บทที่ 414 บุกมาถึงหน้าประตู
บทที่ 414 บุกมาถึงหน้าประตู
“พี่เขย… เราจบเห่แล้วใช่ไหม?”
หลังจากก้าวเข้าไปในออฟฟิศ อวี้ฮ่าวหรานก็ได้ยินคำที่ไม่น่ารื่นหูทันที
คำพูดของหลี่จิงเทียนคนรวยรุ่นสองอาจทำให้เกิดความบาดหมางโดยที่เขาไม่ตั้งใจ แต่โชคดีที่อวี้ฮ่าวหรานไม่ใส่ใจ เขาจึงตอบเพียงสองสามคำ
“จบเห่? ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย นายมาที่นี่เพื่อถามเรื่องแค่นี้เองเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานโบกมืออย่างสบาย ๆ ก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูดกับอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้น…ข่าวที่บอกว่า…ข่าวของพี่เขย…”
หลี่จิงเทียนมีท่าทีลำบากใจ หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ยังไม่กล้าพูดคำนั้นออกมา
“ข่าวที่บอกว่าฉันโหดเหี้ยม ไร้จิตสำนึก ใจดำ แล้วก็เลือดเย็นน่ะเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย
คำที่อีกฝ่ายไม่กล้าพูดคือพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อวาน เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังสักหน่อย
“เอ่อ…พี่เขย นี่…พี่พูดเองนะ ผมไม่เกี่ยว…ผมไม่ได้พูดคำพวกนั้นออกมา”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ร่างกายหลี่จิงเทียนสั่นสะท้านเล็กน้อย
ตั้งแต่พ้นโทษจากคุก เขาก็ไม่กล้าทำให้พี่เขยขุ่นเคืองใจอีกเลย
“พี่เขย…ผมกลัว…ผมกลัวว่าจะถูกส่งเข้าไปอีก ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ”
ขณะพูด หลี่จิงเทียนก็พยายามแสดงท่าทางน่าสงสารไปด้วย ดูเหมือนว่าเขาจะเข็ดหลาบกับการใช้ชีวิตอยู่ในคุกแล้ว
อวี้ฮ่าวหรานกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“ฮ่า ๆ ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่นายไม่ได้ทำอะไรผิด ฉันรับรองว่านายจะมีเสื้อผ้าและอาหารดี ๆ ให้กินจนอิ่มแน่นอน”
คนรวยรุ่นสองเป็นห่วงชีวิตของตัวเองอย่างมาก แถมยังดูฉลาดขึ้นกว่าเดิมด้วย
“ย…เยี่ยมเลย แต่พี่เขยจะแก้ปัญหานี้ยังไง ดูคนพวกนักข่าวข้างล่างสิ จะขึ้นมาเมื่อไรก็ได้”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก”
อวี้ฮ่าวหรานมองท่าทางโล่งใจของอีกฝ่าย เขาไม่ได้อธิบายเรื่องอื่นให้คนรวยรุ่นสองฟังอีก เพราะมันจะเป็นการสีซอให้ควายฟังเปล่า ๆ
แต่แล้ว…ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูออฟฟิศก็ดังขึ้น
หลังจากได้รับอนุญาต หวังจุนก็เดินเข้ามาในห้อง
“หืม? ท่านหลี่อยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ?” เขาเงยหน้ามองคนรวยรุ่นสองที่นั่งตัวสั่นเทา
เขาไม่สนใจผู้ชายตรงหน้า เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ยุ่งอยู่กับงานทั้งวันจึงไม่ได้สนิทกับเขามากนัก
สุดท้ายแล้วการกลับตัวกลับใจก็สำคัญเช่นกัน
“มีอะไรเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานเงยหน้ามองอีกฝ่าย เขาไม่อยากได้ยินข่าวร้ายอีกต่อไปแล้ว
เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนส่งข่าวร้ายให้เขาในเมื่อวานเวลานี้เช่นกัน
“ข่าวดีครับ!”
หลังจุนไม่สนใจท่าทางเฉยชาของอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยความตื่นเต้น
“ต่างชาติคนนั้นถูกจับแล้วเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานคาดเดาเกี่ยวกับข่าวดีอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากฟังบทสนทนาของอีกฝ่ายเมื่อวานนี้ ชายหนุ่มก็พอใจและให้หวังจวิ้นนำไฟล์เสียงนั้นส่งตำรวจทันที
ด้วยความช่วยเหลือของลูกน้องหวังจุน เขาจึงคิดว่าแรงงานต่างชาติอาจจะถูกจับแล้ว
“จับได้แล้วครับ…แต่ข่าวดีที่สุดคือตำรวจแจ้งว่าคดีมีความคืบหน้าแล้ว!”
“หา? มีความคืบหน้าแล้วเหรอ?”
อวี้ฮ่าวหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ครับ ประธานอวี้จำหัวหน้าโจวที่เจอเมื่อวานได้ไหมครับ?”
“อืม”
“เขาเป็นจุดสำคัญในการคลี่คลายคดีนี้ พวกตำรวจสังเกตเห็นว่าเขามีท่าทางผิดปกติ หลังจากรวบรวมหลักฐานทั้งหมดแล้ว เขาจึงสอบปากคำหัวหน้าโจวครับ”
หวังจุนดีใจมาก ถึงการคลี่คลายคดีจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
“อืม ถือว่าไม่เลว แล้วตอนนี้รู้หรือยังว่าใครอยู่เบื้องหลัง?”
อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าเมื่อได้ยินข่าวดีที่สุด ดูเหมือนว่าเฉิงกัวอันจะรู้จักนายตำรวจใหญ่จริง ๆ
“ผมไม่รู้เลยครับ…พวกเขาไม่เปิดเผยรายละเอียด ข้อมูลทุกอย่างยังคงเป็นความลับ”
หวังจุนรู้สึกอับอายเล็กน้อย เพราะเขาไม่รู้รายละเอียดในการสืบสวนเลย
หลี่จิงเทียนที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึง บทสนทนาของทั้งสองคนทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับมือได้ยาก
แต่เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด…
อวี้ฮ่าวหรานนั่งคิดบางอย่างอยู่ข้างหลังโต๊ะทำงาน ก่อนพึมพำชื่อของบุคคลหนึ่งออกมา
“กัวหย่งซิน”
ถ้าความคิดของเขาไม่ผิดพลาด ผู้ชายคนนี้ต้องเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังแน่นอน
ทั้งคู่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน แถมยังฟ้องร้องอีกฝ่ายมาก่อน จึงมีแค่เขาเท่านั้นที่มีแรงจูงใจในการแก้แค้น
หวังจุนคิดว่าเป็นฝีมือของกัวหย่งซินเช่นกัน เพราะเขาเคยทำเอกสารและดำเนินฟ้องร้องเรื่องการหลีกเลี่ยงภาษีของอีกฝ่ายมาก่อน
“ประธานอวี้ เป็นไปได้ไหมครับว่าจะเป็นฝีมือของคนคนนั้น?”
“ฮึ เร็ว ๆ นี้พวกเราจะได้รู้แน่”
อวี้ฮ่าวหรานแค่นเสียงอย่างเย็นชา ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายให้มีชีวิตรอดแน่นอน
แต่จู่ ๆ แผนกรักษาความปลอดภัยก็ต่อสายตรงมาหาเขาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“เอ่อ…ประธานอวี้ครับ มีผู้ชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์จื่อจินมาขอพบท่านอยู่ที่หน้าประตูครับ แต่พวกเราหยุดเขาไม่ได้เพราะมีนักข่าวอยู่ที่นี่มากเกินไป”
“อืม ให้พวกมันเข้ามา”
หลังจากวางสาย อวี้ฮ่าวหรานยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง
“ฮ่า ๆ พวกสวะมาถึงแล้ว”
เขาและหวังจุนมองหน้ากันและกันโดยที่ไม่มีใครพูดสักคำ แต่กลับเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
ไม่นาน กัวหย่งซินก็มาถึงชั้นบนสุดของสำนักงานเครือฮ่าวหรานพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ตามมาด้วย
“ฮ่า ๆ ประธานอวี้! ปลอดภัยดีนะครับ!”
ประตูออฟฟิศของอวี้ฮ่าวหรานถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรง
อีกฝ่ายบุกเขามาด้วยท่าทางหยิ่งยโส รอบ ๆ ตัวเขามีบอดี้การ์ดเจ็ดแปดคนยืนล้อมอยู่
“โอ้? พวกคุณยังอยู่ที่นี่เหรอ จุ๊ ๆ ดูเหมือนว่าคุณจะไม่หลบหนีสินะครับ”
กัวหย่งซินมองคนทั้งสามที่อยู่ในออฟฟิศพร้อมพูดเยาะเย้ย
“นาย…นายมาทำอะไรที่นี่?”
หลี่จิงเทียนตกตะลึงทันทีที่เห็นผู้มาเยือน หลังจากรวบรวมสติได้แล้ว เขาก็มีท่าทางโมโหเล็กน้อย
ผู้ชายคนนี้ทำให้เขาสัมผัสกับชีวิตในคุกที่ยากจะลืมเลือน
“หึหึ ทนไม่ไหวกันขนาดนั้นเลยเหรอ”
อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะ ก่อนพูดประชดประชัน
“ฮ่า ๆ ทนไม่ไหว? ตลกแล้ว! ทำไมผมจะต้องทนไม่ไหวด้วย?”
กัวหย่งซินหัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินอย่างนั้น
“จุ๊ ๆ พวกคุณยังไม่รู้สินะว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว? ผมมั่นใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใกล้จะถูกจับแล้ว!”
“จับกุม!? จับใคร?”
พอหลี่จิงเทียนได้ยินคำว่าจับกุม เขาก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
“คุณจะจับใครเข้าคุกเหรอ?”
กัวหย่งซินหัวเราะเหมือนกับเพิ่งฟังเรื่องตลก
“ฮ่า ๆ แน่นอนว่าตำรวจจะออกหมายจับไอ้พวกนายทุนหน้าเลือดที่ฆ่าคนไปกว่าสิบคนไงล่ะ พวกประธานบริหารระดับสูงของเครือฮ่าวหราน!”
พูดจบ เขาก็หันไปมองคนรวยรุ่นสองที่มีท่าทางหวาดกลัวอย่างมาก
“ดูนายสิ? พี่เขยของนายไม่ได้บอกเลยเหรอ?”
“ฉัน…ไม่ เป็นไปไม่ได้!”
หลี่จิงเทียนตะลึงงัน ถ้านับตามจำนวนหุ้นที่ถือแล้ว เขานับว่าเป็นหนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของเครือฮ่าวหรานเช่นกัน…
“ฉันไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย!”
ด้วยกลัวว่าจะต้องติดคุกอีกครั้ง เขาจึงร้องไห้โฮ
ซวยแล้ว!