ตอนที่ 195

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 195 – พาราไดซ์กับโลก (1)

หลังจากได้ขึ้นมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ตัดสินใจเก็บปานแห่งเทพเอาไว้ก่อน นี่มันก็เพราะว่าเขาได้เปลี่ยนแผนการพัฒนาตัวเองไปตามคำแนะนำของจางมัลดง เขาได้ล้มเลิกความคิดที่จะรีบพัฒนาตัวเองเพื่อเลี่ยงไม่ให้ใช้อิลิกเซอร์อันล้ำค่าเสียเปล่า และตัดสินใจค่อยพัฒนาไปทีล่ะก้าวแทน

อย่างแรกเขาได้ตัดสินใจเน้นไปที่การฟื้นฟู ฟื้นฟูค่าสถานะของเขาที่ตกลงไปให้กลับมาอยู่ที่จุดสูงสุดก่อน หากว่าเขาปล่อยให้การลดลงชั่วคราวนี้เอาไว้นาน บางทีมันก็อาจจะกลายเป็นการลดลงอย่างถาวรได้เช่นกัน

เพราะงั้นเขาจึงค่อยๆกลับมาฝึกด้วยการวิ่งเบาๆ ในตอนนี้เองเขาถึงได้รู้ว่าทำไมจางมัลดงถึงบอกให้เขาพักให้มากๆ

ในตอนนี้เขาได้พักผ่อนจนเพียงพอแล้ว ทำให้ร่างกายของเขาได้ฟื้นฟูไปถึงจุดที่สามารถจะทนกับการฝึกหนักได้ และเพราะงั้นเขาจึงเริ่มการกู้คืนค่าสถานะอย่างรวดเร็ว

แน่นอนว่าการฟื้นฟูที่รวดเร็วส่วนใหญ่แล้วก็ควรที่จะขอบคุณการดูแลอย่างทุ่มเทจากซอยูฮุย ซอลจีฮูไม่ได้รู้เลยว่า หากเป็นเรื่องของยารักษาแล้ว ซอยูฮุยก็คือคนที่มีมันมากที่สุดในพาราไดซ์

เธอได้เชิญให้ซอลจีฮูมากินอาหารเย็นในทุกๆสามหรือสี่วัน เพื่อให้เขาได้กินวัตถุดิบล้ำค่าที่จะช่วยเร่งกระบวนการรักษาให้กับเขา เพราะแบบนี้สุขภาพของซอลจีฮูจึงค่อยๆดีขึ้นในทุกๆวัน และเขาก็ได้เริ่มกลับมามีมวลกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และสีผิวนับตั้งแต่ที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว

ในวันนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

ซอยูฮุยได้ปรากฏตัวขึ้นในทันทีที่การฝึกของซอลจีฮูจบลง และให้เขาได้กินมื้ออาหารสุดอร่อยที่ทำให้ใครๆต่างก็น้ำลายไหลด้วยความอิจฉา

งั่ม งั่ม งั่ม

ขณะที่ซอยูฮุยกำลังมองดูซอลจีฮูกำลังเคี้ยวเนื้ออยู่ ดวงตาของเธอก็ได้แสดงอาการฟุ้งซ่านออกมา

ฉันควรจะพูดไปดีไหมนะ?

หลังจากคิดอยู่นาน เธอก็ค่อยๆทำลายความเงียบออกมา

“เอ่อ… จีฮู”

ซอลจีฮูที่จมูกยังคงทิ่มอยู่ที่ถ้วยกับข้าวได้หันหน้าขึ้นมา

“ครับ?”

“เอ่อ… คือ…”

ซอยูฮุยลังเลอยู่เล็กน้อย

“ของขวัญที่ให้ฉันน่ะ นายไปได้มันมาจากไหน?”

“โอ้ จากร้านในห้างน่ะครับ ของพี่สาวผมซื้อมันมาจากร้านวิคตอเรีย ซีเคร็ท ที่นั่นมีขนาดที่เหมาะสมและมีให้เลือกหลายแบบเลย แถมการออกแบบก็ยังยอดเยี่ยมอีกด้วย”

‘ของฉัน?’

