพูดขึ้น “อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าบอสที่มีความคิดการทำสงครามสมัยใหม่ ยิงปืนใหญ่แล้วเปลี่ยนตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ถูกศัตรูจับได้…”

พายุเฮอริเคนใหญ่โตมโหฬาร แต่ไม่มีความเร็วสูง เมื่อพายุปะทะอัศวิน A ก็หลบหลีกหนีมันได้ทันที

หลังจากที่พายุเริ่มการโจมตี ฟางหนิงถึงค่อยค้นพบลักษณะพิเศษของมัน

พายุเฮอริเคนมหึมาไม่ได้พรากชีวิตอัศวิน A แต่พัดผ่านโขดหินและต้นไม้ไปอย่างเงียบเชียบ น่าเหลือเชื่อที่มันไม่สร้างความเสียหายต่อต้นไม้ใบหญ้าก้อนหินและผืนดินแต่อย่างใด

ก่อนที่มันจะก่อตัวขึ้น มันไม่ได้พัดพาฝุ่นธุลีหรือใบไม้เลย ฟางหนิงเข้าใจว่ามันเป็นพลังที่ซ่อนอยู่และมันจะระเบิดก็ต่อเมื่อถูกเป้าหมายเท่านั้น

ตอนนี้ดูแล้วมันไม่ใช่พายุเฮอริเคนธรรมดา และดูเหมือนมันจะไม่ส่งผลกระทบต่อวัตถุใดๆ ด้วยถ้าหากเป็นพายุเฮอริเคนธรรมดาที่มีความเร็วลมหมุนสูง บริเวณริมขอบพายุไม่ต่างกับวิชาเวทย์คมดาบวายุนับไม่ถ้วน ถ้าหากถูกบาดล่ะก็ พลังทำลายล้างจะต้องน่าตกตะลึงพรึงเพริดแน่นอน ทุกหนแห่งที่มันพัดผ่านไป หินควรกลายเป็นเศษฝุ่นธุลี ใบหญ้าแมกไม้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

ตอนนี้มันไม่มีพลังทำลายล้าง พูดได้คำเดียวว่าเป้าหมายที่มันจะสร้างความเสียหายได้นั้นย่อมไม่ใช่วัตถุทางกายภาพ

เมื่อนึกถึงอีกฝ่ายหนึ่งพูดว่าวิญญาณของอัศวิน A บาดเจ็บหนัก ฟางหนิงก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันจะต้องเป็นกลอุบายอำมหิตที่ใช้โจมตีจิตสำนึกและวิญญาณโดยเฉพาะแน่นอนพายุเฮอริเคนโจมตีพลาดในครั้งแรกก็หนีขึ้นไปกลางอากาศ มองลงมายังอัศวิน A ราวกับงูลมยักษ์

ทันใดนั้น งูเฮอร์ริเคนก็ยื่นหัวกระแทกลงมาอีกครั้ง ครั้งนี้มันรวดเร็วขึ้นมาก

อัศวิน A หลบฉากได้อีกครั้ง คราวนี้มันยังคงคว้าน้ำเหลว มีเพียงหัวลมที่กระแทกพื้น ทว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้

หลังจากการโจมตีล้มเหลวถึงสองครั้ง งูลมตัวนี้พลันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้ามันก็หดเหลือความยาวครึ่งเมตรและหนาเท่านิ้วมือ ลอยตัวกลางอากาศ แม้จะดูเหมือนเล็กจิ๋ว แต่ฟางหนิงกลับรู้สึกถึงอันตรายเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

คราวนี้มันจ้องมองอัศวิน A ในชั่วพริบตาต่อมาก็ทะลุผ่านหน้าอกอย่างไร้ร่องรอยบาดแผล

อัศวิน A แผดเสียงก่อนล้มลงกับพื้น เขากุมหน้าอกกระอักเลือดออกมา ทว่าเลือดกลับหายไปก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้น

ทันทีที่อัศวิน A ล้มลง งูลมก็หายไปกลางอากาศ ในเวลาเดียวกันความรู้สึกถึงอันตรายของฟางหนิงเมื่อครู่นี้ก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยด้วย

ฟางหนิงตกตะลึงอ้าปากค้าง ระบบมีปฏิบัติการเหลือเชื่อแบบนี้ด้วยเหรอเขารีบเปิดดูข้อความจากระบบ ไม่อย่างนั้นเด็กเรียนห่วยแบบเขาคงไม่เข้าใจ

