ตอนที่ 277 เขาไปแล้ว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 277 เขาไปแล้ว

นโยบายของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อปีกลายทำให้เกิดการก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาในแคว้นฮวง !

สิ่งนี้ทำให้ท่าป๋าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ทำสิ่งใดมิได้ เขามิมีแม้กระทั้งคนให้ระบายความคับแค้นในใจ ทำได้เพียงแค่เก็บเอาความขมขื่นนี้กล่าวให้ท่าป๋าชิวลูกชายของตนฟัง

ท่าป๋าชิวเองก็เพิ่งจะรับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด และรับรู้ถึงภัยการคุกคามอันใหญ่หลวงครานี้

เวลานี้เขากำลังกัดฟันขบคิด

ไอ้พวกผู้นำเผ่าที่โฉดเขลาพวกนั้นต่างก็ดีใจ อีกทั้งยังกล่าวว่ายามที่พระราชวังนั้นสร้างเสร็จแล้ว พวกมันจะเข้าไปอาศัย แล้วภายภาคหน้าท่าป๋าชิวจะได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมการคลัง ส่วนเรื่องบ้านเมืองนั้นให้องค์ชายแปดบริหารจัดการ !

เรื่องความคับแค้นใจที่มีต่อแคว้นฮวงนั้น ท่าป๋ายวนล้วนซึมซับมาจากพ่อของตน แต่กลับรู้สึกราวกับเผชิญมันทั้งหมดด้วยตนเอง

แต่ตอนนี้เขามีโอกาสทองอยู่ในมือแล้ว นั่นก็คือองค์หญิงไท่ผิง !

หากได้สมรสกับองค์หญิงไท่ผิง จะมีราชวงส์อู๋เป็นเกราะกำบัง ต่อให้องค์ชายแปดก็เถอะ !

เมื่อยามเขาเป็นใหญ่เขาจะไหว้วานให้กองทัพแห่งราชวงศ์อู๋ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกชนเผ่านั้นให้สิ้น แคว้นฮวงต้องเป็นเอกราช มิเช่นนั้นเสี้ยนหนามพวกนี้จะมิมีวันหมดสิ้นไป

เขาเองคิดเช่นนั้น ส่วนเหล่าปัญญาชนจากสองแคว้นที่เหลือต่างก็แววตาลุกเป็นประกาย ในขณะที่กำลังแย่งชิงดีชิเด่น ก็โอ้อวดว่าตนสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ แล้วจะสั่งสอนให้เขาได้รู้ซึ้งไว้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ !

เพลานั้นกลับมีคนหนุ่มอีกคนหนึ่งที่รับฟังอย่างเงียบเชียบ เผลอยิ้มบ้างเป็นบางครา เพราะคิดว่าเรื่องพรรค์นี้มันช่างน่าขันสิ้นดี

ทว่ากวนถงนั้นรู้ดี คนเหล่านี้เป็นเพียงแค่เศษสวะ !

องค์หญิงไท่ผิงมิอาจสมรสแล้วย้ายตามพระสวามีไปแคว้นอื่นได้ ต่อให้เป็นฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีวัน

ฝ่าบาทคงมิได้เชิญฟู่เสี่ยวผู้มีนามเลื่องลือเช่นนี้มาโอ้อวดแค่ความเก่งกล้าของตน ฝ่าบาทย่อมมีแผนอื่นอีกเป็นแน่ มีความเป็นไปได้ว่าจะถือโอกาสใช้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่ให้จัวตงหลายได้อย่างชอบธรรม

จัวตงหลายและองค์หญิงไท่ผิงต่างก็เคยร่ำเรียนในสำนักหลีซาน ต่างเป็นสุดยอดนักปราชญ์แหล่งหลานซี อีกทั้งท่านปู่ของจัวตงหลายนามว่าจัวอีสิงมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ !

ท่านพ่อของเขานามว่าจัวเปี๋ยหลียังเป็นผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดอีกด้วย !

ชื่อเสียงเรียงนามของตระกูลจัวมิมีผู้ใดเทียบเท่าได้

สำหรับเรื่องขององค์หญิงไท่ผิง แม้จัวตงหลายจะแสดงท่าทีของตนอย่างชัดเจนมานานแล้ว และฝ่าบาทก็มิเคยขัดขืน

เช่นนั้นกวนถงมองแผนการนี้ออกอย่างชาญฉลาด จัวตงหลายกำลังจะรับตำแหน่งขุนนางแห่งราชวงศ์อู๋ ซึ่งแน่นอนว่ามิอาจเป็นราชบุตรเขยได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงใช้แผนการที่ว่า หากผู้ใดประพันธ์กวีได้ดีเยี่ยมที่สุด องค์หญิงไท่ผิงก็จะตกเป็นของผู้นั้น

เป็นวิธีที่ดี่เยี่ยมเสียจริง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นได้เพียงแค่ก้อนกรวดใต้เท้าของจัวตงหลายเท่านั้น !