ซอยูฮุยได้หยุดตัวเองเอาไว้ไม่ให้แสดงความสงสัยออกมา เธอได้คิดขึ้นในทันทีว่า ‘เขาทำมันจริงๆ?’ แต่แล้วอีกความคิดหนึ่ง ‘ไม่มีทาง’ ก็ได้ดังเข้ามา

เธอไม่ค่อยมั่นใจว่าลางสังหรณ์ของเธอจะถูกต้องหรือไม่

ไม่ว่าจะยังไงก็ตามซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมาราวกับจะถามว่า ‘มีอะไรหรอครับ?’ และซอยูฮุยก็ไม่อาจจะตั้งคำถามกับคนที่ดูไร้เดียงสาแบบนี้ได้

“ขะ… เข้าใจแล้ว มันคงจะยากสินะ มัน… เอ่อ หาไซด์ได้ยากน่ะ”

“ไม่เลยครับ ไม่เลยสักนิด ผมรู้จักร้านขายชุดชั้นในทั่วทั้งเกาหลีเหมือนกับอยู่บนฝ่ามือเลยล่ะ”

ซอลจีฮูได้โม้ออกมาเหมือนกับว่าเป็นคนที่เคยไปทั่วทั้งเกาหลีเพื่อหาชุดชั้นในมาแล้ว

“ขะ.. เข้าใจแล้ว น่าทึ่งจะเลยนะ”

ซอยูฮุยแทบจะพูดอะไรออกมาไม่ถูกเลย ซอยูฮุยไม่เข้าใจในความรู้สึกของซอลจีฮูที่ยิ้มให้กับคำชมของเธอเลยสักนิด จากนั้นจู่ๆเขาก็ถามออกมา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่ามันไม่พอดี? หรือว่าไม่ถูกใจ?”

“อืมม… ไม่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น… ถึงมันจะแน่นอยู่หน่อย…”

ในตอนนี้เองความมั่นใจบนใบหน้าของซอลจีฮูก็ได้พังทลายลงไป

“มะ ไม่มีทางน่า”

‘ไม่มีทาง?’

นี่มันหมายความว่ายังไงกกัน?

“ผมได้เรียกให้พี่สาวอย่างระวังที่สุดแล้วนะ ผมได้ดูตัวเลือกทั้งหมด แล้วก็ซื้ออันที่ดีที่สุด…”

เสียงพึมพำอย่างลุกลี้ลุกลนได้ดังออกมา

ซอยูฮุยได้ค่อยๆหลับตาลง จริงๆแล้วเขาก็พูดถูก แม้ว่าชุดชั้นในมันจะแน่นอยู่หน่อยๆ แต่ว่ามันก็ไม่ได้แย่จนถึงกับทำให้เธอรำคาญ

นอกจากนี้อย่างอื่นต่างก็สมบูรณ์แบบไปหมด สีและการออกแบบไม่ได้ฉุดฉาดเกินไป และมันก็ยังช่วยรับน้ำหนักจากไหล่ได้อย่างดีเยี่ยม

นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้เธออยากจะถามเขา

‘นายซื้อมันมากจากที่ไหน?’ ‘นายรู้ขนาดหน้าอกของฉันได้ยังไง?’ และอะไรทำนองนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้น ‘ทำไมนายถึงได้ให้ของขวัญเป็นชุดชั้นใน?’

“ขอโทษนะครับ… ผมน่าจะถามพี่สาวก่อนจะซื้อมันมา…”

พระเจ้า! เขาเพิ่งบอกว่าเขาควรจะถามก่อนจะซื้อมันมา

ซอยูฮุยได้จ้องซอลจีฮูด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เธออดไม่ได้ที่จะคิดขึ้นมาว่า ‘เขาเจ้าชู้งั้นหรอ?’

“เธอดูแลเขายังไงกัน…? ได้สอนสามัญสำนึกปกติให้เขาบ้างไหม…”

ในท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้แต่ก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง ภายในใจของเธอได้ถอนหายใจยาวออกมา และถึงขนาดดังออกมาจากปากของเธออีกด้วย

‘ฉันควรจะทำยังไงกับเขาดีนะ?’