(เมลัม ซีน่าและคามาล ผู้สืบทอดของตรีเทพแห่งเทียนจู๋ใช้ค่ายกลพายุเฮอร์ริเคนเรียก ‘งูประลัย’ กำหนดเป้าหมายการโจมตีคืออัศวิน A อย่างไรก็ดี อัศวิน A ไม่บาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต โดยจะโจมตีต่อไปจนกว่าพลังเทพจะถูกใช้จนหมดสิ้น

ทั้งสามเลือกที่จะหนีเอาชีวิตรอดและซ่อนร่างของพวกเขา

‘งูประลัย’ โจมตีระบบ ‘’

ระบบหลบการโจมตีพ้น

รูปร่างของ ‘งูประลัย’ เปลี่ยนแปลงและพัฒนาเป็น ‘งูคายลม’‘งูคายลม’ โจมตีระบบ

ระบบเปิดใช้งาน “การป้องกันสมบูรณ์ระดับต่ำ”

‘งูคายลม’ โจมตีผิดพลาด

ระบบเปิดใช้งาน ‘ทักษะการพรางตัว’ ขั้นสูง

ระบบเข้าสู่สถานะทักษะการพรางตัวแกล้งปางตาย

‘งูคายลม’ โจมตีเป้าหมายเสร็จสิ้นและหายไปเองทันที) ฟางหนิงรู้สึกเลื่อมใส “ระบบ แกฝีมือใช้ได้นี่”

ระบบ “ไม่เท่าไหร่…”

ฟางหนิงมองดูอยู่ครู่หนึ่งพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “แกกระอักเลือดน้อยหน่อย ฉันเลือดไหลออกมาก เดี๋ยวจะเป็นลมหมดสติง่าย”

ระบบ “ไม่ต้องกังวล เลือดที่กระอักออกมาแค่ทำท่าทำทางเท่านั้น ฉันเก็บมันไว้ให้คุณในพื้นที่รักษาความสดของระบบแล้ว อีกสักครู่ฉันจะคืนให้คุณ ไม่ปล่อยให้คุณต้องหมดสติหรอก”ฟางหนิงพยักหน้า

อัศวิน A ยืนพิงก้อนหิน ท่าทางเหมือนเขากำลังจะหมดลมหายใจ

ฟางหนิงไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั้นระวังตัวเกินไปหรือเปล่า หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

เขาถามว่า “คนพวกนั้นไปไหนแล้ว”

ระบบ “พวกมันหลบซ่อนอยู่แถวนี้แหละ คงกำลังเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพวกเรา รออีกหน่อย ตอนนี้เราไล่ตามไปอย่างมากก็จับได้คนเดียว รอจนกว่าคนของสำนักงานสัจธรรมมาถึงก็จับพวกมันได้ครบแล้ว”

ฟางหนิงฟังแล้วค่อยโล่งใจ ขณะที่เขาดูเวลาข้อความ QQ ในโทรศัพท์มือถือ เกือบจะยี่สิบนาทีแล้วตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาติดต่อกับเจิ้งต้าว ปกติแล้วเมื่อดูจากความเร็วการตอบสนองของสำนักงานสัจธรรม พวกเขาน่าจะมาตั้งนานแล้ว หรือว่ากำลังของพวกเขาที่ดินแดนมรดกเสียหายหนักจนตอนนี้ส่งกำลังคนมาไม่ได้แล้วคงไม่ใช่เพราะพวกเขามักจะพึ่งพาแต่เฉียวอันผิงต่อสู้ในแนวหน้า จำได้ว่าพวกเขามียอดฝีมือระดับบ่อน้ำหกคน เท่าที่เขารู้มีสามคนชราแล้ว และยังมีอีกสองคนที่ดูแล้วยังอายุไม่มาก

เขาสอบถามเจิ้งต้าว ฝ่ายนั้นก็ตอบมาว่าติดต่อกับสำนักงานสัจธรรมสามครั้งแล้ว ทางนั้นบอกว่าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ให้เขาอดทนรอ

ฟางหนิงพูดไม่ออก การรอคอยแสนน่าเบื่อ คิดว่าต้องทนรับลมหนาวที่นี่น่าสนุกนักหรือไง

เขามองไปรอบๆ ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิว ที่แห่งนี้ไร้ซึ่งชีวิตชีวา นับเป็นครั้งแรกที่อัศวิน A เศร้าสลด

