ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 90-2 อำเภอเถาฮวา? เถาฮวาเซียน! [จบ]

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

ถ้าเนื้อหยกล้วนดีเยี่ยมเหมือนกับหยกสองชิ้นที่เขาเก็บได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพื้นที่กว้างใหญ่ ดังนี้แล้วถ้าซื้อมาก็กลับคุ้มเงินนัก

แต่หากหยกสองชิ้นนั้นเป็นเพียงสองชิ้นที่มีเนื้อดีที่สุด แต่หินหยกส่วนใหญ่ล้วนมีเนื้อหยาบและสายแร่หยกก็ไม่ได้กว้างใหญ่ …เช่นนี้หากซื้อมาก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันแล้ว

ถ้ามิใช่เพราะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ โม่ปินอวี่และไล่ฉินเหนียงก็จะไม่ต้องเสียเวลาไปตามหาสายแร่นี้ตามแผนที่ที่มีอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไร้ผล จนทำให้ตระกูลเสิ่นมีโอกาสจับตัวพวกเขาได้หรอก…

เสิ่นจั้งเฟิงพลันคิดสิ่งหนึ่งออก แล้วเข้าใจถึงเจตนาจริงๆ ที่ภรรยาจงใจพูดว่า ‘ผู้ใดก็ไม่อาจยื่นมือมาสอดได้อีก’ ขึ้นมาในทันใด เขาไตร่ตรองอยู่นาน จึงบอกว่า “จะอย่างไรเวลานี้ก็ยังต้องไปตามหาสายแร่หยกนั่นให้พบเสียก่อน แต่โม่ปินอวี่ก็ตามหามานานแล้ว ถึงเขาจะจงใจปกปิดเรื่องนี้ แต่ในเมื่อพวกเราก็ล้วนรู้แล้ว ก็ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีผู้อื่นหรือมีที่แห่งอื่นที่จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ถึงยามนั้นหากทุกคนต่างพากันเข้าไปหาสายแร่ในเขาเหมิงซาน ก็จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว”

เว่ยฉางอิ๋งมองเขายิ้มๆ บอกว่า “เจ้าจะส่งคนสักจำนวนหนึ่งไปช่วยหรือ? เพราะเขาเหมิงซานกว้างใหญ่นัก”

“ความจริงแล้วเรื่องนี้มิได้ขึ้นอยู่กับกำลังคน” เสิ่นจั้งเฟิงกลับยิ้มอย่างมีนัยยะแฝงแล้วบอกว่า “กองโจรเขาเหมิงซานตระเวนไปทั่วแถบอำเภอเถาฮวามาสิบกว่าปีแล้ว รวมทั้งจี้กู่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาด้วย สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการเดินทางเข้าไปในภูเขาลึกก็ไม่พ้นสองสิ่ง หนึ่งคือสัตว์ป่า สองคือโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดในป่า คนของ กองโจรเขาเหมิงซานมีนับพัน ในจำนวนนั้นมีพวกโจรเหี้ยมมากมาย เมื่อรวบรวมคนมากลุ่มหนึ่งย่อมไม่จำเป็นต้องไปกลัวเรื่องแรกที่ว่าไว้ เมื่อมีจี้กู่ก็ไม่ต้องหวั่นกลัวเรื่องที่สองด้วย โดยเฉพาะพวกของทางการไม่ว่าจะเพียงแสร้งทำหรือว่าข่มขู่ ดีชั่วทางการก็เคยกวาดล้างพวกเขามาแล้วหลายหน แต่เมื่อเป็นดังนี้กองโจรเขาเหมิงซานก็ยังถอยร่นเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาได้ชั่วคราว …เจ้าคิดว่าปีนั้นแม้คนแซ่กู่จะถูกสถานการณ์บีบบังคับจนไม่อาจไม่ขึ้นเขาไป แต่เขาไปเพียงลำพังคนเดียว ต่อให้มีความกล้าอีกสักเท่าใด แต่กำลังและเสบียงอาหารที่นำติดตัวไปก็ต้องมีจำกัด แล้วจะเข้าไปในภูเขาได้ลึกสักเท่าใดกัน?”

เว่ยฉางอิ๋งตะลึง แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างเข้าใจว่า “ความหมายของเจ้าคือ…”

“ถ้าหากว่าท่านอาหกจำผิดเล่า ไม่เช่นนั้นคนแซ่กู่นั่นก็จำผิดเองหรือไม่ก็พูดผิด!” เสิ่นจั้งเฟิงหยิบเอาแผ่นที่เมืองกว้านโจวมาจากข้างๆ แล้วชี้ไปยังที่แห่งหนึ่งที่ห่างออกไปจากอำเภอเถาฮวาสองอำเภอและมิได้อยู่ติดกับซีเหลียงแต่อย่างใด “เจ้าดูสิ ที่แห่งนี้คืออำเภอชางเอ่อร์ ฟังดูแล้วคล้ายไม่มีความเชื่อมโยงใดกับอำเภอเถาฮวา แต่อำเภอนี้ได้ชื่อนี้มาเพราะทั้งอำเภอเป็นแหล่งผลิตชางเอ่อร์จื่อ[1]”

เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่าชางเอ่อร์จื่อเป็นยาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณขับลมและความชื้น กลับเป็นอำเภอเถาฮวาเสียอีกที่นอกจากต้นท้อแล้วก็ไม่เคยได้ยินว่าเป็นแหล่งผลิตสมุนไพรอันใด …ประเด็นนี้กลับมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่ไล่ฉินเหนียงบอกว่าคนแซ่กู่ผู้นั้น เดินทางจากเมืองหลวงนับพันลี้มาที่กว้านโจวก็เพื่อซื้อหายาสมุนไพร และหาเงินไปแต่งภรรยา

แล้วเสิ่นจั้งเฟิงก็ชี้ไปที่ตำบลเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตายิ่งนักและมีพื้นที่ยื่นเข้าไปใน เขาเหมิงซาน บอกว่า “ชื่อของตำบลนี้น่าสนใจยิ่งนัก มันชื่อว่าตำบลเถาฮวาเซียน!”

“เถาฮวาเซียน? เถาฮวาเซี่ยน (อำเภอเถาฮวา)!” เมื่อครู่นี้เว่ยฉางอิ๋งฟังความหมายของสามีออกแล้ว ทว่าก็ไม่ได้คิดไปถึงว่าจะมีการเข้าใจผิดในเรื่องนี้ จึงเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “หรือคนแซ่กู่ไม่เคยบอกกับท่านอาหกของข้าผู้นั้น ว่าที่ที่สหายของเขามาเก็บยาในกว้านโจวนี้เป็นตำบลหรือเป็นอำเภอกันแน่?”

“เป็นไปได้ว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าเลยว่ากว้านโจวมีอำเภอเถาฮวาอยู่ จึงไม่ได้เตือน ท่านอาหกเว่ย” เสิ่นจั้งเฟิงเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ กล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าลองไปตรวจสอบตำบลเถาฮวาเซียนแห่งนี้ดูแล้ว เป็นเพราะในตำบลนี้มีต้นท้อต้นหนึ่งที่มีอายุกว่าห้าร้อยปี และมีฉายาว่าท่านเซียนอยู่ จึงได้ชื่อว่าตำบลเถาฮวาเซียน เจ้าคิดดูสิว่าโดยปกติแล้วพวกเรามักเคยชินกับชื่อสถานที่ที่มีเพียงสองหรือสามตัวอักษร หากจะมีชื่อสถานที่ที่มีสี่ตัวอักษรกลับมีอยู่น้อยนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าไปถามโม่ปินอวี่มาแล้ว เมื่อครั้งที่คนแซ่งกู่มาที่กว้านโจวกับคนบ้านเดียวกันนั้น เขาเพิ่งจะอายุได้สิบหกปี ตอนนั้นเขาก็ไม่รู้หนังสือด้วย ภายหลังที่เขาสามารถเขียนจดหมายได้ก็เป็นเพราะหลังจากที่กลับมาเมืองหลวงแล้ว ในมือมีเงินทองอยู่จำนวนหนึ่ง จึงไปขอให้คนมาสอนให้พอรู้หนังสือบ้าง”

เด็กหนุ่มอายุสิบหกที่ไม่รู้หนังสือ ทั้งยังเดินทางติดตามสหายไปด้วย …เกรงว่าภายหลังเว่ยซินหย่งจึงได้ไปตามหาอำเภอเถาฮวาตามการออกเสียงที่เขาเอ่ยเรียก ซึ่งคนผู้นี้ก็คงจะนึกว่าคงจะเป็นอำเภอเถาฮวาจริงๆ กระมัง?

ครั้นแล้วหากจะเอ่ยถึงความแตกต่างระหว่างตำบลและอำเภอ …ก็เหมือนกับที่ จี้กู่ด่าทอไล่ต้าหย่งเช่นนั้น เมื่อเคยเห็นความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงมาแล้ว แล้วได้มาเห็นหมู่บ้านตำบลที่อยู่ในระดับล่างลงมา ก็จะรู้ว่าความจริงแล้วหมู่บ้านตำบลเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าใด …ดีชั่วเมื่อเทียบกับเมืองหลวงแล้วก็ล้วนอัตคัดขัดสนกว่ามากมายนัก

เดิมทีกว้านโจวก็เป็นเพียงเมืองระดับล่าง แม้แต่ในตัวเมืองก็ยังไม่อยู่ในสายตาของจี้กู่แม้แต่น้อย

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตำบลเล็กๆ ที่อยู่ล่างลงไปอีก

อำเภอเถาฮวามีพื้นที่คับแคบเสียยิ่งนัก

และประเด็นสำคัญที่สุดก็คือตำบลเถาฮวาเซียนกลับใหญ่โตกว่าตำบลอื่นๆ ทั่วไป ด้วยเหตุที่มีพื้นดินอุดมสมบูรณ์ เจ็ดในสิบส่วนของตัวยาชางเอ๋อร์ของทั้งอำเภอล้วนรวมกันอยู่ที่นี่ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะดึงดูดพ่อค้ายาจากทั่วสารทิศของต้าเว่ย