***

ระหว่างที่ซอลจีฮูกำลังมุ่งไปที่การฝึกพักฟื้น สมาชิกคนอื่นของคาเพเดี่ยมก็ได้เริ่มกลับกันมาแล้ว

คนแรกที่กลับมาก็คือมาแชล จิโอเนีย เขาได้กลับมาที่พาราไดซ์ในสองสัปดาห์ต่อมาหลังจากที่จากไปเหมือนที่สัญญาเอาไว้ ต่อมาก็คือพี่น้องยี่ และน่าบังเอิญที่วันที่ซอลจีฮูฟื้นฟูค่าสถานะกลับมาเป็นปกติ สมาชิกทีมคนสุดท้ายก็ได้มาถึง

คนสุดท้ายที่มาถึงไม่ใช่ฮิวโก้ แต่กลับเป็นโชฮง เธอได้กลับมาในช่วงดึกหลังจากที่ไปเที่ยวรอบยุโรป และซื้อของขวัญกลับมาให้ทุกๆคน

โชฮงได้รับของขวัญที่ซอลจีฮูส่งมาให้ จากนั้นเธอก็กลับไปแกะของขวัญในห้องของเธออย่างยินดี และไม่นานนักเธอก็พุ่งออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ

ฟีโซราที่กำลังนั่งดื่มเบียร์บนโซราได้มองดูโชฮงจ้องซอลจีฮูที่กำลังคุยกับฮิวโก้อย่างมีความสุขอยู่ จากใบหน้าครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งของเธอแล้ว ฟีโซราก็รับรู้ได้ว่าโชฮงก็ได้รับของขวัญเช่นเดียวกับเธอ

“เฮ้ ของขวัญที่นายให้นี่มันคุณภาพสูงจริงๆเลยนะ มันพอดีกับตัวฉัน แถมยังนุ่มดีอีกด้วย”

“ใช่ไหมล่ะๆ? เธอน่ะเป็นนักรบ เพราะงั้นฉันก็เลยหากอันที่มันยืดได้น่ะ”

จากที่ดูแล้ว ฮิวโก้ก็ดูเหมือนจะได้อันหนึ่งเหมือนกัน

ฟีโซราได้เม้มปากก่อนจะมองซังจินที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ยี่ซังจิน”

เมื่อเธอเรียกชื่อเขาออกมา ยี่ซังจินก็ได้หันมามอง

“…ครับ”

เขาได้ตอบกลับมาอย่างไม่แยแส

“นายก็ยังได้…”

“ใช่แล้ว กางเกงใน”

ยี่ซังจินได้พึมพำออกมาก่อนที่เธอจะได้ทันพูดจบ ฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นมา

“นายก็ด้วย?”

ยี่ซังจินได้ผงกหัวออกมา

“…ผมก็แค่บอกขอบคุณแล้วก็รับมันมา ดูเหมือนว่าผมจะไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับของแบบนี้สินะ”

“เดี๋ยวก่อน นั่นมันหมายความว่า…”

ฟีโซราได้ขมวดคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นเธอก็คือไปถึงยี่ซอลอา

‘ไม่ ไม่มีทาง’

เธอเป็นผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเรียนอยู่ เขาคงไม่ได้ไร้สมองจนถึงขนาดให้ของขวัญแบบนั้นกับเด็กสาวอายุ 18 ปีใช่ไหม?

“พี่สาวได้รับรองเท้าวิ่ง”

ความสงสัยของเธอได้ถูกคลายลงไปในทันที

“รองเท้าวิ่ง?”

“ใช่แล้ว เป็นรองเท้าวิ่ง พี่ชายบอกว่าไม่ค่อยมั่นใจเรื่องของพี่สาว… แล้วก็ให้รองเท้ามา…”

ยี่ซังจินได้อธิบายออกมาอย่างสงบ

งั้นเขาก็ไม่ได้เป็นเศษสวะไร้สมองไปหมดสินะ อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้ข้ามเส้นไป

ฟีโซราได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ เธอไม่มั่นใจเลยว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกแบบนี้

ในตอนนั้นเองโชฮงก็พูดขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน

“เฮ้ นี่นายไปเลื่อนคลาสมาแล้วใช่ไหม?”

