ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 328 หมาป่าขาว

จอมศาสตราพลิกดารา

สถานการณ์พลิกกลับอย่างรวดเร็ว เหมือนกับฝันร้ายฉากหนึ่งที่ดำเนินไปเพียงครึ่งและหยุดลงอย่างกะทันหัน แปดกรพิพากษาจงเหว่ยและพวกทหารขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกร หลังจากผ่านความตกใจที่ยาวนานมา ก็ล้วนโห่ร้องด้วยความยินดี เสียงนี้ราวขุนเขากู่ก้องทะเลคำราม ดังไปไกลร้อยลี้

จากนั้น ทุกจุดภายในเมือง เขตพื้นที่ใหญ่ๆ บรรดาทหารที่เสร็จศึกตัวชุ่มไปด้วยเลือด ประชาชนที่ยังอกสั่นขวัญแขวน ต่างพากันทยอยคุกเข่าลงกับพื้น คารวะไปทางหลี่มู่

ขั้นเทวะ

ผู้บัญชาการระดับสูงอย่างจงเหว่ยก็ยังคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “คารวะไท่ไป๋อ๋อง”

คำนำหน้าอ๋องของหลี่มู่นี้เป็นชื่อเสียงจอมปลอม

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังของเทวะ ชื่อเสียงปลอมนี้เปลี่ยนเป็นพลังที่น่าเกรงขามอย่างมาก

หลี่มู่ยกมือขึ้น “ลุกขึ้นเถอะ”

ด่านเมืองมังกรในคืนนี้ นับว่าถูกปกป้องไว้ได้แล้ว

ส่วนคนลึกลับในแสงสีทองท้ายสุดก็ไม่กล้าหลบหนี ถูกทหารของด่านเมืองมังกรคุมตัวเอาไว้

การสู้รบจบลงแล้ว

ในฐานะขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกร แปดกรพิพากษามีประสบการณ์ที่เต็มเปี่ยมไร้ใดเทียม ยังไม่ถึงเวลาฟ้าสว่าง การป้องกันของด่านเมืองมังกรก็กลับมาแข็งแกร่งดุจป้อมปราการอีกครั้ง กองกำลังทหารถูกจัดขึ้นใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ในเวลาเดียวกัน พวกที่ยังซ่อนอยู่ในเมือง โดยเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับกองกำลังกระบี่เหล็ก ทั้งหมดถูกขุดรากถอนโคน โรงฝึกยุทธ์กระบี่เหล็กที่ไช่ไช่อยู่ก็ถูกกวาดล้างจนสิ้น

ด่านเมืองมังกรกลับมาอยู่ในการควบคุมของทหารชายแดนฉินตะวันตกอีกครั้ง

จากสงครามอันดุเดือดและการสังหารในคืนนี้ ทหารรักษาการณ์ด่านเมืองมังกรพูดได้ว่าเสียหายหนัก กองกำลังใหญ่ทั้งสาม กองกำลังกระบี่เหล็กแทบจะก่อกบฏทั้งหมดถูกลบทิ้งโดยสมบูรณ์ ส่วนกองกำลังบุกฐานที่มั่นและกองกำลังทวนสังหารก็เสียหายไปกว่าครึ่ง…พูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า พลังป้องกันของด่านเมืองมังกรนั้น หนึ่งส่วนสามของยามปกติก็ยังมีไม่ถึง

แต่ความมุ่งมั่นและขวัญกำลังใจของทหารประชาชนไม่ได้ลดลงเลย

เพราะทุกคนรู้แล้วว่า มีเทวะจากจักรวรรดิคนหนึ่งมาดูแลและปกป้องด่านเมืองมังกรแห่งนี้

เหล่าผู้ปกครองระดับสูงอย่างแปดกรพิพากษาจงเหว่ยขอเข้าพบหลี่มู่อีกครั้งช่วงรุ่งสาง

“สถานการณ์ไม่สู้ดียิ่งนัก ด่านชายแดนสิบเมืองเก้าพื้นที่ ไม่เพียงแต่ด่านเมืองมังกรที่ถูกโจมตี เมื่อคืนนี้ทั้งคืน เก้าเมืองถูกโจมตีหมด หกในนั้นถูกยึดครอง พื้นที่ทั้งเก้าเกิดความวุ่นวายขึ้นสี่ ภายในคืนเดียว เมืองด่านชายแดนของจักรวรรดิเสียหายไปกว่าครึ่ง”