เหตุนี้เขาจึงกล้าทิ้งฟู่เสี่ยวกวนให้รออย่างอ้างว้างอยู่นอกเมือง วางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปพบเสียหน่อย หากเจอกันแล้วก็จะกล่าวว่าขออภัยก็คงจบสิ้น คงมิเป็นเรื่องใหญ่โตมากนัก

แต่ทว่าเขากลับคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินขบวนกลับเสียจริง ๆ อีกทั้งยังกลับแบบดื้อ ๆ เสียด้วยซ้ำ !

เช้าวันรุ่งขึ้น กวนถงโดนปลุกจากห้วงแห่งการหลับใหลด้วยเสียงเคาะประตูของเซี่ยะซีเฟิง ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อคืนเขามีความสุขดื่มจนเมามาย เวลานี้แล้วก็ยังมิหลุดพ้นจากฤทธิ์มึนเมาของสุรา

แต่คำกล่าวนั้นของเซี่ยะซีเฟิงทำเขาตื่นในบัดดล

“เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ ? ”

“ คณะทูตแห่งแคว้นหยูถอนเพิงพักแล้วนำขบวนกลับแคว้นหยูตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้วขอรับ”

“เขาไปแล้วรึ ? ”

กวนถงแทบจะไม่อยากเชื่อหูตนเอง เขากล้ากลับได้เยี่ยงไร กลับไปจะเผชิญหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้เยี่ยงไร มิคิดกลัวว่าฮ่องเต้จะตัดหัวเขาเอาเยี่ยงนั้นรึ ?

ชั่วเวลานั้นเองสมองของกวนถงได้คิดหาร้อยพันสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร แต่กลับมิมีเวลามากพอมาไตร่ตรอง ในเมื่อจักรพรรดิเหวินตี้อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นสะพานที่จะให้จัวตงหลายก้าวรับชัยชนะอย่างชอบธรรม ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องอยู่ในงานด้วย ถ้าหากเขาไปแล้ว จะมิมีสะพานอย่างที่วางแผนไว้อีกแล้ว ต่อให้จัวตงหลายเป็นผู้ประพันธ์ที่เยี่ยมที่สุด แต่ในสายตาผู้อื่น เขาคงมิอาจเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนในด้านวรรณกรรมได้ !

ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาจะปลดเขาออกจากตำแหน่งหรือไม่ ?

แม่ทัพจัวจะประหารเขาหรือไม่ ?

“ไล่ตามเขาไป เร็วเข้า ! ” กวนถงรีบร้อนขึ้นมา เขาสวมใส่ชุดขุนนางแล้ววิ่งออกไปอย่างเร่งรีบแม้แต่หน้าตาก็ยังมิได้ล้าง

บ้าเอ้ย ข้าจะยุแยงให้ท่านเสนาบดีถือโอกาสยามที่แคว้นหยูอ่อนแอเช่นนี้สังหารฟู่เสี่ยวกวนให้จงได้

เขานำขบวนเจ้าหน้าที่กรมพิธีการขี่ม้าออกจากเมืองไปอย่างเร่งด่วน เขากำชับให้เซี่ยะซีเฟิงตามขบวนของฟู่เสี่ยวไปให้ทัน เขาหันไปมองไปหน้านั้นของเหวินชางไห่ รู้สึกว่าใบหน้านั้นต้องการจะสื่อถึงเขาว่าสมน้ำหน้าอยู่เป็นแน่

“ข้าทำให้ท่านชางไห่หัวเราะเยาะเข้าแล้วสิ”

เหวินชางไห่ส่ายศีรษะ “ข้ากล่าวต่อท่านไปแล้วเมื่อค่ำ ท่านช่างประเมินค่าฟู่เสี่ยวกวนต่ำเกินไปเสียจริง ๆ หากท่านทำความเข้าใจฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้สักนิด ท่านจะรู้แจ้งว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร ! ”

……

เมืองกวนหยุน

ณ จวนอันเงียบสงบและสวยงามแห่งหนึ่ง

ในมือของสุ่ยหยุนเจียนนั้นถือกระสุนที่เพิ่งนำมาออกมาจากบ่าของเป่ยหวังฉวน เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพลิกกระสุนไปมาอยู่หลายครา จ้องมองดูมันเสียเนิ่นนาน

เป่ยหวังฉวนผู้ที่อยู่ในสถาพบ่าเปลือยเปล่าก็โหวกเหวกขึ้นมา “ อ่า! แผลข้ายังเลือดไหลมิหยุด เจ้าควรจะเย็บแผลให้ข้าเสียที”

“อ่า…” สุ่ยหยุนเจียนจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการผ่าตัดยังมิเสร็จสิ้น

เขานำกระสุนโยนเข้าไปในถาดรอง เสียงกระสุนกระทบถาดดังเพล้ง เขาหันไปมองกระสุนนั้นอีกคราแล้วจึงหันมาเย็บแผลให้เป่ยหวังฉวน