โชคดีไม่มีคนอื่นเห็น ทว่าไม่สำคัญว่าจะเห็นหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา และเขาก็ไม่ได้ใช้ตัวตนเดิมมานานแล้วด้วย… ฟางหนิงคิดดูแล้วสถานะอัศวิน A ไม่เป็นอิสระ เขาต้องวางมาดเวลาสนทนาทั้งวัน ไม่อาจให้คนอื่นเห็นตัวเองเล่นเกม เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เขาจะเปลี่ยนกลับไปเป็นตัวตนเดิมเที่ยวเล่นตามสบายดีกว่า ถือโอกาสสำรวจความเป็นอยู่ของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ดูว่าตอนนี้สังคมพัฒนาไปไกลแค่ไหนแล้ว เพื่อไม่ให้ตัวเองอยู่กับระบบนานเกินไปจนแยกตัวจากสังคม…

ขณะที่เขาคิดฟุ้งซ่านก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาและรวดเร็วมาจากในระยะไกล ฟางหนิงเข้าใจว่าคนของสำนักงานสัจธรรมกำลังมา แต่เมื่อเขามองจากมุมมองของระบบก็ถอนหายใจทันที เพิ่งคิดว่าจะไม่มีคนนอกเห็นก็มีคนนอกเข้ามาจนได้

บุคคลที่มาใหม่ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฉีเยียน สาวงามที่เกี่ยวข้องกับสถานะอัศวิน Aดูเหมือนฉีเยียนจะมองเห็นจากระยะไกลว่าอัศวิน A กำลังนั่งพิงก้อนหิน มือกุมหน้าอกและอาเจียนเป็นเลือด ความเร็วของฝีเท้าจึงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ท่วงท่าย่างก้าวราบรื่นและเป็นธรรมชาติมากทีเดียว

ฟางหนิงสงสัยเหลือเกินว่าสระน้ำเย็นเยียบในป่ากลางภูเขาแห่งนี้ไม่ได้อยู่ใกล้หุบเขาลึกลับ แต่ฉีเยียนหญิงสาวสวยคนนี้ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ค้นพบที่นี่และยังมาถึงที่นี่ด้วย เธอมีความสามารถจริงๆ

ฟางหนิงถอนหายใจ ระบบจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “โฮสต์ หากไม่มีการเปรียบเทียบฉันก็คงยังไม่รู้ ฉีเยียนคนนี้เรียนรู้จากหนังสือ ‘วิชากำลังภายในพื้นฐานล้มครึ่งก้าว’ ของฉัน เพิ่งฝึกฝนมาครึ่งปีกว่าก็ดูเหมือนว่าเธอจะเชี่ยวชาญชำนาญแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นที่คุณเห็นว่าเธอกำลังย่างก้าวได้แผ่วเบาในเวลานี้ก็เพราะพลังภายในบริสุทธิ์ หากเธอก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นก็จะไปถึงขอบเขตปราณแท้คุ้มร่าง

ฉันอุตส่าห์สอนวิชาขั้นสูงสุดสามชุดให้คุณ ทั้ง ‘การเปลี่ยนร่างมังกร ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ และ ‘คัมภีร์โพธิ’ วิชาแรกฝึกครึ่งๆ กลางๆ อีกสองวิชาจนถึงตอนนี้ยังเรียนพื้นฐานไม่ได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ฉันคิดว่าถ้าคุณไม่ขี้เกียจมากก็สมองทึบมาก…”

ฟางหนิงถูกตำหนิแบบนี้ก็โต้เถียงทันที “แกก็รู้ว่าเธอฝึกวิชากำลังภายในพื้นฐาน ส่วนที่แกให้ฉันมาเป็นวรยุทธ์ขั้นสูงสุดและยากทั้งนั้น จะเปรียบเทียบกันได้ยังไง”

ระบบ “คุณหลอกฉันอีกแล้ว…”

ฟางหนิงยอมรับว่าเขาเกียจคร้าน แต่ไม่อาจยอมรับตนเองโง่ เพราะนั่นจะทำให้เขาสูญเสียสถานะไปหมด ถึงยังไงตอนนี้มีพวกนักโทษแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเพิ่มความโกรธในการต่อสู้

การฝึกฝน ‘คัมภีร์พลังปราณแท้จักรวาล’ ยากที่สุด และอีกสองชุดก็ยากพอๆ กัน อย่างนี้เรียนรู้วิชาที่ง่ายๆ สร้างพื้นฐานจะดีกว่าเขาจึงเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นแกก็สอนกังฟูขั้นพื้นฐานให้ฉันสิ ฉันจะฝึกให้ดู แกจะได้รู้ว่าฉันโง่หรือขี้เกียจ…ชิบหาย ฉันเกือบหลงกลแก ฉันไม่ขี้เกียจและไม่โง่ด้วย เพราะก่อนหน้านี้วรยุทธ์ของแกมันยากเกินไปต่างหาก”