จงเหว่ยเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เดิมทีคิดว่ากองกำลังกระบี่เหล็กแห่งด่านเมืองมังกรสมรู้ร่วมคิดก่อกบฏเป็นแค่ตัวอย่าง แต่ตอนนี้ดูแล้ว เรื่องไม่ได้ง่ายปานนั้น นี่เป็นลมพายุขนานใหญ่ที่วางแผนเอาไว้นานแล้ว พัดกระหน่ำขึ้นในคืนเดียว เพียงพริบตาก็ม้วนกวาดทั่วทั้งชายแดน ฉายาพื้นที่ทัพชายแดนที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิฉินตะวันตก ไม่ถึงหกชั่วยามก็เสียหายสาหัส

รสชาติของการถูกหักหลัง เมื่อลองชิมอย่างละเอียด ล้วนทำให้คนรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง

สำหรับจักรวรรดิฉินตะวันตก นี่เป็นภัยพิบัติครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะว่าด้านในยังมีทหารกบฏที่มีเจิ้นซีอ๋องเป็นหัวหอก ยังไม่ถูกกวาดล้างออกไป

ความวุ่นวายด้านในกับหายนะด้านนอก ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

สำหรับราชวงศ์ใดก็ตาม เรื่องนี้ล้วนเป็นเค้าลางแห่งการล่มสลาย

ก่อนหน้านี้ขุนพลป้องกันด่านเมืองมังกรจงเหว่ยได้ส่งคนออกไปกระจายข่าว เดิมทีหวังไว้ว่าจะมีกองกำลังสนับสนุนจากเมืองชายแดนอื่นๆ มา แต่ข่าวที่ได้รับกลับทำให้เขาและผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจกลัว ดังนั้นจึงต้องมาเข้าพบหลี่มู่ที่เป็นขุนนางจักรวรรดิผู้สูงส่งคนนี้ก่อนอย่างเสียมิได้

ได้ยินข่าวเช่นนี้ หลี่มู่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

แต่ว่า เขาไม่สามารถหยุดอยู่ที่ด่านเมืองมังกรนี้ได้

หากวันนี้ก่อนอาทิตย์ตกดินยังไม่ได้รับข่าวคราวจากชิวอิ่นละก็ เขาตัดสินใจจะไปที่ราบทุ่งหญ้ากับกัวอวี่ชิงก่อน หลังจากชิวอิ่นตามมา ค่อยไปหาพวกเขาในที่ราบทุ่งหญ้าได้ อย่างไรเสียเวลาก็ไม่คอยท่าใคร ใจเขายังกังวลถึงความปลอดภัยของซ่างกวนอวี่ถิง

ทว่า สิ่งที่มองเห็นล่วงหน้าได้ก็คือ ฤดูหนาวที่หนาวเหน็บที่สุดในประวัติศาสตร์ฉินตะวันตกกำลังจะมาเยือนแล้ว

ลมพายุโหมครั้งหนึ่ง แสดงให้เห็นความโหดร้ายแบบดั้งเดิมที่สุดแล้ว

……

พายุหิมะบนที่ราบทุ่งหญ้ามาไวไปไว

เมื่อฟ้าสาง หิมะพร่างพรายดุจขนห่านเต็มท้องฟ้าหายไปจนหมดแล้ว เพียงแต่พายุหิมะที่ตกมาหนึ่งคืน ทำให้ท้องทุ่งหญ้าปกคลุมไปด้วยหิมะขาวหนาๆ หนึ่งชั้น มากพอจะจมตั้งแต่ใต้หัวเข่าของผู้ใหญ่ลงไปได้ ต้นหญ้าแห้งเหี่ยวถูกหิมะทับถม เมื่อมองออกไป โลกทั้งใบเป็นสีเงิน ภายใต้แสงแดดยามเช้าตรู่ที่ส่องลงมา ประกายแสงสีเงินค่อนข้างแยงตา ส่องระยิบระยับอยู่บนที่ราบหิมะ

เจียงชิวไป๋หลับจนตื่นตามปกติ

ข้างกายเขามีหญ้าอ่อนเขียวขจี ดอกไม้ผลิบาน ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแน่นขนัด

“เอาละ พวกเราก็ควรเดินทางเสียที” เขามองที่ราบหิมะอันสุดลูกหูลูกตา สีหน้าสงบมาก ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับทิวทัศน์มหัศจรรย์ที่ปรากฏขึ้นตรงหน้านี้แม้แต่น้อย

