ตอนที่266 รีบมีหลานหน่อย

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี [นิยายแปล]

ตอนที่266 รีบมีหลานหน่อย

ทั้งสองนั่งเงียบเนิ่นนานกว่าสิบนาทีไม่มีใครพูดใครจา แต่อย่างไรจ้าวเฉียนง่วงเกินจนแทบลืมตาไม่ขึ้นแล้ว เขาจึงหันไปกระซิบกับหวานเจียงว่า

“รีบนอนกันดีกว่า ตอนฉลองใช้เสียงจนแหบ วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยมาก แถมพรุ่งนี้ต้องออกไปดูงานแต่เช้าอีก”

หวานเจียงหาวไปทีเอ่ยตอบกลับว่า

“อืม ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน นอนกันเถอะ”

หลังจากพูดจบทั้งสองก็ผล็อยหลับไป

อวีกุ้ยเฟิงในตอนนี้กำลังแอบฟังอยู่นอกห้อง แต่เมื่อเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยจากภายใน ราวกับหัวใจเธอแทบแตกสลาย เธอเดินกลับเข้าห้องนอนด้วยความหงุดหงิด จ้าวฝู่รีบวิ่งเข้ามาถามทันทีว่า สถานการณ์ภายในห้องนั้นเป็นยังไงบ้าง?

“เป็นยังไงน่ะเหรอ? หลับกันไปหมดแล้วมั่ง! เจ้าลูกคนนี้มันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ทั้งพ่อทั้งลูกไม่เป็นงานกันทั้งคู่! เขาเหมือนคุณตอนสมัยหนุ่มๆ เลย!”

จ้าวฝู่ได้แต่คลี่ยิ้มแห้ง สบถขึ้นว่า

“เจ้าลูกคนนี้ พาพ่อซวยไปด้วยอีก! นอนเวลาไหนไม่นอน! น่าโมโหจริงๆ!”

ทันทีที่พูดจบจ้าวฝู่ก็หยิบโทรศัพท์ต่อสายตรงโทรไปหาจ้าวเฉียนโดยไว

จ้าวเฉียนอื้อมมือไปแตะมือถือด้วยความงุนงง ปัดหน้าจอรับสายและเอ่ยขึ้นพร้อมอาการสะลึมสะลือว่า

“ฮาโหล…นั่นใคร?”

จ้าวฝู่ตะคอกสวนใส่ทันที

“แกหลับงั้นเหรอ!? นี่โง่หรือฉลาดน้อยกันวะ! มานอนอะไรตอนนี้! เวลากลางค่ำกลางคืนอยู่กับสาวสวยสองต่อสอง นี่แกยังมีหน้ามาหลับอีกเหรอ!? แม่แกอุตสาห์จัดห้องไว้ให้! เจ้าโง่!!”

จ้าวเฉียนแทบเสียศูนย์เมื่อได้ยิน นี่พ่อแม่ของเขาอยากอุ้มหลานอะไรปานนั้น? ถึงขนาดเข้ามาแทรกแซงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา และดูท่าจะล้ำเส้นมากเกินไปหน่อย

“เอ่อ…พ่อกับแม่ไม่ทำเกินไปหน่อยเหรอครับ?”

จ้าวเฉียนบ่นขึ้นทันที

จ้าวฝู่ขมวดคิ้วสวนไปว่า

“นี่แกก็25แล้ว ยังไม่หันมาสนใจเรื่องครอบครัวอีกเหรอ? แล้วฉันจะขอเตือนไว้ก่อน ฉันกับแม่แกไม่อนุญาตให้แกมีลูกแค่คนเดียว! รีบแต่งงานกันตั้งแต่เนินๆ จะได้มีหลานเยอะๆ ให้ฉันอุ้ม เพราะหลังจากที่ฉันกับแม่แกเกษียณไป พวกเราอยากเลี้ยงหลาน! เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้ว! เข้าใจแล้วน่า!”

