แต่เมื่อฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอยู่นานกลับคิดรายละเอียดอะไรไม่ออกเลย ดังนั้นจึงไม่ตรัสอะไร
ภายในตำหนักตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าแปลกประหลาด
ผ่านไปสักครู่ ฮ่องเต้ทรงเลิกถกปัญหานี้กับเสินเซ่อเทียน
พลันฉุกคิดถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ทอดพระเนตรมองเสินเซ่อเทียน ตรัสว่า “เสินเซ่อเทียน เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าหรือเปล่า”
ครั้นพระองค์ตรัสถาม สีหน้าเสินเซ่อเทียนกลับนิ่งแข็งไปในเสี้ยวขณะ
ถูกต้อง
เขาปิดบังเรื่องเป่ยเฉินเสียเยี่ยนกับฮ่องเต้จริงๆ
เพราะในใจเขารู้ดี ฮ่องเต้ไม่ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างยิ่ง หากปล่อยให้ฝ่าบาทรู้ว่าเขามีใจให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นฮ่องเต้ ฝ่าบาทย่อมไม่พอพระทัยแน่
ดังนั้นหลังจากเขาเงียบไป ก็ตอบว่า “กระหม่อมไม่มีเรื่องปิดบังพระองค์”
ฮ่องเต้ทรงย่นพระขนง ตรัสถามด้วยความฉงน “จริงหรือ”
เสินเซ่อเทียนกลับมีสีหน้าปกติตอบ “แน่นอน หากมีอะไรผิดปกติ กระหม่อมจะหารือกับฝ่าบาทในทันที”
เมื่อเขายืนยัน ฮ่องเต้ก็พอพระทัย
แต่ฮ่องเต้ยังไม่คลายความกังวลในพระทัย กลับถามเสินเซ่อเทียน “ข้าได้ยินว่าเจ้าพบเป่ยเฉินเสียเยี่ยน มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“มี” เสินเซ่อเทียนก็ไม่ปิดบัง ตอบอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทสงสัยองค์ชายสี่ ข้าเองก็สงสัย ดังนั้นจึงถามเขาแต่ก็จับพิรุธอะไรไม่ได้ จึงไม่ได้ทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท”
ฮ่องเต้เข้าใจเสินเซ่อเทียน
น้อยครั้งนักที่เห็นเสินเซ่อเทียนตั้งใจอธิบายเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง ในทางกลับกันทำให้ฮ่องเต้รู้สึกว่ามีปัญหา
พระองค์ทรงถามเสียงดังว่า “เสินเซ่อเทียน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ข้าไม่หวังให้เจ้าปิดบังข้า”
ครั้นฮ่องเต้ถาม เสินเซ่อเทียนสีหน้าแข็งขืน
สุดท้ายก็ก้มหน้าลง เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีความผิด”
ระหว่างพูดเสินเซ่อเทียนก็คุกเข่าลง
ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงรับรู้ได้ว่ามีปัญหา พระองค์ทรงเลิกพระขนงถามว่า “เพราะเหตุใด”
เสินเซ่อเทียนถอนใจ เอ่ยตรงๆ “กระหม่อมมีเรื่องปิดบังฝ่าบาทจริงๆ เพราะกระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทไม่เห็นด้วยกับความคิดของกระหม่อม ดังนั้นกระหม่อม…ไม่มีทางเลือกอื่น”
ฮ่องเต้ตรัสว่า “เช่นนั้นคืออะไรกัน ตอนนี้เจ้าจะบอกกับข้าได้หรือไม่”
“…”
เสินเซ่อเทียนเงียบไปชั่วครู่
ทั่วทั้งตำหนักไม่ได้ยินเสียงอื่นใด
ทว่าเสี้ยวนาทีถัดมา เสินเซ่อเทียนมองหัวหน้าขันทีที่อยู่เบื้องหลังฮ่องเต้
ฮ่องเต้เข้าใจทันที โบกพระหัตถ์ “คนอื่นๆ ออกไปให้หมด ข้ามีเรื่องหารือกับจวินซ่าง ใครก็ห้ามเข้าใกล้ห้องทรงพระอักษรเด็ดขาด”
“พ่ะย่ะค่ะ” คนทั้งหมดล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
รอจนคนทั้งหลายออกไปแล้ว
เสินเซ่อเทียนก้มหน้าเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา แต่ว่ายังปิดบังเรื่องขององค์ชายรองที่เกี่ยวข้องกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน เพียงเล่าว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนต้องการบัลลังก์ เขาก็คิดสนับสนุน
ฮ่องเต้ยิ่งรับฟังสีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมขึ้น
รอจนเสินเซ่อเทียนเล่าจบ ฮ่องเต้บันดาลโทสะ ตบโต๊ะอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง จ้องเสินเซ่อเทียนตวาดว่า “เสินเซ่อเทียน เจ้าบังอาจนัก!”