ซ่างกวนอวี่ถิงกลับจิตใจหวั่นไหวอยู่บ้าง

นางที่เดิมทีอยู่ในพื้นที่ทิวเขาของจักรวรรดิฉินตะวันตก เห็นภาพเทือกเขาสูงหรือป่าเขียวขจีจนชินแล้ว เคยเห็นภาพสุดลูกหูลูกตาเช่นนี้เสียที่ไหน โลกน้ำแข็งที่ปกคลุมด้วยสีเงิน ภาพฟ้ากับดินขาวจนเป็นสีเดียวกัน ทำให้คนอดเกิดความรู้สึกว่าจิตใจกว้างขวางไม่ได้จริงๆ

ซ่างกวนอวี่ถิงตอนนี้รู้สึกสงบลงได้แล้ว

ถึงแม้เจียงชิวไป๋จะใช้กำลังชิงตัวนางมาที่นี่ แต่ว่าตลอดการเดินทาง ต้องยอมรับเลยว่าเจียงชิวไป๋เป็นชายที่มีสุขุมสุภาพมาก อย่างน้อยก็ดูแลนางเป็นอย่างดี ไม่ทำหยาบคายใส่นางเลยแม้แต่น้อย

หลายครั้งที่เจียงชิวไป๋แสดงท่าทีเหมือนปัญญาชนผู้สง่างาม นับเป็นชายที่เปี่ยมล้นด้วยเสน่ห์คนหนึ่ง

ทั้งสองเดินทางออกจากเนินเขา

เนินเขาที่ไม่ได้รับการคุ้มครองจากเขตแดนของเจียงชิวไป๋ เพียงไม่นานก็ถูกลมหนาวโถมใส่ ชั้นหิมะทับถมขึ้นมา ดอกไม้ใบหญ้าที่เดิมทีเบ่งบานถูกพายุน้ำแข็งหิมะหนาวเย็นทับจนจับตัวแข็ง เหี่ยวเฉา และตายลงอย่างรวดเร็ว…ท้ายสุด ก็ถูกทับถมอยู่ใต้หิมะขาวสะอาด

ซ่างกวนอวี่ถิงหันกลับไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็อดเสียดายไม่ได้

ตลอดการเดินทาง พายุหิมะยังตามมาทุกที่

หิมะบนฟ้าถึงแม้จะหยุดลงไม่ตกต่อ แต่กระแสลมแรงในเหมันตฤดูบนที่ราบทุ่งหญ้ากลับเหมือนมีดกรีด ม้วนเอาหิมะที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา ฟ้าเยือกแผ่นดินเย็น พายุหิมะหนึ่งครั้ง ทำให้ที่ราบทุ่งหญ้าที่เดิมมีชีวิตชีวาเข้าสู่เหมันต์อันยาวนานที่ยากจะทานทน

หนึ่งชั่วยาวกว่าต่อมา คนทั้งสองมาถึงพื้นที่ราบหุบเขาแม่น้ำแห่งหนึ่ง

หิมะทับถมปกคลุมพื้นที่ราบในภูเขา

มีคนเลี้ยงสัตว์จากทุ่งหญ้ากำลังกำจัดหิมะที่ทับถมแข่งกับเวลา สัตว์เลี้ยงสำหรับการปศุสัตว์นับไม่ถ้วนถูกทับถมอยู่ใต้ชั้นหิมะ ทั้งยังมีกระโจมที่ถูกหิมะทับจนพัง ด้านหน้ากระโจมที่ล้มลงมามีคนเลี้ยงสัตว์ร้องไห้อยู่ ไหนจะยังศพของคนเลี้ยงสัตว์ที่ตายไปเพราะลมหนาวและพายุหิมะนี้อีก…

ซ่างกวนอวี่ถิงตอนนี้ฝึกฝนจนอยู่ประมาณขั้นฟ้าประทานแล้ว โดยเฉพาะการฝึก ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ทำให้คุณสมบัติร่างกายของนางยกระดับขึ้น ร้อนหนาวไม่มีผล เรื่องอุณภูมิต่ำจึงไม่ค่อยสะทกสะท้านนัก ก่อนหน้านี้รู้สึกเพียงลมหิมะเช่นนี้หาดูได้ยากและสวยงามดี ที่ราบทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตายิ่งทำให้นางตกตะลึง ทว่าในพริบตานี้ เมื่อได้เห็นศพของคนเลี้ยงสัตว์ เห็นกระโจมที่ล้มพัง เห็นคนเลี้ยงสัตว์ที่เจ็บปวดแสนสาหัสเหล่านั้น…