ซอลจีฮูได้ผงะไป เขาได้วางแผนที่จะเงียบมันเอาไว้ก่อน แล้วค่อยพูดในตอนเช้า เขาไม่คิดเลยว่าจะมีใครถามขึ้นมา

“ทำไมนายถึงตกใจแบบนั้นล่ะ? ยังไงนายก็ระดับ 4 แล้วนี่ มันก็ชัดเจนว่าหลังจากสิ่งที่นายทำสำเร็จไปในสงคราม นายก็จะต้องเลื่อนระดับขึ้นอย่างแน่นอน ยังไงล่ะ? ไปมายัง?”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาเศร้าๆ

“ใช่แล้ว… เลื่อนคลาสแล้วล่ะ”

จากนั้นฮิวโก้ก็ผงะไป โชฮงได้ถามขึ้นอีกครั้ง

“คิดไว้แล้วล่ะ แล้วชื่อคลาสอะไรล่ะ?”

ซอลจีฮูได้ยืดหลังตรงขึ้นมา

“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่ผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส”

“หา? ผู้ใช้หอกอะไรนะ?”

โชฮงได้กระพริบตาขึ้นมา เธอรู้ชื่อคลาสนักรบส่วนใหญ่ที่จะได้รับในตอนเลื่อนระดับ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้ยินคำว่าผู้ใช้หอกแห่งเนเมซิส

โชฮงได้มอบไปรอบๆเห็นจางมัลดง และถามออกมา

“ตาแก่ ฉันไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย คลาสเฉพาะ?”

‘คลาสเฉพาะ?’

“ก็ต้องเป็นคลาสเฉพาะสิ”

จางมัลดงได้ตอบกลับมาอย่างสงบ

“เฮ้ เปิดหน้าต่างสถานะของนายมาสิ เอาชื่อคลาสนายมาให้เราดู”

โชฮงได้เดินเข้าไปหาซอลจีฮูด้วยความสงสัย เมื่อซอลจีฮูเปิดหน้าต่างสถานะด้วยสีหน้าสับสน สมาชิกคาเพเดี่ยมก็ได้มาลุมล้อมตัวเขา

“จริงด้วย…”

โชฮงได้ส่งเสียงร้องออกมา หัวของเธอแทบจะจุ่มเข้าไปในหน้าต่างสถานะอยู่แล้ว เธอดูจะอิจฉามากๆ

“คลาสเฉพาะนี่มันคืออะไรหรอ?”

“คลาสเฉพาะคือ อืม… ก็คล้ายๆกันกับคลาสที่มีเพียงหนึ่ง ฉันจะพูดยังไงดีล่ะ….”

“มันคือคลาสพิเศษที่เทพได้มอบให้กับชาวโลกที่พิเศษ”

ฟีโซราได้อธิบายออกมาแทนเมื่อเธอเห็นโชฮงอธิบายไม่ได้

“มันค่อนข้างที่จะเป็นงานยุ่งยากจากเทพ เพราะว่าเหล่าเทพจะสร้างมันขึ้นโดยคำนึงถึงนิสัยและพฤติกรรมของชาวโลกคนนั้น นอกจากนี้…”

เธอได้หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ

“คลาสเฉพาะเป็นเหมือนกับขั้นตอนที่ก่อนชาวโลกจะได้รับการยอมรับเป็นผู้บริหาร”

“ผู้บริหาร?”

“นับรวมทั้งคนที่ตายไปแล้ว และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชาวโลกที่ถูกเลือกเป็นผู้บริหารต่างก็มีคลาสเฉพาะกันทั้งนั้น เท่าที่ฉันรู้คือไม่เคยมีข้อยกเว้นเลย”

ฟีโซราได้อธิบายออกมาอย่างสงบ ซึ่งไม่สมกับบุคลิกตามปกติของเธอเลย

“ยกตัวอย่างง่ายๆ มันก็คือคลาสที่ถูกเหล่าเทพเฝ้าจับตามองอย่างตั้งใจ แต่ว่าการได้รับคลาสเฉพาะมันก็ไม่ได้หมายความว่านายจะกลายเป็นผู้บริหารหรอกนะ”

“…”

“ยกตัวอย่างเช่นแอ็กเนส ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในตอนเธอกลายเป็นระดับ 7 ก็ตามที”

“ไม่ใช่ว่าการจะได้รับคลาสเฉพาะต้องเป็นระดับ 6 หรอกหรอ?”

