ตอนที่ 276 ต่างคนต่างมีแผนการ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 276 ต่างคนต่างมีแผนการ

ณ เมืองฝานหนิง

กวนถงขมวดคิ้วฉงนขึ้นมาอีกครา

เมื่อครู่มีสายรายงานมาว่าขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูได้พักแรมพร้อมจัดแจงทำอาหารและเพิงพักอยู่นอกเมืองนี้ นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน… ?

คงมิอาจยอมได้หากให้ตนรอด้วยความหิวโหย แต่อีกฝ่ายกลับกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ

“ช่างเสียปะไร” กวนถงหัวเราะเยาะ

เขามองไปทางเหวินชางไห่ “ท่านชางไห่ ดูเหมือนค่ำคืนนี้พวกเขาต้องพำนักชั่วคราวที่นอกเมืองเสียแล้ว ก็ดีเสีย ข้าจะได้ถือโอกาสนี้พบปะกับคณะทูตของแคว้นฝาน แคว้นอี๋ และแคว้นฮวง ดื่มสุราพูดพล่ำทำกลอน หากข้าจะเล่าเรื่องเจ้าฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย ข้าว่าพวกนั้นคงจะสนใจฟัง”

เหวินชางไห่ถอนหายใจ “ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้ท่านเป็นผู้ดูแล มาต้อนรับเหล่าคณะทูตจากต่างบ้านต่างเมืองครานี้ ท่านจะจัดการเยี่ยงไรข้าก็มิบังอาจไปขัดขืนได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเตือนท่าน เรื่องบางเรื่องก็ควรทำแต่พอเหมาะพอควร ข้าเกรงว่าท่านจะประเมินค่าฟู่เสี่ยวกวนต่ำเกินไป และเหตุการณ์มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ! ”

เขาพูดในขณะที่มือกำลังเลิกผ้าม่านออก แล้วหันมากล่าวอีกครา “หากท่านคิดว่าสามารถยั่วยุให้เหล่าปัญญาชนทั้งสามแคว้นให้หยิ่งทระนงจนยกตนข่มฟู่เสี่ยวกวนได้ละก็ ข้าเกรงว่าท่านจะคิดผิดอย่างมหันต์ ทักษะทางวรรณกรรมล้วนแต่เกิดจากพรสวรรค์ ข้าก็กล่าวได้เพียงเท่านี้ มันสมองเหล่าปัญญาชนจากทั้งสามแคว้นรวมกัน หาเทียบฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียวได้ไม่ ! ”

และเขาก็เดินลงจากรถม้า “และนี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาททรงพอพระทัยฟู่เสี่ยวกวน โปรดให้อภัยข้าเถิด ข้ามิอาจร่วมทางกับท่านได้อีกต่อไป ! ”

เขาวางผ้าม่านลงแล้วเดินจากไปอย่างไม่พอใจ

กวนถงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนโฉดเขลา เจ้าจะทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋รึ เจ้ามันมิเหมาะสมกับการมีบิดาผู้แสนปราดเปรื่องเอาเสียเลย ! ”

……

ณ เพิงพักของขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูนั้นครึกครื้นยิ่งนัก

บรรดาลูกศิษย์ของเขามิทราบว่าสถานการณ์เป็นเยี่ยงไร ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ปรารถนาจะบอกกล่าว

หลังจากมื้อค่ำ สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยเข้ามาพบฟู่เกี่ยวกวนในเวลาเดียวกัน

สวี่หวยซู่แสดงสีหน้ากังวลแล้วกล่าวว่า “พวกเราจะรอกันเยี่ยงนี้รึ ? ”

มีนัยว่าจะรออย่างปล่าวประโยชน์จริงหรือ หรือจะวานให้เซี่ยะซีเฟิงเข้าเมืองไปเร่งขบวนฝั่งนั้นเสีย

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ “มีประโยชน์อันใดให้รอต่อไป ย่ำรุ่ง…”

เขาหันไปมองทางเซวียผิงกุย “ยามย่ำรุ่ง เจ้าจงจำคำข้าไว้ จงถอนเพิงพักแล้วออกเดินทาง”

เซวียผิงกุยตกตะลึงทันพลัน “ไปที่แห่งใดขอรับ ? ”

“นำขบวนกลับแคว้น ! ”

สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยหันมามองหน้ากันโดยไร้คำกล่าว ร่วมเดินเท้าผ่านอุปสรรคมาไกลโข เมืองกวนหยุนจุดมุ่งหมายแห่งการเดินทางครานี้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เพียงแค่ชั่วยามเท่านั้น แต่เขากลับสั่งการให้นำขบวนกลับ

“นำขบวนกลับ นำขบวนกลับแล้วจะเผชิญพระพักตร์กับฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ” สวี่หวยซู่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำตามคำสั่งการของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน คงมิหยั่งรู้ว่าการตัดสินใจอย่างหุนหันพันแล่นเยี่ยงนี้จะนำหายนะมาให้ราชวงศ์หยูได้มากถึงเพียงใด !

นั่นคือถือเป็นการไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเป็นอย่างมาก หากจักรพรรดิเหวินตี้นำทัพออกจากภูเชาฉีชานด้วยเหตุนี้ ต่อให้มีฟู่เสี่ยวกวนอีกร้อยชีวิตก็คงต้องโดนประหารสิ้นเป็นแน่

“เจ้ามิยอมเสียหน้า แต่ข้าก็มิแยแส ได้โปรดทำตามที่ข้าสั่ง”

สวี่หวยซู่กำลังปลีกตัวจากไป ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็คว้าตัวเขาไว้

สีหน้าจริงจังและน้ำเสียงของเขาก็ขึงขังขึ้นมาทันพลัน “การเดินทางครานี้จงยึดถือคำสั่งข้าเป็นใหญ่ ยามนี้มิใช่เรื่องศักดิ์ศรีของข้าหรือของเจ้า แต่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของราชวงศ์หยูและฝ่าบาท เจ้าจงจำไว้ว่างานเทศกาลฤดูหนาวอันน่าเบื่อหน่ายนี้ ข้ามิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หากข้ามิไปเข้าร่วมมันก็มิใช่ปัญหาที่ข้าก่อ แต่หากเป็นปัญหาขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้ากังวลสิ่งใด ข้าขอกล่าวให้เจ้ารู้ไว้ว่าจักรพรรดิเหวินตี้มิมีทางจะยกทัพออกจากภูเขาฉีชานมายังแคว้นหยู แต่ถ้าหากเจ้ากล้าดีถือวิสาสะไปยุ่งกับคนของราชวงศ์อู๋เสียล่ะก็ อย่าหาว่าดาบของข้ามันไร้ซึ่งความเมตตา ! ”

คำพูดนี้เต็มไปด้วยการข่มขู่เอาชีวิต ในสายตาของเซวียผิงกุย เขาเชื่อว่าหากสวี่หวยซู่ขัดคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน เขาคงโดนคร่าชีวิตกลางขบวนนี้เป็นแน่ !

นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่หวยซู่ได้เห็นท่าทีและคำพูดที่เย็นชาและโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขวัญเสียขึ้นมา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยเห็นลุงผู้นี้ในสายตา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมาเขาฆ่าคนอย่างเลือดเย็นไปแล้วกี่ราย

เขาอยากจะกล่าวอีกสาเหตุให้อีกฝ่ายได้ฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเผยรอยยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจงสบายเลยเถิด หากท่านกวนถงมิอยากหัวขาดล่ะก็ เขาต้องนำขบวนม้ามาตามพวกเรากลับไปเป็นแน่”

“และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นผู้จัดการเอง กำชับทุกคนเข้าไว้ว่าค่ำนี้ต้องรีบนอน ยามรุ่งพวกเราจะยกขบวนกลับโดยทันที ! ”

ณ หอป่านเย่ว แห่งเมืองฝานหนิง กวนถงอัญเชิญเหล่าปัญญาชนและคณะทูตที่ติดตามมาร่วมงานเลี้ยง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำนักว่าขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นถูกทิ้งไว้นอกเมืองฝานหนิง

“บทกวีของเขาถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือ แต่ช่างเสียปะไร ข้าจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นสิ่งนี้ข้าพอใจจะกระทำ อยากทิ้งไว้นานเพียงใดก็ย่อมทำได้ ถามว่าด้วยเหตุใดน่ะรึ ข้ามิโปรดเจ้าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ! ”

“พวกท่านเป็นถึงผู้สูงส่งของแต่ละแคว้น ข้าขอเผยความจริงว่าฝ่าบาททรงใช้งานชุมนุมครั้งนี้ในการคัดเลือกราชบุตรเขย หากแต่มิใช่รับสมัครราชบุตรเขย แต่ทว่า…องค์หญิงไท่ผิงจะทรงเลือกอภิเษก”

เหล่าปัญญาชนเมื่อได้ยินแล้วโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ !

