ตอนที่265 ทำลายภาพพจน์

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ จ้าวเฉียนไม่อยากขึ้นรับสืบทอดมรดกและนั่งเสวยสุขรอวันตายแบบทายาทมหาเศรษฐีคนอื่นๆ แต่เขาอยากจะเลือกออกไปสร้างธุรกิจด้วยตัวเองโดยอาศัยความสามารถที่มีอยู่เท่านั้น พูดง่ายๆ ว่าจ้าวเฉียนมีความใจกล้ามากกว่าพวกทายาทเศรษฐนีโดยส่วนใหญ่ เฉกเช่นหวานเจียงเป็นต้น

ดังนั้น หวานเจียงจึงค่อนข้างชื่นชมจ้าวเฉียนในเรื่องนี้อย่างยิ่งภายในใจ อย่างน้อยที่สุดเขาก็สามารถทำในสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดได้ เพราะเธอถูกบังคับให้เรื่องมาตรงสายงานเพื่อรับช่วงต่อบริหารฮวาหยินกรุ๊ปโดยเฉพาะ และเธอไม่เคยทำตามฝันของตัวเองเลย

งานฉลองในมื้อเย็นกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงก่อนจะสิ้นสุดลง บรรดาญาติพี่น้องของจ้าวเฉียนถึงเวลาต้องลากันแล้ว จ้าวเฉียนกับหวานเจียงจึงอาสาเดินไปส่งพวกเขาลงจากภูเขา

หลังจากที่ญาติกลับกันหมด จ้าวเฉียนก็พาหวามนเจียงไปเดินเล่นในสนามกลอฟ์ส่วนตัวบนภูเขา

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นจ้าวเฉียนก็เพิ่งจำสิ่งหนึ่งได้ นั้นคือเรื่องความร่วมมือระหว่างหวังเฉียงและหัวโหย่ว

เหลียวปี้เอ๋อร์ในขณะนี้กำลังพยายามซื้อหุ้นจากพี่ชายของเธออยู่ แต่จ้าวเฉียนค่อนข้างมั่นใจว่า เธอไม่น่าจะซื้อได้สำเร็จ

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงต้องการให้หวานเจียงออกโรงไปจัดการเอง และแอบซื้อหุ้นหัวโหย่วมาในนามของฮวาหยินกรุ๊ป นี่คงเป็นการดีที่สุดในการเข้าฮุบหัวโหย่วจากในเงามืด

ตราบใดที่หัวโหย่วถูกควบคุมโดยจ้าวเฉียนอย่างเบ็ดเสร็จ หลังจากนี้ต่อไปเขาย่อมสามารถทำอะไรก็ได้แล้ว และจะเริ่มวางรากฐานธุรกิจระยะยาวเพื่อเก็บเกี่ยวกำไรจำนวนมหาศาลในอนาคตต่อไป

เขาเล่าแผนการและความต้องการของเขาให้แก่หวานเจียงฟัง และขอให้เธอช่วยออกหน้าเจรจากับหัวโหย้ว

หวานเจียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า

“ทำไมนายถึงสนในบริษัทเกมนี้จัง?”

จ้าวเฉียนไม่คิดจะปิดบังอะไรอยู่แล้ว เขาตอบไปตามตรงว่า

“ก็ความคับข้องใจส่วนตัวน่ะ ฉันไม่อยากให้คู่แข่งพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นได้”

“อ่าหะ? แค่เพราะข้องใจส่วนตัว นายจึงต้องการใช้เงินหลายร้อยล้านหยวนเพื่อแก้แค้นให้เป็นจริง? นี่นายคิดตื้นเกินไปรึเปล่า? แม้ว่าครอบครัวของนายจะมีเงินใช้ไม่ขาดมือ แต่ด้วยมุมมองความคิดและทัศนคติแบบนี้ของนาย สักวันสมบัติในครอบครัวจะต้องถูกนายผลาญเล่นในไม่ช้า ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นขึ้นจริง ฉันคงไม่กล้าแต่งงานกับนาย อุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าล้มขึ้นมาทีคงเป็นหนี้มหาศาล ฉันคงไม่มีปัญญาจ่ายไหว”

จ้าวเฉียนอารมณ์เสียมากเมื่อได้ยิน นี่มันหมายความว่ายังไง? ครอบครัวของเขามีเงินนับล้านล้าน และเพราะแบบนี้เธอเลยอยากแต่งงานกับเขา? แต่ถ้าตระกูลจ้าวล้มละลายขึ้นมา เธอจะไม่รักเขาแล้ว ตกลงนี่คบหากันที่เงินหรือหัวใจกันแน่?

“เหอะ เหอะ ที่แท้เธอก็หวังสมบัตินี่เอง! ถ้าฉันมีเงินเธอก็รัก ถ้าไม่มีก็แค่ทิ้ง ง่ายดีหนิ!”