โชฮงที่ฟังอยู่เงียบๆได้แทรกขึ้นมา ฟีโซราก็ได้ยักไหล่ตอบกลับไป

“มันเป็นแบบนั้นมาจนกระทั่งตอนนี้ เพราะงั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันก็ไม่ได้มีกฎอย่างเคร่งครัดว่าต้องระดับ 6 เท่านั้นนี่ บางทีมันอาจจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเทพก็ได้ ยังไงเขาก็เป็นพวกผิดปกตินี่นา”

“แต่แม้กระทั่งในหมู่พวกผิดปกติ… อั๊ก!”

โชฮงที่กำลังพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อจู่ๆก็ร้องขึ้น และเกาหัวของเธออย่างแรก ซอลจีฮูที่รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่จู่ๆหนักหน่วงขึ้นมาก็พูดขึ้นอย่างเมินเฉย

“งั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก เราไม่รู้ว่าในอนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นนี่นา”

จากนั้นเขาก็สะกิดมาแชล จิโอเนียที่น่าสงสาร

“แล้วคุณเป็นยังไงบ้างล่ะ คุณจิโอเนีย? คุณเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงหรือยังไง?”

“ตอนที่ผมกลับมาถึง ผมได้ลองไปวิหาร แต่ว่าผมถูกบอกมาว่ายังขาดคะแนนคุณูปการ”

มาแชล จิโอเนียได้ตอบกลับมาอย่างสงบ

“คะแนนคุณูปการ? ไม่ใช่ว่าคุณก็พอจะได้มาจากสงครามครั้งนี้หรอกหรอ?”

“ไม่เลย”

นักธนูได้ส่ายหัวออกมาอย่างช้าๆ

“คะแนนคุณูปการณ์จะได้รับผ่านระดับที่ขึ้นตรงตามสิ่งที่กระทำเท่านั้น แค่เข้าร่วมสงครามนั่นไม่ได้หมายความว่าจะได้รับคะแนนคุณูปการหรอกนะ เหมือนอย่างชื่อของมันนั้นแหละ มันจะขึ้นอยู่กับว่านายได้มีคุณูปการมากแค่ไหน”

ก็นั่นแหละ เพราะงั้นซอลจีฮูได้รีบหยักหน้าตอบรับออกมา

“เพราะผมถูกจับไปหลังจากที่เหล่าเจ็ดกองทัพได้ปรากฏตัว ผมจึงแทบไม่ได้ทำอะไรเลย”

“เหมือนกัน”

ฮิวโก้ก็ยังพึมพำออกมาเศร้าๆ

“ฉันยังขาดประสบการณ์แล้วก็คะแนนคุณูปการ ยัยไอร่านี่นะ เธอบอกว่าฉันจะต้องเพิ่มสติปัญญาก่อนเป็นอย่างแรก”

เมื่อฮิวโก้ได้กำหมัดแน่น โชฮงก็แสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา

“เห็นด้วยนะ จะไปให้คนที่มีเส้นบะหมี่เป็นสมองกลายมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงได้ยังไงกัน?”

“เธอว่ายังไงนะ? แล้วใครกันล่ะที่เปลี่ยนจากนักบวชมาเป็นนักรบเพราะว่าทึ่มน่ะ?”

“ขอบคุณน้า~ ช่วยเลื่อนคลาสทีเถอะน้าาา~”

“…ยัยนี่!”

“สหาย นายควรจะละอายใจนะ นายเข้ามาที่พาราไดซ์ก่อนที่ซอลจีฮูจะมาซะอีก แล้วตอนนี้เขาก็ก้าวข้ามนายไปแล้ว”

“เขาก็ตามเธอทันแล้วเหมือนกัน”

“อย่างน้อยฉันก็ยังไม่ถูกก้าวข้ามไปนี่ แล้วนายไม่รู้หรอกหรอว่าระดับ 5 เป็นจุดที่นายควรจะมาติดอยู่น่ะ?”