จ้าวเฉียนตอบจบพร้อมกดวางสายทิ้งทันที

จากนั้นจ้าวเฉียนก็ล้มตัวนอนต่อ แต่ไม่นานความอ่อนเพลียก่อนหน้าของเขาก็อันตธานหายไปหมดสิ้น เขาลืมตาตื่นขึ้นทันที

เมื่อพลิกตัวหันไปมองหวานเจียงที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ จ้าวเฉียนก็เผยรอยยิ้มของชายคนหนึ่งที่ดั่งมีใจให้ออกมา เขาแค่อยากเอื้อมมือไปกอดเธอ แต่ทันใดนั้นเธอก็ตะคอกเสียงเย็นขึ้นว่า

“อย่าแตะต้องฉัน!”

จ้าวเฉียนถึงกับผงะ เอ่ยถามขึ้นทันที

“นี่เธอยังไม่หลับอีกเหรอ? ฉันคิดว่าหลับไปแล้วนะเนี่ย ถ้าในเมื่อพวกเรานอนไม่หลับกันทั้งคู่ก็ลุกขึ้นมาคุยกันหน่อยดีกว่า”

หวานเจียงหลับตาปี๋ตอบไปว่า

“ไม่! ฉันไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น ฉันอยากนอน!”

ณ เวลานี้ จ้าวเฉียนไม่มีอารมณ์นอนแล้ว เขาพลิกร่างขึ้นคร่อมหวานเจียงอย่างรวดเร็ว

หวานเจียงลืมตาตื่นขึ้น พยายามออกแรงผลักร่างจ้าวเฉียนออกพลางบ่นขึ้นว่า

“นี่นายกำลังทำบ้าอะไรเนี่ย? ไหนว่าง่วง?”

“ออกกำลังกายก่อนนอนไง!”

หลังพูดจบจ้าวเฉียนก็โน้มศีรษะประจบจูบกับเธอทันที

หวานเจียงยกมือทุบตีจ้าวเฉียนอยู่สองสามครั้งก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

เช้าวันรุ่งขึ้น หวานเจียงตื่นก่อน เดินไปอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จ ค่อยเดินมาแตะจ้าวเฉียนทีหนึ่งให้ตื่น

จ้าวเฉียนลืมตาตื่นขึ้นมาทันใด เอ่ยถามพร้อมท่าทีงุนงงว่า

“อยากโดนอีกรอบเหรอ?”

หวานเจียงทุบตีจ้าวเฉียนไปชุดหนึ่งจนพอใจ เธอค่อยกล่าวขึ้นว่า

“เมื่อคืนนายทำอะไรลงไป? ฉันอนุญาตให้นายทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างที่นายต้องการสักหน่อย หึ!”

จ้าวเฉียนรีบอธิบายทันที

“อย่ามาพูดไร้สาระน่า นั้นก็แค่ความสมบูรณ์ในอุดมคติของฉัน ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเข้ากันไม่ได้หลังจากนี้สักหน่อย อีกอย่างนะ บางทีถ้าเราเปิดใจเข้าหากันมากกว่านี้ ต่อไปพวกเราอาจจะไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันทุกวันแบบนี้ก็ได้”

แม้นี่จะฟังดูมีเหตุผล แต่หวานเจียงก็รับไม่ได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมันเข้ากันไม่ได้และค่อนข้างขัดแย้งกันอย่างมาก

หวานเจียงกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า

“จ้าวเฉียน ฉันขอเตือนอะไรนายไว้ก่อนนะ ถ้ากล้าทำอะไรแบบนี้กับฉันอีก ฉันจะแจ้งความจับข้อหาข่มขืน!”