จ้าวเฉียนกรนเสียงเย็นใส่

หวานเจียงตระหนักได้ทันทีว่า เธอพูดอะไรผิดไป แต่อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการจะสื่อมันไม่ได้หมายความแบบนั้น แค่ต้องการอยากจะเตือนสติจ้าวเฉียนไม่ให้ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งในการลงทุน เพราะอาณาจักรธุรกิจตระกูลจ้าวล้มขึ้นมา หนี้สินจำนวนกว่าล้านล้านจะถาโถมเข้าใส่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเธอคงไม่น่าจะเอาชีวิตรอดเช่นกันท่ามกลางสถานการณ์แบบนั้น

อย่างไรเสีย จ้าวเฉียนไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ของเธอ และสะบัดแขนเธอทิ้งออกไปโดยตรง มุ่งหน้ากลับขึ้นเขา ซึ่งเธอเองก็วิ่งตามไปติดๆ ตลอดทางนั้นทั้งคู่ยังคงเงียบไม่พูดไม่จา

หวานเจียงทนต่อบรรยากาศแบบนี้ไม่ไหวแล้ว เธอจึงรีบวิ่งขึ้นหน้าตรงไปหยุดจ้าวเฉียนและขอโทษทันที

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น ฉันแค่อยากให้นายปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม่ ไม่อย่างนั้นชีวิตของพวกเราหลังจากนี้จะต้องทำงานใช้หนี้นับล้านล้าน ฉันไม่สนหรอกนะว่านายจะมีเงินมากน้อยเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากมีหนี้สินมากมายขนาดนั้น เข้าใจไหม?”

จ้าวเฉียนหัวเราะเย้ยคำหนึ่ง เอ่ยถามกลับไปว่า

“งั้นถ้าเราแต่งงานกันไป แล้วฉันล้มละลายขึ้นมา เธอจะขอหย่ากับฉันทันทีโดยไม่สนใจความรู้สึกกันเลยงั้นเหรอ?”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออกเมื่อถูกถามแบบนี้ ขณะที่จ้าวเฉียนจับมือกำลังจะพาเธอกลับไป เธอก็ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ในกรณีแบบนี้เธอไม่อยากจะกลับเข้าบ้านจ้าวเฉียนอีกต่อไปแล้ว

หวานเจียงรีบชักมือกลับทันทีและกล่าวขึ้นว่า

“ในเมื่อนายไม่เชื่อใจฉัน ฉันคงไม่จำเป็นต้องกลับบ้านกับนายแล้ว”

“เหอะ เหอะ…จะมาไม้ไหนอีกล่ะ?”

จ้าวเฉียนเอ่ยถามขึ้นมีท่าทีเริ่มหงุดหงิด

หวานเจียงรู้สึกผิดภายในใจซ้ำสอง แต่เธอเป็นหญิงแกร่งตั้งแต่ยังเด็กแล้ว จึงแทบไม่เคยถูกใครพูดทำร้ายจิตใจ แต่จ้าวเฉียนคนนี้เป็นอย่างกับเจ้ากรรมนายเวร ทำให้เธอรู้สึกแย่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอเกลียดความรู้สึกแบบนี้เป็นที่สุด

หวางเจียงกลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไป เธอตะคอกใส่จ้าวเฉียนทั้งน้ำตาเสียงดังลั่นว่า

“จ้าวเฉียน! อย่าคิดว่าบ้านนายจะรวยแล้วจะพูดจาดูถูกอะไรฉันก็ได้! ถึงครอบครัวฉันจะไม่รวยเท่านาย แต่พวกเราก็มีเงินพอกินพอใช้ไปทั้งชาติ! ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเลียแข้งเลียขาคนอย่างนาย! อย่าคิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีความเป็นคนสูงกว่าฉัน! ทุกคนล้วนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน และไม่ได้วัดกันแค่ตัวเงิน!”

เมื่อหกปีก่อน จ้าวเฉียนเป็นคุณชายทายาทเศรษฐีที่ทำตัวเสเพ ใช้ชีวิตในวงการดำมืด แต่หลังจากอุบัติเหตุของอู่ซินในตอนนั้น มันก็ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรู้จักคิดมากขึ้น อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นเขาไม่มีวันดูถูกหรือลดค่าใครอีกกับเพียงเพราะตัวเงิน

เหตุผลที่จ้าวเฉียนโกรธหวานเจียงขนาดนี้ เป็นเพราะหวานเจียงไม่สามารถตอบสนองความเป็นผู้หญิงในอุดมคติเขาได้ เธอชอบทำเรื่องผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ จนทำลายภาพลักษณ์ของเธอในใจของเขาไป

จ้าวเฉียนรู้สึกว่า เขากับหวานเจียงยังต้องปรับความเข้าใจกันอีกมาก ย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่แต่งงานกันเร็วๆ นี้แน่นอน