“กระหม่อมรู้ว่ามีความผิด” เสินเซ่อเทียนก้มหน้า ไม่เถียง
ใบหน้างดงามแฝงความทรงอำนาจกลับไม่แสดงถึงความเสียใจหรือสำนึกผิด
ฮ่องเต้เห็นเช่นนี้ เพลิงโทสะก็พลันปะทุขึ้นมาเป็นระลอกๆ
พระองค์ทรงตวาดเสียงก้อง “ข้าคิดว่าทั่วทั้งราชสำนักนี้ คนที่จงรักภักดีต่อข้ามากที่สุดก็คือเจ้า กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เจ้ากลายเป็นคนของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไปแล้ว”
“ฝ่าบาททรงเข้าพระทัยผิดแล้ว” เสินเซ่อเทียนตัดบทฮ่องเต้ทันที อีกทั้งยังเอ่ยปากว่า “กระหม่อมทำเช่นนี้ ก็เพราะจงรักภักดีต่อฝ่าบาท อย่างไรเสียสิ่งที่ฝ่าบาทต้องการก็คือทำให้ราชสำนักเป่ยเฉินดำรงอยู่ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน ส่วนกระหม่อมคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะทำได้”
ไม่มีฮ่องเต้คนไหนที่ไม่อยากให้อำนาจของตนสืบทอดต่อไปจนถึงชั่วลูกชั่วหลาน และก็ไม่มีฮ่องเต้องค์ไหนที่เข้าสู่วัยชราแล้วจะไม่คิดถึงความเป็นอมตะเช่นกัน
คำพูดนี้เป่ยเฉินเซี่ยวย่อมชอบฟัง
เพียงแต่สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอันใดกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน คิดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยตามตรงว่า “เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้”
“หรือว่าฝ่าบาทไม่คิดว่าในบรรดาองค์ชายทั้งหมด องค์ชายสี่โดดเด่นที่สุด” เสินเซ่อเทียนตอบตามตรง
เป่ยเฉินเซี่ยวเงียบไปไม่กี่วินาที กลับเลี่ยงประเด็นนี้ ตรัสว่า “เสินเซ่อเทียน เจ้าก็น่าจะเข้าใจ คำพูดของราชครูในปีนั้น…”
เสินเซ่อเทียนเอ่ย “หากคำทำนายของราชครูแม่นยำ อย่างนั้นเหตุใดปีนั้นเขาถึงคาดการณ์ไม่ได้ว่าเขาจะตายเล่า เหตุใดก่อนที่เขาจะตายถึงไม่หนีออกจากราชสำนักเป่ยเฉินกันเล่า”
“นี่…” ฮ่องเต้ชะงักงันไปเพราะคำพูดประโยคนี้ของเสินเซ่อเทียน
ถูกแล้ว หากคนหนึ่งรู้ชะตาชีวิตขนาดนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะทำนายไม่ได้ว่าตนจะจบชีวิตเมื่อไร ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเขาไม่หนี
ฮ่องเต้ทรงใคร่ครวญ ทรงคาดเดาว่า “หรือเพราะคนที่รู้ชะตาชีวิตผู้อื่น กลับไม่สามารถล่วงรู้ชะตาตัวเองได้ อย่างไรเสียหมอก็ยากรักษาตัวเอง คงเป็นเหตุผลเดียวกัน”
เสินเซ่อเทียน “…”
เขาเข้าใจ ราชครูตายไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะพูดอย่างไร ดวงชะตาจะแม่นหรือไม่ ก็ไม่อาจหาเหตุผลของเรื่องได้
แต่ว่า…
เขามองฮ่องเต้ เอ่ย “เช่นนั้นกระหม่อมขอถามฝ่าบาทหนึ่งคำถามได้หรือไม่”
“เจ้าว่ามา” ฮ่องเต้อนุญาต แสดงท่าทางให้เขาพูดออกมาให้หมด
เสินเซ่อเทียนเอ่ยต่อทันที “กระหม่อมอยากถามฝ่าบาทว่า ปีนั้นหลังจากพระองค์เชื่อคำของราชครู ฝ่าบาททำร้ายองค์ชายสี่สารพัด มาถึงวันนี้ฝ่าบาทเคยเสียพระทัยกับเรื่องนี้หรือไม่”
นี่…
คำถามนี้จี้จุดอ่อนฮ่องเต้อย่างตรงประเด็น
ถึงพระองค์ไม่อยากยอมรับเลยสักนิด ทว่าความจริงพระองค์เคยเสียใจ ยากจะตรัสตอบ “ข้า…”
เหตุใดจะไม่เคยเสียใจเล่า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่เคารพต่อพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ยามพระองค์ทรงเห็นความสามารถของเป่ยเฉินเสียเยี่ยน แล้วทรงคิดถึงบุตรชายคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเห็นแล้วว่าเป่ยเฉินเสียงไร้ประโยชน์เพียงใด ความเสียใจเช่นนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
แต่หลังจากเสียใจ…เสียใจไปแล้วมีประโยชน์อันใด ไม่ว่าอย่างไรเรื่องก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว
ฮ่องเต้ทรงถอนพระทัย ตรัส “เสินเซ่อเทียน ความเสียใจไร้ประโยชน์”
เสินเซ่อเทียนกลับย้ำว่า “ฝ่าบาท ที่กระหม่อมอยากฟังไม่ใช่ความเสียพระทัยไร้ประโยชน์ แต่เป็นพระองค์เคยเสียพระทัยบ้างหรือเปล่า”
ในฐานะฮ่องเต้ หากยอมรับว่าเคยเสียใจก็เท่ากับยอมรับว่าทำผิดไป
หากเบื้องหน้าของพระองค์ในยามนี้คือผู้อื่น ไม่ว่าอย่างไรฮ่องเต้ไม่มีทางยอมรับแน่
แต่คนตรงหน้านี้คือเสินเซ่อเทียน
เป็นเสินเซ่อเทียน คนที่ต่อให้ฮ่องเต้หลอกผู้อื่นถึงกระทั่งตัวเองก็จะไม่มีวันหลอกลวง
ดังนั้นหลังจากถอนพระทัยแล้ว ก็ตอบตรงๆ ว่า “ถูกต้อง ข้าเคยเสียใจ”
เสินเซ่อเทียนฟังแล้วก็รีบถามต่อว่า “เช่นนั้น ในเมื่อฝ่าบาทเคยเสียพระทัย วันนี้ไฉน…ไม่ลองให้โอกาสองค์ชายสี่ดู บางทีเขาอาจจะคิดทำเพื่อราชสำนักเป่ยเฉินจริงๆ ก็ได้”