โดยเฉพาะตอนเห็นทารกน้อยเพศชายที่น่าจะเพิ่งครบเดือนแข็งตายอยู่ในอ้อมอกของมารดา ซ่างกวนอวี่ถิงจึงตระหนักได้ว่า ลมหิมะเช่นนี้หมายถึงอะไรสำหรับคนที่ราบทุ่งหญ้า

ช่วงเวลาแห่งความอดอยากและหนาวเหน็บมาถึงแล้ว

พายุหิมะครั้งใหญ่สำหรับทุกชนเผ่าในที่ราบทุ่งหญ้าล้วนเป็นบททดสอบที่เข้มงวด

เจียงชิวไป๋เผยพลังออกมาตรงๆ ขับไล่ลมหิมะที่หุบเขานี้ออกไป และช่วยเหลือบรรดาวัวแพะที่ถูกทับอยู่ใต้ชั้นหิมะ กระทั่งคนเลี้ยงสัตว์หลายสิบคนที่แข็งทื่อไปแต่ยังไม่หมดลมหายเสียทีเดียวก็ถูกช่วยเหลือออกมาด้วย

บรรดาคนเลี้ยงสัตว์ที่รู้สึกซาบซึ้งล้วนคุกเข่าลงบนพื้น ราวกับทำความเคารพต่อเทพเจ้า ส่งเจียงชิวไป๋จากไปอย่างนอบน้อม

ตลอดการเดินทาง ในเวลาหนึ่งวันต่อมาก็พบชนเผ่าน้อยใหญ่ที่ถูกพายุหิมะจู่โจมอีกนับสิบ เจียงชิวไป๋ลงมือโดยไม่อิดออด อดทนช่วยเหลือคนเลี้ยงสัตว์อย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นคนเถื่อนต่ำต้อยอ่อนแอเพียงไหน ก็ล้วนได้รับความช่วยเหลือจากเขา…

นี่ไม่เหมือนกับบุคคลขั้นเทวะมากมายที่ซ่างกวนอวี่ถิงเคยได้ยินมา

แทบจะทุกดินแดนและเขตพื้นที่ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานส่วนใหญ่ของแผ่นดินใหญ่เสินโจว เทวะล้วนสูงส่ง เป็นบุคคลระดับเทพเซียนที่กำหนดดวงชะตาของดินแดนหนึ่ง สิ่งที่พวกเขาควบคุมคือประวัติศาสตร์อันยาวนาน การกำเนิดและล่มสลายของราชวงศ์ สนใจเรื่องแนวโน้มของฟ้าดิน จับตาดูโชคชะตาที่ไร้สิ้นสุด…พวกเขาแต่ไหนแต่ไรไม่เคยสนใจความเป็นความตายของชีวิตเล็กจ้อยอ่อนแอ ต่อให้เป็นจักรวรรดิ ราชวงศ์ หรือแม้แต่สายธารประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่เพียงไหน แท้จริงแล้วก็เป็นองค์ประกอบของปัจเจกบุคคลทั้งสิ้น

เทวะเป็นผู้มีเมตตา

และเทวะก็เป็นพวกไร้ความรู้สึกด้วย

แต่ว่าขั้นเทวะที่ซ่างกวนอวี่ถิงได้ยินมา ไม่มีคนไหนที่เหมือนกับเจียงชิวไป๋

ตลอดการเดินทาง ซ่างกวนอวี่ถิงเห็นว่าเจียงชิวไป๋สูงส่งน่าเลื่อมใสประหนึ่งเทพท่ามกลางเหล่าคนเลี้ยงสัตว์เช่นนั้น สามารถคาดคะเนได้ว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงชิวไป๋ทำเรื่องเช่นนี้เพราะจู่ๆ ก็อยากทำ แต่เป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดในระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา…

“ขอบคุณท่าน เทพแห่งฉางเซิงเทียน”

“ขอเทพหมาป่าโปรดคุ้มครองท่าน”

“วิหารเทพหมาป่าจงเจริญหมื่นๆ ปี”

“ชาติหน้าก็จะขอเกิดเป็นลูกหลานเทพหมาป่า”

