ตอนที่ 159 ถูกนักบวชเดาตัวตนที่แท้จริง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

“!”

นี่มันอะไรกัน? เขารู้ได้อย่างไร?

ซูหวานหว่านตกใจไปชั่วชณะ เมื่อคิดว่าบุคคลนี้คือนักบวชเต๋าตัวจริง แต่หลังจากสังเกตดูดี ๆ ดาบไม้ที่อีกฝ่ายถืออยู่นั้นเป็นเพียงดาบไม้ทั่วไปที่ถูกทำขึ้นมาเอง และเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดา แสดงว่าต้องมีคนสั่งการอย่างอยู่เบื้องหลังแน่นอน!

เมื่อเห็นซูหวานหว่านขมวดคิ้ว นักบวชคนนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย “ทำไมล่ะ? เจ้าไม่ยอมรับอย่างงั้นหรือ?”

“ท่านมีสิ่งใดมายืนยันว่าข้ามีวิญญาณชั่วร้ายสิงอยู่?” ซูหวานหว่านกล่าวออกมาด้วยท่าทางนิ่งเฉย นางยกมือขึ้นลูบคางตัวเองพลางครุ่นคิด มองดาบไม้ที่อยู่ด้านข้าง พร้อมกับเอ่ยถามออกมา “ใครเชิญท่านมาที่นี่ แล้วใครเป็นคนสั่งให้ท่านมาทำแบบนี้กับข้า?”

ซูหวานหว่านจ้องมองนักบวชคนนั้นที่ยืนตัวสั่นเล็กน้อยพร้อมกัดฟันกรอดโดยไม่รู้จะพูดอะไรดี

แม่เจิ้นพลันเดินเข้ามาจ้องมองซูหวานหว่านแล้วพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงพูดแบบนี้กับท่านนักบวช!”

กล่าวเสร็จนางก็ยิ้มให้อีกฝ่ายพร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นลูกสาวคนโตของข้าเจ้าค่ะ เมื่อวานนี้ลูกสาวคนเล็กของข้าที่ตายไปแล้วได้กลับมาที่บ้าน แต่ว่าวันนี้นางกลับหายตัวไป ข้าคิดว่านางน่าจะเป็นวิญญาณ ลูกสาวคนนี้ของข้าทำไม่ดีกับน้องสาวเอาไว้เยอะ ข้ากลัวว่าจะเป็นวิญญาณชั่วร้าย ข้าจึงขอเชิญท่านมาช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้ายเจ้าค่ะ”

“งั้นก็ถูกต้องแล้ว!” นักบวชหันกลับมา

ซูหวานหว่านที่ได้ยินแบบนั้นพลันหัวเราะราวกับคนเสียสติ หัวใจของหญิงสาวผู้เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานเย็นยะเยือก นางคิดไม่ถึงเลยว่ามารดาของนางจะเป็นคนเชิญเขามาจัดการกับนาง! อีกทั้งยังพูดจาเช่นนี้กับนาง!

ซูหวานหว่านกำลังจะเปิดปากอธิบาย แต่นักบวชกลับชิงพูดว่า “ความชั่วร้ายที่สิงอยู่ในร่างของลูกสาวเจ้านั้นดุร้ายมาก หากเจ้าไม่ขับไล่ความชั่วร้ายนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว ข้าเกรงว่าทั้งตระกูลซูและคนทั้งหมู่บ้านจะต้องได้รับภัยพิบัติ!”

ซูหวานหว่านยังคงเงียบนิ่ง และกำลังจะถามว่าเหตุใดถึงกล่าวหาว่าตนเองมีวิญญาณร้ายสิงอยู่ แต่กลับเป็นแม่เจิ้นที่มองไปยังนางและพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า “ก่อนที่นางจะถูกเหมี่ยวอี้เซิงถอนหมั้น นางก็ได้ทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้ว จากนั้นนางได้ไปที่แม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย พวกเราคิดว่านางตายแล้ว แต่หลังจากที่ฟื้นขึ้นมากลับพบว่านิสัยของนางเปลี่ยนไปมาก! ก่อนหน้านี้นางไม่เคยอยากจะแยกจากครอบครัวไปด้วยซ้ำ! แต่นางกลับเสนอเรื่องการแยกบ้านออกมา แล้วก็ยังมีอีกมากมายหลายเรื่อง ในตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงโดยกำเนิดของข้า! ลูกสาว… ลูกสาวของข้าได้ตายไปตั้งแต่จมน้ำในวันนั้นแล้ว!”

ถึงแม้ว่านางจะไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของแม่เจิ้น แต่นางก็ทำให้ตระกูลซูร่ำรวยเจริญรุ่งเรือง! ทำให้คนในตระกูลซูได้มีที่อยู่อาศัยดี ๆ! แต่ว่าตอนนี้แม่เจิ้นยังมาพูดเช่นนี้กับนาง! ซูหวานหว่านรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่…”

ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ แม่เจิ้นก็หยิบหินก้อนเล็ก ๆ ขึ้นแล้วขว้างใส่นางด้วยท่าทางหวาดกลัวและรังเกียจ ก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “นังวิญญาณชั่วร้าย อย่ามาพูดกับข้า!”