ระบบ “งั้นก็ดี รอฉันเก็บตัวครั้งนี้ทำความเข้าใจ ‘อัศวินหนังสือบิน’ แล้ว ฉันจะสอนให้ ถ้าคุณฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว ฉันถึงจะเชื่อคุณ”

ฟางหนิงกัดฟันกรอด “ฝึกก็ฝึกสิ”

ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากัน ฉีเยียนก็ได้มาถึงตรงหน้าของอัศวิน A แล้ว เธอก้มตัวลง ถามไถ่สีหน้าเป็นห่วง “อัศวิน A คุณไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

ฟางหนิงพูดไม่ออก เมื่อสาวสวยเจอผู้ชายหล่อ ไอคิวของเธอก็ลดลงด้วยหรือไง อัศวิน A ท่าทางกระอักเลือดไม่หยุด ยังจะเรียกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ

ระบบเอ่ย “คุณไปรับมือผู้หญิงคนนี้เถอะ รีบพาเธอออกไปด่วน ที่นี่มันอันตราย”

ฟางหนิง “อืม”ฟางหนิงออกไปรับร่างของเขาคืน แปลสารตามที่ได้รับมาตรงๆ “ที่นี่อันตราย คุณรีบกลับไปเถอะ”

ฉีเยียนดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่ฟางหนิงพูด เข็มสีเงินส่องประกายพลันปรากฏบนมืออ่อนนุ่มของหญิงสาว เธอมองฟางหนิงใจสั่นระรัว

เธอออกคำสั่ง “คุณยื่นมือไหนมาก็ได้ ฉันจะใช้เข็มเงินรักษาคุณ”

ฟางหนิงถามระบบ “ทักษะการพรางตัวของแกสำเร็จไหม”ระบบ “แน่นอน”

ฟางหนิงปวดหัวกลุ้มใจ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะปักเข็มจึงบอกกับระบบ “เอาล่ะ เดี๋ยวเธอฝังเข็มแล้ว นายก็อย่ากระอักเลือดอีก ไม่งั้นฉันคงไล่เธอไปไม่ได้ง่ายๆ”

ฟางหนิงยื่นมือซ้ายให้ตามคำสั่งของฉีเยียน

ไม่นานหลังจากที่เข็มเงินถูกปัก ฟางหนิงพลันรู้สึกถึงพลังภายในที่อ่อนโยนอย่างยิ่งไหลไปตามร่างกาย พริบตาเดียวก็ไหลเวียนทั่วตัว

คนอื่นก็กำลังก้าวหน้าจริงๆ ด้วย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นชนชั้นสูงในสังคมอยู่แล้ว

ฟางหนิงจำได้ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน ฉีเยียนคนนี้เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ทว่าตอนนี้เขารู้สึกว่ากำลังภายในนี้ค่อนข้างคล้ายกับระบบเดินกำลังภายในเมื่อแรก อีกฝ่ายก้าวหน้าเร็วมากอย่างที่ระบบบอกจริงๆ เธอถึงระดับสมบูรณ์แบบแล้วฉีเยียนกลับหน้าเปลี่ยนสี เธอถามเสียงสั่น “คุณเจ็บหนักขนาดนี้ได้ยังไง มีบาดแผลซ่อนอยู่ในอวัยวะภายในหลายแห่ง ฉันรู้สึกได้ว่าจิตใจแปรปรวน สภาพชีพจรก็ยุ่งเหยิง เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของคุณเพิ่งบาดเจ็บสาหัส”

ฟางหนิงจนปัญญา ทักษะการพรางตัวของระบบนั้นมีประสิทธิภาพมากเหลือเกิน แต่ทักษะทางการแพทย์ของฉีเยียนนั้นก็ดีเยี่ยมจริงๆ เธอวิเคราะห์ได้ขนาดนี้ หากเป็นหมอทั่วไป คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิตวิญญาณคือเรื่องอะไร

เขาอธิบายว่า “เมื่อกี้ต่อสู้กับศัตรู แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอก พวกศัตรูยังไปได้ไม่ไกล คุณควรจะรีบไปเถอะ”

ฉีเยียนยังคงหูทวนลม เพียงแต่พูดว่า “ฉันจะห้ามเลือดไหลก่อน ค่อยใช้พลังภายในรักษาคุณ”

ผ่านไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ฟางหนิงถูกรักษาก็นึกสงสัยจึงพูดกับระบบ “สามคนนั้นยังไงกันแน่ อัศวิน A เจ็บขนาดนี้ ผ่านมาตั้งนานแล้ว พวกนั้นก็ยังไม่โผล่ออกมา ต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ๆ หรือว่าพวกนั้นหนีไปกันหมดแล้ว”