หลังพูดจบหวานเจียงก็ลุกออกไปทันที

จ้าวเฉียนหัวเราะคิกคัก ห่มผ้านอนต่ออีกสักงีบหนึ่ง

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา หวานเจียงแต่งหน้าทำผมเสร็จสิ้น เธอเดินไปเตะจ้าวเฉียนอีกครั้งหนึ่ง

จ้าวเฉียนสะดุ้งโหย่ง ลุกขึ้นมากรนด่าสาปแช่งทันควัน

“เธอบบ้าไปแล้วรึไง! มาปลุกทำไมอีก?”

“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว! ลุกไปอาบน้ำ! วันนี้มีนัดไปกองถ่ายกันไม่ใช่เหรอไง? ไหนว่าตกลงกันแล้ว?”

หวานเจียงสวนตอบในเสี้ยวอึดใจ

จ้าวเฉียนกลอกตาไปมาอย่างช่วยไม่ได้ วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันหยุดอีกหนึ่งวันที่ทุกคนสมควรได้รับ แต่ในวันดีๆ แบบนี้เขากลับต้องออกไปดูอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งมันน่าเบื่อมาก

หวางเจียงไม่สนใจว่าจ้าวเฉียนจะคิดเห็นยังไง แต่ในมุมมองของเธอ ชีวิตของคนเราไม่มีวันหยุดนอกจากตาย ถ้ามีโอกาสได้ไปดูงานจริงที่กองถ่าย มันก็ถือเป็นหน้าที่ที่ควรไปตรวจงานสักครั้ง

ซึ่งอันที่จริงแล้ว อีกหนึ่งเหตุผลคือ หวานเจียงแค่ต้องการหาข้ออ้างออกไปข้างนอก หรือทำอะไรก็ได้ที่ไม่อยู่ในบ้านของจ้าวเฉียน เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับจ้าวเฉียนมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พ่อแม่ของฝ่ายชายคิด เธอจึงรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ราวกับตัวเองเป็นคนหน้าซื่อใจคตอะไรแบบนั้น

จ้าวเฉียนเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เพราะเขาเป็นคนเอ่ยปากตอบรับเองว่าจะไปกองถ่ายในวันนี้ เขาจึงลุกขึ้นจากเตียงไปอาบน้ำแต่งตัวทันที

ทั้งสองเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องนั่งเล่น

จ้าวฝู่กำลังทำงาน ส่วนอวีกุ้ยเฟิงก็อยู่ในห้องครัวเพื่อสั่งคนครัวเตรียมอาหารกลางวัน

ส่วนจ้าวเฉียนกับหวานเจียงก็เดินทางออกไปโดยตรง ขับรถไปยังสนามแข่งรถหยานจิ้ง

ถือว่ามาครั้งนี้ไม่เสียเปล่า เพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ในกองถ่ายยังคงวิ่งวุ่นจัดเตรียมฉากกันอยู่ ถึงอย่างไรจ้าวเฉียนไม่กล้าเข้าไป เพราะเจ้าตัวไม่ต้องการให้อู่ซินมาเห็นเขา ถ้าเจอหน้ากันจริง จ้าวเฉียนกลัวว่าจะหาข้ออ้างมาอธิบายไม่ได้

“จู่ๆ ก็ปวดท้องแหะ ขอตัวเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน เธอตามสบายเลย”

หลังจากจ้าวเฉียนพูดจบ เขาก็แสร้งทำเป็นกุมท้องวิ่งหนีออกไป

หวานเจียงกลอกตาอย่างคร้านจะใส่ใจ จับจ้องที่ยังแผ่นหลังของเขาที่เคลื่อนออกไปพลางสบถขึ้นว่า

“ขี้เกียจยังไม่พอยังอึไม่เป็นที่อีก”

คล้อยหลังบ่นจบ เธอก็เดินไปที่กองถ่ายเพียงลำพัง

พอเห็นว่าหวานเจียงกำลังเดินเข้ามา เฟิงเต๋อก็รีบวางโทรโข่งและวิ่งมาทักทายเธอได้ทัน ทุกคนโดยรอบต่างหยุดมองไปยังเธอ มองผู้กำกับที่กำลังกล่าวทักทายสาวสวยอย่างนอบน้อม