แต่สมาชิกครอบครัวทั้งหลายกลับค่อนข้างพอใจในตัวหวานเจียงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขาไม่สามารถสู้กับเธอได้อีกแล้วในเวลานี้ มิฉะนั้นเกรงว่า ครอวครัวของเขาจะต้องออกโรงปกป้องเธอแน่นอน

ดังนั้นจ้าวเฉียนจึงจำใจต้องอธิบายกับหวานเจียงให้กระจ่าง เขาพยายามสงบสติอารมณ์อยู่สักครู่ก่อนกล่าวขึ้นว่า

“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอเลย แค่ภาพลักษณ์ของเธอในหัวฉันทีแรกมันสมบูรณ์แบบมาก แต่เธอก็ชอบที่จะสร้างปัญหาเล็กๆ น้อยๆ จนเริ่มทำลายความสมบูรณ์แบบในอุดมคติของฉันทีละเล็กละน้อย เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ไหม? ฉันไม่ได้โกรธเธอเพราะเธอด้อยกว่าฉัน แต่เป็นเพราะเธอในตอนนี้มันไม่สมบูรณ์แบบมากพอ”

หวานเจียงถึงกับพูดไม่ออก เธอไม่รู้เลยว่าตัวเธอควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจดีในขณะนี้? แต่ในทางตรงข้าม เขากลับขอให้เธอเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของเขา? แล้วทำไมเขาถึงขอให้เธอเป็นแบบนั้น? ไม่มีเพชรใดที่ไร้ตำหนิ ไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์แบบไปหมด แค่ต้องการใช้ชีวิตร่วมกับเขา เธอจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติขนาดนั้นเหรองั้นเหรอ? นี่เป็นความปรารถนาที่สูงเกินจะเอื้อมถึง

หวานเจียงหัวเราะเยาะกับตัวเองและกล่าวตอบไปว่า

“ฉันไม่มีทั้งเงินและความสมบูรณ์แบบให้นายได้ ฉันว่าเราควรดูใจกันก่อนจริงๆ ถ้ายังแต่งงานทั้งที่ยังสับสนไม่เข้าใจกันอยู่แบบนี้ ฉันว่าอนาคตคงจบไม่สวยหรูเท่าไหร่”

จ้าวเฉียนพยักหน้าเห็นด้วยกับหวานเจียง

พอเห็นแบบนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกเศร้าใจจนส่งผ่านมายังใบหน้าอย่างชัดเจน เธอรู้สึกว่าจ้าวเฉียนกำลังปฏิเสธตัวเธอ เพียงเพราะไม่สามารถเป็นผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติเขาได้

หวานเจียงกล่าวต่อว่า

“ฉันจะจัดการเรื่องที่นายขอเอง ตราบเท่าที่หัวโหย้วยินดีขายหุ้น ฉันจะซื้อคืนกลับมาได้ให้มากที่สุดในนามฮวาหยินกรุ๊ป ในเวลานั้นถ้าได้ทั้งหมดตามต้องการแล้ว ฉันจะโอนหุ้นให้นายโดยตรง หลังจากนั้นนายก็จะสามารถตามล้างแค้นได้ตามต้องการตกลงไหม?”

จ้าวเฉียนพยักหน้ายิ้มตอบไปว่า

“ขอบคุณมาก ตอนนี้ฉันยังต้องรบกวนให้เธอเล่นตามน้ำไปก่อน หลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงและกลับเมืองตงไห่ เธอก็เป็นอิสระแล้วล่ะ ไม่ต้องห่วง ไปกันเถอะ กลับไปนอนกันดีกว่า”

หวานเจียงพยักหน้าและเดินกลับพร้อมควงแขนจ้าวเฉียนเดินจากไป จนถึงตอนนี้ไม่ว่าจ้าวเฉียนจะคิดกับเธอยังไง แต่เธอก็ยังเต็มใจที่จะช่วยเหลือจ้าวเฉียนให้ถึงที่สุด

ไม่นานทั้งสองก็กลับเข้าบ้าน

อวีกุ้ยเฟิงทำความสะอาดห้องนอนให้แกทั้งคู่ไว้แล้ว ห้องนอนเป็นเตียงคู่สำหรับสองคน ทั่วทั้งห้องประดับตกแต่งเป็นโทรสีแดงหรูหร่า ราวกับเป็นเรือนหออย่างไงอย่างงั้น

“อิอิ…กลับมากันแล้วเหรอ? นี่ก็ดึกมากแล้วนะ รีบอาบน้ำนอนกันเถอะ ฝันดีนะ หุหุ…”

อวีกุ้ยเฟิงโบกมือลาทั้งคู่และเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มแปลกๆ

จ้าวเฉียนและหวานเจียงเองก็เดินออกไปส่งเธอกลับเข้านอน และเข้าห้องปิดประตูอย่างรวดเร็ว นี่มันน่าอายชะมัด ทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงไม่ลงรอยกันอยู่แท้ๆ แล้วใครจะกล้านอนร่วมเตียงกัน?