หลังระบบได้รับการเตือนจากเขาก็ตอบสนองโดยละเอียดแล้วพูดว่า “พวกมันยังไม่ได้หนีไป ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ คุณลองบอกมาสิมันผิดปกติตรงไหน”ฟางหนิงพูดความคิดที่เข้ามาในหัว “ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะมองทักษะการพรางตัวของแกออก น่าจะเป็นเพราะขี้ขลาดมากกว่า”

ระบบ “จะเป็นไปได้ยังไง พวกมันสามรุมหนึ่ง อีกอย่างเมื่อกี้พวกมันกล้าต่อกรซึ่งหน้า ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกมันเห็นว่าตอนนี้ฉันเจ็บแล้วจะกลัวฉันขึ้นมา รอดูอีกหน่อยละกัน”

ชาวเทียนจู๋ทั้งสามที่ซ่อนตัวอยู่ถูกฟางหนิงหลอกจริงๆ และพวกเขาขี้ขลาดมากจริงๆ ในเวลานี้พวกเขาเห็นว่าอัศวิน A บาดเจ็บสาหัสปางตาย พวกเขาก็ยังคงส่งเสียงลับโต้เถียงกัน

“คามาล อัศวิน A เจ็บหนักใกล้ตายเต็มที หมอคนนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับเขามานานกว่าครึ่งปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสมรู้ร่วมคิดกับเขา น่าจะเป็นเรื่องจริง เจ้าไปเอาชีวิตของมันมาเดี๋ยวนี้” “หืม เมลัม เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง พวกเราไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งประเภทมนุษย์ธรรมดา เราสามารถสื่อสารกับตรีเทพบนสวรรค์และรู้ความลับของสวรรค์ ในเมื่ออัศวิน A เป็นมังกรแท้ ตอนนี้ข้าสังหารมันได้ง่ายๆ ก็จริง แต่ข้าต้องแบกตราบาปฆ่ามังกร เมื่อมีมังกรแท้ปรากฏตัวอีกในอนาคต มันจะฆ่าข้าคนแรกเพื่อสร้างอำนาจ เมื่อกี้มีใครพูด ‘วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของอัศวิน A’ คนนั้นก็ควรจะเป็นคนลงมือถึงจะถูก”

“คามาล ข้าให้โอกาสเจ้า ห้ามปฏิเสธ คราวก่อนเจ้ามัวแต่ลังเลชักช้าเสียเวลาจนทำให้ข้าไร้พลังไม่สามารถช่วยชีวิตคนอื่นได้ ถ้าข้ารายงานเรื่องนี้ ตำแหน่งผู้สืบทอดเทพแห่งการทำลายล้างของเจ้าสั่นคลอนทันทีแน่”

“ช่างน่าขันจริงๆ เจ้าใช้เรื่องนี้ข่มขู่ข้างั้นหรือ ตรีเทพชาญฉลาดปราดเปรื่อง ไม่ใช่ว่าคนธรรมดาจะจินตนาการได้ เจ้าคิดว่าจะหลอกง่ายเหมือนในภาพยนตร์ของเราหรือไง แน่จริงเจ้าก็ไปรายงานสิ”

ในเวลานี้เสียงของซีน่าก็ดังขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนเอาแต่ตำหนิกันไปมา ไม่มีใครอาสาลงมือสักทีงั้นเราก็กลับไปตั้งหลักก่อน ถึงยังไงมันก็ถูกโจมตีจนเจ็บหนักแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นตัวได้เร็ว เมื่อปล่อยข่าวนี้ออกไป ไม่แน่อาจมีผู้แข็งแกร่งที่เป็นมนุษย์ไม่รู้ความลับของสวรรค์ช่วยลงมือแทนพวกเรา”

ทั้งสองไม่โต้เถียงกันต่อ ดูแล้วเป็นการยอมรับโดยไม่พูดอะไร

ฟางหนิงที่แกล้งทำตัวหมูอ่อนแอเพื่อหลอกล่อเสือออกมาและมีทักษะการพรางตัวประสบความสำเร็จมาก แต่เขาไม่คิดเลยอัศวิน A ผู้กำเนิดเป็นมังกรตัวจริงถูกเข้าใจผิด ท่ามกลางสายตาคนที่คิดถี่ถ้วน อีกฝ่ายได้กลายเป็นพี่ใหญ่ที่ใช้ภาพลวงตาทำให้คนอื่นตกใจไปเสียแล้ว

……………………………………………….