…เมื่อเป็นดังนี้ การที่คนแซ่กู่จะเข้าใจผิดว่าตำบลเถาฮวาเซียนเป็นอำเภอเถาฮวาก็ไม่แปลกเลย

เมื่อมองเรื่องเหล่านี้ออกแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกหมดคำพูดเสียยิ่งนัก เนิ่นนานจากนั้นจึงบอกว่า “นี่ประหนึ่งว่าเป็นการนำผลประโยชน์มามอบให้แก่ตระกูลเสิ่นเช่นนั้น”

ลำพังแค่เพียงอาศัยกำลังคนของโม่ปินอวี่และอิทธิพลของกองโจรเขาเหมิงซานในกว้านโจว หากมิได้ไปหลงผิดไปหาที่อำเภอเถาฮวา แต่ไปหาในแถบตำบลเถาฮวาเซียน เกรงว่าคงจะพบสายแร่หยกและซื้อที่ดินที่มีสายแร่นี้อยู่เอาไว้นานแล้ว จากนั้นก็ให้ค่ายทหารสกุลโม่คอยควบคุมดูแล แล้วเริ่มงานขุดแร่กันไปแล้ว…

และหากเป็นดังนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องไปแตะต้องถึงซีเหลียงด้วย…

เว่ยฉางอิ๋งอดจะทอดถอนใจในความโชคดีของตระกูลเสิ่นไม่ได้ …ทว่าหากพูดย้อนกลับมาโชคของตระกูลเว่ยหรือของรุ่ยอวี่ถังก็ไม่ได้ย่ำแย่อันใด

ตามแผนการของเว่ยซินหย่ง เขาวางแผนอย่างยากลำบากมาหลายปี แน่นอนว่าก็เพื่อต้องการจะครอบครองผลประโยชน์นี้ แต่เป็นเพราะตัวอักษรผิดไปตัวเดียว ทำให้ยามนี้ไม่เพียงต้องแบ่งสรรกับตระกูลเสิ่น แล้วก็ยังต้องแบ่งกับรุ่ยอวี่ถังด้วย …หากไม่มีรุ่ยอวี่ถังคอยหนุนหลังเขา และเป็นเพราะเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นสะใภ้ตระกูลเสิ่นผู้นี้เป็นบุตรีตระกูลเว่ย เพียงไม่กี่เดือนก่อนตระกูลเสิ่นซึ่งเป็นใหญ่ในซีเหลียงก็เพิ่งจะเอาชนะชิวตี๋และสังหารข่านซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้ห้าวหาญของพวกเขาได้ แล้วตระกูลเสิ่นจะเห็นกลุ่มคนที่เรียกกันว่ากองทหารสกุลโม่อยู่ในสายตาหรือ?

รุ่ยอวี่ถังย่อมไม่อาจยืนมองอยู่เฉยๆ ความจริงแล้วข่าวเรื่องสายแร่หยกนี้ ในเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้รู้แล้ว หากจะไม่แบ่งสรรให้รุ่ยอวี่ถังย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เรื่องเป็นมาดังนี้ เมื่อลุงแท้ๆ ของเว่ยซินหย่งค้นพบสายแร่จึงคิดจะมาหาบิดาของเว่ยซินหย่งเพื่อให้ไปขุดหยกด้วยกัน

แต่ปรากฏว่าทั้งลุง บิดา มารดา และพี่สาวของเว่ยซินหย่ง ….คนทั้งบ้านเขาล้วนต้องใช้ชีวิตเพื่อแลกกับสายแร่นี้มา สุดท้ายแล้วเขากลับยังต้องมาแบ่งกับรุ่ยอวี่ถังและตระกูลเสิ่น …หากรู้ดังนี้แต่แรก ต่อให้เขาตัดใจไม่เอาสายแร่นี้แล้ว บางทีก็อาจไม่ต้องมาถึงจุดนี้ หรือไม่อยากนั้นหากเขานำออกมาแบ่งกับทุกคนเร็วกว่านี้สักหน่อย หากจัดการดีๆ ก็ไม่แน่ว่าอาจยังพอจะได้ผลประโยชน์เล็กน้อยอีกบ้าง ต่อให้ผลประโยชน์เหล่านี้จะเทียบไม่ได้กับการครอบครองทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ยังดีว่ายังไม่ทันได้มาอยู่ในมือ แต่กลับต้องชดเชยด้วยชีวิตเพื่อผลประโยชน์อันนี้

เว่ยฉางอิ๋งคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าคนทั้งบ้านของท่านอาหกผู้นี้ก็น่าสงสารเหลือใจ ด้วยเหตุที่เว่ยซินหย่งต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้มา ก็มิน่าเล่าดวงตาของเขาอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นที่หนักหน่วงเพียงนั้น…

-จบ-

______________________________

[1] ชางเอ่อร์จื่อ ในไทยใช้ภาษาแต้จิ้วเรียกว่า ชังยื่อ เป็นยาสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีสรรพคุณขับลมความชื้น ลดอาการคัดจมูก