คนเลี้ยงสัตว์มากมายก้มหมอบอยู่แทบเท้าของเจียงชิวไป๋

ตลอดการเดินทาง เขาช่วยคน ไปต่อ ช่วยคน แล้วก็ไปต่อ…

ภาพประทับของเจียงชิวไป๋ในใจซ่างกวนอวี่ถิงก็เปลี่ยนไปทีละรอบๆ

“วันแห่งเหมันต์อันหนาวเหน็บ สำหรับที่ราบทุ่งหญ้าแล้ว เมื่อลมหิมะมาถึง นั่นคือความระทมทุกข์และบททดสอบความเป็นตาย คนฉินตะวันตกอย่างพวกเจ้าคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกระมัง?” เจียงชิวไป๋จ้องมองซ่างกวนอวี่ถิงแล้วถามขึ้น

ซ่างกวนอวี่ถิงไม่พูดอะไร

ในจักรวรรดิฉินตะวันตก หลังจากหิมะครั้งใหญ่ในวันฤดูหนาว ย่อมเกิดเหตุการณ์ผู้คนหนาวตายขึ้นเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนน้อย คนฉินชอบให้หิมะตก เพราะทิวทัศน์ที่มีหิมะช่างสวยงาม และหิมะน้ำแข็งในเหมันตฤดูจะทำให้มีปริมาณน้ำที่เพียงพอต่อการเกษตรในปีหน้า

ทว่าในที่ราบทุ่งหญ้า หิมะน้ำแข็งนำมาซึ่งภัยพิบัติ ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

บางครั้งหลังจากหิมะตกครั้งใหญ่ ชนเผ่าเล็กๆ ชนเผ่าหนึ่งจะหายไปจากโลกนี้เลยทีเดียว…

ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่โหดร้ายทารุณ

ด้านหน้ามีเสียงหอนของหมาป่าแว่วมา

ส่วนลึกของที่ราบหิมะ ร่างเงาสีขาวหลายร่างเคลื่อนที่ไปมาระหว่างฟ้าดินดุจสายฟ้าแลบ หมาป่าขาวแห่งที่ราบทุ่งหญ้าฝูงใหญ่วิ่งห้ออยู่บนหิมะน้ำแข็ง เสมือนเป็นผู้ปกครองและภูตพรายท่ามกลางหิมะ

พวกเขาพบเจอฝูงหมาป่า

“หมาป่าขาว? หายากนะนี่” เจียงชิวไป๋ก็รู้สึกเกินคาดเล็กน้อย

บนที่ราบทุ่งหญ้ามีหมาป่าดำเป็นหลัก นี่คือผลลัพธ์ของการคัดสรรจากวิวัฒนาการตามธรรมชาติ หมาป่าดำสามารถผสานเป็นหนึ่งกับที่ราบทุ่งหญ้า อาศัยสีเขียวของต้นหญ้าอำพรางกาย ไล่ล่าสังหารเหยื่อ แต่หมาป่าขาวบนที่ราบทุ่งหญ้าสะดุดตาอย่างยิ่ง มีเพียงช่วงที่หิมะตกหนักในหน้าหนาวเท่านั้น หมาป่าขาวจึงจะกลายเป็นผู้ควบคุมโลกใบนี้

ด้วยพลังของเขาและซ่างกวนอวี่ถิง แน่นอนว่าไม่เกรงกลัวฝูงหมาป่า

ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะจ้าวแห่งวิหารเทพหมาป่า เดิมทีเขาก็เป็นผู้ควบคุมเผ่าหมาป่าและฝูงหมาป่าอยู่แล้ว

ยกเว้นเพียงหมาป่าขาวเท่านั้น

หมาป่าขาวมีตำแหน่งสูงส่งบนที่ราบทุ่งหญ้า คนเลี้ยงสัตว์เรียกพวกมันว่าหมาป่าเทพ

วิหารเทพหมาป่าใช้หมาป่าเป็นสัญลักษณ์ประจำ พูดอย่างถูกต้องก็คือใช้หมาป่าขาวเป็นสัญลักษณ์ เพราะในฐานะที่เป็นจ้าววิหารเทพหมาป่า เจียงชิวไป๋ไม่อาจควบคุมหมาป่าขาวได้ ฐานะระหว่างเขาและหมาป่าขาวนั้นเท่าเทียมกัน

ทว่าครั้งนี้ เจียงชิวไป๋รู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง

เพราะบนที่ราบทุ่งหญ้าไม่เคยปรากฏฝูงหมาป่าขาวที่ใหญ่ขนาดนี้ จากที่มองดูมีจำนวนหมาป่าขาวกว่าหมื่นตัว ราวกับกองกำลังทหาร เดินหน้ากันอย่างเป็นระเบียบ