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน? ดูผูกำกับเกรงใจเธอมาก”

“แต่เธอดูสวยมากเลย อาจจะเป็นแฟนของผู้กำกับก็ได้นะ?”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเธอเป็นแฟนของผู้กำกับจริง เขาคงปั้นเธอเป็นดาราดังนานแล้ว อีกอย่างนะ ในกองถ่ายแบบนี้ส่วนใหญ่ไม่มีผู้กำกับคนไหนพาแฟนมาหรอก”

“แล้วเธอเป็นใคร?”

…..

บรรดานักแสดงมากมายต่างคาดเดาถึงตัวตนของเธอต่างๆ นาๆ ในเวลานั้นเองเฟินเต๋อก็เดินตรงกลับมาพร้อมกับหวานเจียง

เฟิงเต๋อตะโกนเสียงดังฟังชัดว่า

“ทุกคนวางงานลงก่อน ผมขอแนะนำให้ทุกคนรู้จักนะ เธอคือประธานบริษัทฮวาหยินกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้เงินทุนกำกับหนังแก่เรา พวกเรายินดีต้อนรับเธอด้วย”

ทุกคนต่างปรบมือให้ทันที

“ว้าว! ประธานฮวาหยินกรุ๊ปนี่เอง! นี่เธอยังเด็กอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้กำกับถึงดูสุภาพกับเธอมาก เธอทั้งดูดีแถมรวยอีกด้วย เฮ้ออ…สักวันฉันจะมีชีวิตแบบนี้ไหมนะ!”

………..

นักแสดงแต่ละคนเดินเข้าไปทักทายหวานเจียงอย่างรวดเร็ว

อู่ซินเองก็กำลังเอ่ยปากชื่นชมหวานเจียงกับคนอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งเธอเองก็อยากมีชีวิตที่สวยหรูแบบอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ไม่รู้เลยว่าชาตินี้จะมีโอกาสแบบนั้นไหม

หวานเจียงโบกมือเชิงให้ทุกคนเงียบลง แล้วเธอก็เอ่ยขึ้นว่า

“ฉันมาที่นี่ก็เพื่อให้กำลังใจทุกคน วันนี้ทั้งๆ ที่เป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แท้ๆ แต่ยังต้องออกมาทำงาน ดังนั้นฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงมือเที่ยงเป็นการตอบแทนนะ อยากกินอะไรสั่งได้ไม่ต้องเกรงใจ!”

ทุกคนต่างตะโกนโห่ร้องส่งเสียงเชียร์หวานเจียงกันยกใหญ่

หวานเจียงยิ้มและพยักหน้าตอบ ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบลงอีกครั้ง และหันไปถามเฟิงเต๋อว่า

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”

เฟิงเต๋อพยักหน้าและกล่าวตอบโดยเร็วว่า

“ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีครับ มีแค่ข้อผิดพลาเล็กๆ น้อยๆ เนื่องด้วยรถที่ต้องใช้ถ่ายทำต้องระเบิดจริง จึงทำให้ค่าต้นทุนสูงเป็นพิเศษ แต่ผลงานที่ได้นับว่าชิ้นโบแดงเลยครับ”

หวานเจียงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า

“อืม ถ้าอย่างนั้น หลังจากนี้ก็พยายามควบคุมงบหน่อยแล้วกัน งั้นฉันไปนั่งรอคุณจ้าวก่อนแล้วกัน เขาเป็นเจ้าของบริษัทเฉียนเต๋อ หนึ่งในผู้ร่วมทุนของฉัน”

เฟิงเต๋อพยักหน้าและเดินหน้ากำกับหนังต่อทันที

หวานเจียงเดินไปนั่งข้างๆ กองถ่าย เฝ้าดูพวกเขาแสดงกันต่อไป