“เจ้านี้มันแปลกประหลาดยิ่งนัก ท่านดูสิ มันยาวราวสองนิ้วทำจากเหล็กอย่างดี ขัดจนเป็นมันวาว แต่ปลายกระสุนกลับมิคมเอาเสียเลย ท่านเป็นถึงปรมาจารย์ที่ฟันแทงมิเข้า แต่มันกลับทะลุเข้าไปในเนื้อหนังของท่านได้ มิหนำซ้ำยังทะลุเข้าไปถึงกระดูกของท่านอีก อย่างที่ท่านกล่าว หากท่านมิได้รวบรวมกำลังภายในปกป้องร่างกายของท่านไว้ ป่านนี้กระสุนคงทะลุบ่าไปแล้วเป็นแน่ ”

ใบหน้ากลมที่ไม่ค่อยแสดงออกถึงสีหน้าของสุ่ยหยุนเจียนถึงกับเผยสีหน้าเข้มขรึมขึ้นมา “มันถูกยิงออกมาจากอาวุธแบบใดกันแน่ อาวุธนั้นมีพลังทำลายล้างมากถึงเพียงใด…อีกอย่าง หากท่านนำกระสุนนี้ไปให้ท่านโจวเย่พินิจดู ข้าคาดว่าแม้นเป็นช่างเหล็กฝีมือดี ก็มิสามารถขัดได้งดงามถึงเพียงนี้ คนที่ยิงท่านมานั้นเป็นผู้ใดกัน ”

เป่ยหวังฉวนเองก็ลังเลใจยิ่งนัก ครานั้นฟู่เสี่ยวแอบหมอบอยู่ท่ามกลางป่าท้อแล้วซุ่มยิงเขา เขามิเห็นแม้แต่เงาของคนที่ทำร้ายตน และมิรู้ว่าคือฟู่เสี่ยวกวน อย่างไรเสียเข้าก็ไม่อยากปักใจเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้

เขาคิดว่าฝีมือระดับนี้ถือได้ว่าเป็นฝีมือระดับปรมาจารย์เช่นกัน และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาถอยหนีอย่างไม่คิดชีวิต

“เจ้าว่าใต้หล้านี้มีปรมาจารย์อื่นใดอีกเล่า” เป่ยหวังฉวนถาม

“ใคร ๆ ต่างรู้ว่าใต้หล้านี้มีหกสุดยอดปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ ที่ข้าพอรู้บ้างก็มีโหยวเป่ยโต้วที่มีน้องชายที่ฝึกตนเป็นระดับถึงปรมาจารย์ แต่สองพี่น้องกลับมิสามัคคีกัน สามสิบปีก่อนโหยวเป่ยโต้วได้หลบไปใช้ชีวิตในป่าเขาตามที่ใจรัก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ถามไถ่เรื่องทางโลกอีกเลย ล่าสุดเมื่อขึ้นแปดค่ำ เดือนอ้าย เขาพายเรืออยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ว่ากันว่ากำลังเดินทางไปภูเขาลั่วเหมย ส่วนน้องชายของเขาเจี่ยหนานซิงหลังจากที่เลิกบำเพ็ญตบะก็ได้ทำศึกสงครามกับพี่ชายของตนที่ภูเขาลั่วเหมย ว่ากันว่าศึกครานั้นทำให้ดอกเหมยร่วงจดแทบจะหมดทั้งภูเขา และตั้งแต่ครานั้นสายสัมพันธ์พี่น้องก็ขาดสะบั้นลง และมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจี่ยหนานซิงอยู่ที่แห่งใด”

สุ่ยหยุนเจียนส่งกระสุนให้เป่ยหวังฉวน พร้อมกล่าวว่า “หากท่านกล่าวว่ากระสุนนี้เป็นของเจี่ยหนานซิง ข้าคงมิอาจเชื่อถือได้ เพราะคราศึกภูเขาลั่วเหมยเขาปราชัยให้พี่ชายของตน อีกอย่างเขาใช้หมัดมวยในการสู้รบ มิใช้อาวุธเถื่อนเช่นนี้ ! ”

เจ้ากระสุนนี้คงมิอาจมาจากการโก่งยิงจากคันธนู ทั้งสองต่างเห็นพ้องว่านี่คืออาวุธเถื่อน

“ใต้หล้านี้ใช้อาวุธเถื่อนก็เห็นจะมีเพียงกงซุนแห่งแคว้นอี๋เท่านั้น แต่ทว่ากงซุนเป็นบุคคลที่ตำหนักอี๋ให้ความเคารพ อีกทั้งยังอยู่ในช่วงศึกระหว่างแคว้นอี๋และแคว้นหยู กงซุนมิมีทางออกโรงแทนฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ แม้นว่ากงซุนจะลงมือเองก็ทำมิได้เพราะเขาเป็นเพียงปรมาจารย์ชั้นกลางเท่านั้น มิมีทางทำร้ายท่านได้เป็นแน่ ! ”

“เว้นเสียแต่ว่า…”