“…”

ฮิวโก้ได้หยักไหล่ออกมาราวกับเขาไม่มีอะไรจะพูดอีก เขาแทบจะน้ำตาไหลออกมา

โชฮงได้ยิ้มขึ้นมาก่อนที่จะวางแขนลงไปบนไหล่ของซอลจีฮู

“ยังไงก็ตามตอนนี้หัวหน้าของเราเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงแล้ว เราไม่อาจจะปล่อยผ่านมันไปเฉยๆใช่ไหมล่ะ?”

“คราวนี้เธอมีแผนจะทำอะไรอีกล่ะ?”

เมื่อจางมัลดงได้ถามออกมาด้วยความกังวล โชฮงก็แค่นเสียงออกมา

“นี่ยังไม่ชัดอีกหรอ? ปาร์ตี้ฉลองไง! มันก็นานแล้วนะ เรามาดื่มกันจนหลับกันดีกว่า!”

“นี่ยัยหนู เธอไม่ใช่คนที่เลื่อนระดับนะ เธอก็แค่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง”

จางมัลดงได้จี้จุดออกมา

“อ๊า ไม่ต้องมีปปาร์ตี้ฉลองหรอก มันน่าอายจะตาย”

เมื่อซอลจีฮูหัวเราะออกมาแห้งๆ โชฮงก็ดึงแขนเขาออกมา

“นายไม่ต้องหนีไปไหนเลย! วันนี้นายต้องไปกับฉัน!”

จากนั้นโชฮงก็เดินออกไปทันที

“เอาล่ะ! ไปกันเถอะ!”

สำนักงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่สมาชิกคนอื่นๆได้ตามซอลจีฮูกับโชฮง จางมัลดงก็ยังลุกขึ้นด้วยยิ้มแห้งๆ

***

มันดึกมากแล้ว แต่ว่ากิน ดื่ม และเพลิดเพลินก็ยังคงคึกคักอยู่

เมื่อซอลจีฮูได้เดินเข้าไป ทั้งบาร์ก็เงียบลงไปทันที แต่ว่าก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่นานนักทั้งบาร์ก็ดังขึ้นมาด้วยเสียงคนพูดคุยด้วยกัน

ซอลจีฮูได้เห็นผู้คนกำลังลุกขึ้นจากที่นั่งมามองดูเขา เขาก็เดินไปที่โต๊ะที่ฮิวโก้จองเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเขาเห็นขวดเหล้าที่วางไว้บนโต๊ะ เขาก็หยุดลง

แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังดูหนักใจ แน่นอนว่าโชฮงเป็นคนที่ผงะไปมากที่สุด

“ไอ้เจ้าบ้า-“

“ก็เธอบอกเอาเต็มที่ใช่ไหมล่ะ?”

ฮิวโก้ได้หัวเราะออกมาพร้อมกับเปิดขวดขึ้น

“จ่ายบิลด์ แล้วก็ร้องไห้ให้เต็มที่เลยน้า~”

“ไอ้สารเลว… ฉันสาบานได้เลย หากว่านายกินไม่หมดนะ…”

“หุหุหุ ไม่ต้องห่วง ฉันจะกินให้หมดต่อให้ต้องกินติดกันสี่วันก็ตาม อย่าได้หนีไปซะล่ะ”

“บ้าเอ้ย ก็ได้ งั้นวันนี้มากิน ดื่ม และตายไปด้วยกันเลย!”

โชฮงได้ถกแขนเสื้อขึ้น และทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้

เพราะแบบนี้ปาร์ตี้ฉลองการเลื่อนคลาสของซอลจีฮูก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ทุกๆคนต่างก็อยู่ที่นี่ และเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามก็เป็นเรื่องเล่าที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซอลจีฮูได้นั่งดื่ม และพูดคุยกับคนอื่นอย่างเพลิดเพลินโดยไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

มีสายตาเฉียบคมมองจ้องมาที่แผ่นหลังของเขาเป็นระยะ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจสายตาพวกนั้น และสนใจอยู่กับการพูดขึ้น

และเมื่อเวลาได้ผันผ่านไป และรุ่งเช้าได้กำลังเข้ามาเยือน…

“นายรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันอยากจะคลุมหัวตัวเองสุดๆไปเลย? ทุกๆคนควรที่จะเข้ามาทักทายแล้วก็ขอบคุณนายใช่ไหมล่ะ?”