องค์หญิงไท่ผิงอู๋จ้าวหรืออู๋หลิงนั้นเพียบพร้อมทั้งด้านวรรณกรรมและด้านการทหาร

แต่ก่อนใดมาพวกเขาแทบไม่เคยคิดเคยฝัน เหตุเพราะอู๋หลิงมียศเป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์อู๋ อีกทั้งยังเป็นเพียงองค์หญิงเพียงแค่พระองค์เดียวของราชวงศ์เท่านั้น ฐานะสูงส่งเยี่ยงนั้นเกินยิ่งกว่าที่พวกเหล่าปัญญาชนจะไขว้คว้าถึง

อีกอย่างพระสวามีขององค์หญิงคงต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบุตรเขย แต่พวกเขามิใช่คนของราชวงศ์อู๋ ย่อมมิยอมที่จะเป็นราชบุตรเขยเป็นแน่

ตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนว่าหากองค์หญิงไท่ผิงยอมลดฐานะมาสมรสกับคนที่ฐานะต่ำกว่า ก็จะต้องตามพระสวามีกลับแคว้นไปด้วย ถ้าเกิดได้ครอบครององค์หญิงไท่ผิงก็จะได้รับความเกื้อกูลจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นไหนก็ตามที นี่ย่อมเป็นเรื่องที่แสนวิเศษยิ่งนัก อีกทั้งยังได้รับของกำนัลตอบแทนจากผู้นำแคว้นของตนอีกด้วย

หนึ่งในสิบของคณะกวีแห่งแคว้นฮวงคือ บุตรชายที่ห้าของท่าป๋าชิว นามว่าท่าป๋ายวน

ความรู้ที่เขามีล้วนมาจากการสั่งสอนของบิดา แต่ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมากลับมาจากราชสำนักของราชวงศ์หยู

ท่าป๋าชิวยอมอัญเชิญคณาจารย์มาจากแคว้นหยูเพื่อให้บุตรชายของตนได้ซึมซับวัฒนธรรมของราชวงศ์หยู จึงถือได้ว่าท่าป๋ายวนเป็นบุคคลที่มีความรู้ลึกซึ้งมากที่สุดคนหนึ่งในแคว้นฮวง

เขาเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและบทกวีเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวน และรู้ดีในความเก่งกาจของเขา แต่หากจะเป็นด้านวรรณกรรมโบราณ เขาเชื่อนักว่าเขาเก่งกาจกว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นเท่าตัว อีกทั้งบทกวีของเขาก็ยังได้รับความนิยมในแคว้นฮวงอย่างแพร่หลาย

เมื่อได้ยินข่าวนี้จากกวนถง เขาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด หากได้สมรสกับองค์หญิงไท่ผิงและได้รับความเกื้อกูลจากราชวงศ์อู๋ เรื่องราววุ่นวายภายในราชวงศ์ฮวงก็คงจะหมดสิ้นไป

เหล่าหัวหน้าเผ่าพวกนั้นก็เป็นได้แค่พวกปัญญาทึ่ม ไร้ความก้าวหน้าไปชั่วชีวิต !

หากมิมีพวกเขาคอยขัดขวางไว้ ป่านนี้ท่านพี่ท่าป๋าเฟิงคงนำทัพลงทิศใต้ ฤดูหนาวปีกลายคงอยู่ที่เมืองซินโจวเป็นแน่แท้

โอกาสเหมาะสมเยี่ยงนี้ ต้องกดดันให้ท่านพี่ต้องยอมแพ้ และใช้กุศโลบายสมรสกับองค์หญิงสามแห่งแคว้นหยูมาถ่วงดุล

ทว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับมีเจตนาคิดแผนสูง

ช่างน่าเวทนา เป็นแค่พ่อค้าที่ดินกลับคิดการใหญ่ เห็นว่าเรื่องนี้คงทำให้ลำบากมิน้อย

สถานการณ์จัดฉากเยี่ยงนี้พวกผู้นำเผ่ายังคาดเดามิออก !

พวกโง่เขลา

เจ้าฟู่เสี่ยวกวน จงตายไปเสีย !