ฮิวโก้ที่ได้ดื่มเหล้าไปหลายขวดจนมากกว่าที่เคย ได้วางขวดเหล้าบนมือลง และพูดขึ้น

“เฮ้พวก ฉันพูดถูกไหมล่ะ? หากว่าไม่ใช่เพราะนายน่ะ-“

“ไม่ ไม่เลยสักนิด ทุกๆคนได้ร่วมกันต่อสู้ ทั้งชาวโลก แล้วก็ชาวพาราไดซ์”

“แต่ว่านะ! หากว่านายไม่อยู่ก็ ฟิ้ว! ทุกๆคนก็คงจะถูกกำจัดจนหมดไปแล้ว!”

“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว เพราะงั้นลดเสียงลงหน่อย”

ฮิวโก้ได้พูดดังขึ้นอีกแม้ว่าลิ้นของเขาจะเปลี้ยไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะพูดถูกหรือผิด ซอลจีฮูก็รีบหยุดเขาเอาไว้เพราะความอับอาย

“ไอ้เจ้าสมองบะหมี่พูดถูกแล้ว! นายน่าจะได้ไปงานเทศกาลหลังสงครามนะ คนที่ทำหน้าที่อย่างโดดเด่นได้นอนหลับกึ่งตาย แต่เหล่าพวกสารเลวกลับเดินปาร์ตี้กันตามท้องถนนโดยไม่สนใจอะไรเลย!”

“ถูกกกกต้ออองงง! นั่นแหละที่ฉันอยากจะพูด!”

เมื่อโชฮงได้เสริมขึ้นมา ฮิวโก้ก็หยักหน้ารัวๆ และทุบโต๊ะอย่างแรก

“ไอ้บ้าเอ้ย นายเมาไปแล้ว”

โชฮงได้แค่นเสียงหัวเราะเยาะออกมา

“นายไม่ใช่คนที่ควรจะพูดอะไรได้เลยนะ แค่โดนหมัดเดียวนายก็กลับน็อคลงไปแล้ว”

“ยัยบ้านี่!”

ตึง! ฮิวโก้ได้ใช้สองมือทุบโต๊ะอย่างแรก เขากระทั่งก้าวขึ้นมายืนบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยขวดเหลาราวกับว่านี่ยังไม่พอ ก่อนที่จะเหลือบมองลงมาที่โชฮงราวกับจะฆ่าเธอทั้งเป็น และพูดออกมา

“พวก! หากว่าฉันเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงนะ! เธอรู้อะไรไหม!? ความหมั่นเพียรอันนิรันดร์โง่เง่านั่นคงถูกฉันอัดไปแล้ว! แต่อะไรกันล่ะ!? ยัยเทพธิดาบ้าไอร่านั่น!”

เขาถึงขนาดพูดออกมาแทบไม่เป็นประโยคแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังคงพล่ามต่อไปทั้งๆที่หน้าแดงอยู่ โชฮงได้ปรบมือออกมา และเรียกเยาะเย้ยเขาว่าสุนัขกำลังเห่า

จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมา

“ฟู่ววว…”

เมื่อเห็นจางมัลดงส่ายหัวออกมา ซอลจีฮูก็ยิ้มแห้งๆขึ้นเช่นกัน

จากนั้นเอง

“แล้วก็นะ! ถ้าเกิดว่านั่นน่ะ หืม?! ถ้าไม่ใช่เพราะซอลของเราคนนี้ หือ!? เธอน่ะ-!”

“แม่งเอ้ย!!!”

ทันใดนั้นเองเสียงสบถของใครบางคนก็ดังออกมา ซอลจีฮูได้หันไปเหลือบมองทิศทางของเสียงทันที

“ฉันทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว”

กลุ่มชายสี่คนอายุประมาณยี่สิบปีที่นั่งอยู่บนโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งกำลังมองมาที่พวกเขา

“หยุดพล่ามได้แล้ว หุบปากแล้วแดกไปเงียบๆซะ”