ชาวบ้านที่ล้อมดูเหตุการณ์อยู่ก็เอ่ยขึ้นมา “ซูหวานหว่าน! เจ้าอย่าคิดที่จะมาทำอะไรพวกเรานะ! ตอนนี้ท่านนักบวชอยู่ที่นี่แล้ว มาดูกันว่าพวกเราจะจัดการวิญญาณชั่วร้ายของเจ้าอย่างไร!”

คนเหล่านี้ต่างเรียกว่านางเป็นวิญญาณชั่วร้าย ทำเหมือนกับว่านางเป็นสิ่งโสโครก “เฮอะ!” ในที่สุดซูหวานหว่านก็ทนไม่ไหว หัวเราะเยาะออกมา “หากข้าเป็นวิญญาณชั่วร้ายจริง ข้าคงจะฆ่าพวกเจ้าตายไปนานแล้ว! แล้วทำไมข้าจะต้องทำงานหนักเพื่อพัฒนาหมู่บ้านของเรา รับซื้อวัตถุดิบ ให้พวกเจ้านำต้นพริกไปปลูก ข้าทำแบบนี้ไปเพื่อใคร!!”

คาดไม่ถึงเลยว่าพวกชาวบ้านจะเป็นคนเห็นแก่ตัวขนาดนี้!

ซูหวานหว่านรู้สึกหงุดหงิดมาก ตอนนี้ภายในจิตใจของนางนั้นสับสนวุ่นวายไปหมด พยายามข่มความรู้สึกเอาไว้ ทำให้ได้รับบาดเจ็บภายใน จนอาเจียนออกมาเป็นเลือดในทันที นักบวชที่เห็นเช่นนั้นก็พูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ดูสิ ! นางได้รับบาดเจ็บเพราะดาบของข้าเลยอาเจียนออกมาเป็นเลือด!”

นักบวชอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวเสริม “มีเพียงความชั่วร้ายเท่านั้นที่จะได้รับบาดเจ็บจากดาบนี่! ใช่แล้ว นางเป็นวิญญาณที่ชั่วร้ายจริง ๆ!”

“…”

พวกคนไร้ยางอาย! แอบอ้างคำพูดนี้ได้อย่างไร! แล้วยังกล้าบอกว่าดาบตัวเองศักดิ์สิทธิ์? ช่างน่าขำนัก! ซูหวานหว่านหัวเราะอย่างประชดประชัน นางเช็ดเลือดที่มุมปากของตัวเองแล้วจำสิ่งที่คนเหล่านี้ทำเอาไว้ในใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “หากข้าเป็นวิญญาณชั่วร้ายจริง ข้าจะทำอย่างไรกับพวกเจ้าดี?” ซูหวานหว่านเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ มีเพียงนางเท่านั้นที่รับรู้ถึงความเจ็บปวด

เหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นนางพูดแบบนี้ก็ยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้น พวกเขาพูดกับนักบวชว่า “ท่านนักบวช ท่านจะต้องช่วยพวกเราขับไล่วิญญาณชั่วร้ายตนนี้นะ! ท่านคิดว่าพวกเราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี?”

นักบวชคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาคิดแผนชั่วเหล่าเอาไว้แล้ว แต่ก็กลัวเล็กน้อยว่าหากซูหวานหว่านตายไปจะตามมาหลอกหลอนตน ไม่นานนักเขาก็คิดวิธีที่ไม่เลวทรามมากจนเกิดไปออกมาได้ ว่าแล้วก็จับคางตัวเองแล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “วิญญาณชั่วร้ายในร่างสตรีนางนี้แข็งกล้ามา แน่นอนว่าวิธีการธรรมดา ๆ อาจจะควบคุมนางไม่ได้! พวกเจ้าจะต้องจับนางเอาไว้ แล้วเอานางใส่เข้าไปในกรงหมู แช่ในน้ำเป็นเวลา 49 วัน และวิญญาณชั่วร้ายในร่างกายของนางก็ค่อย ๆ จะหายไป”

ขังกรงหมูเหรอ? แล้วแช่น้ำ 49 วัน! เขากะจะไม่ให้นางมีชีวิตอยู่รอดเลยรึไง!

ซูหวานหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปที่นักบวชพร้อมกับพูดว่า “ขอโทษนะ ท่านนักบวช ท่านจะไม่เป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมมากไปหน่อยหรือ? หากข้าเป็นวิญญาณชั่วร้ายจริง ๆ แล้วร่างของนางล่ะ? นางยังมีชีวิตอยู่ได้! ท่านไม่ให้ทางรอดกับนางเลยหรือยังไงกัน?”

“เอ่อ…” นักบวชคนนั้นตกตะลึงลืมคิดถึงเรื่องนี้ไป พอคิดขึ้นมาได้เขาก็พูดออกมาอีก “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกรึ! วิญญาณของเจ้าของร่างนี้ถูกเจ้ากลืนกินไปหมดแล้ว! เจ้าบังคับใช้ร่างกายของนางและครอบครอบงำนางเอาไว้! หากฆ่าเจ้าได้ เจ้าของร่างจะต้องขอบคุณพวกเราอย่างแน่นอน!”

แม่เจิ้นที่ได้ยินว่าลูกสาวตัวจริงได้ตายไปแล้ว นางจึงพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พร้อมกับกัดฟันของตัวเอง แล้วพูดออกมาว่า “ลูกสาวข้าตายไปแล้ว งั้นก็ฆ่านังวิญญาณชั่วร้ายนี่เสียเถอะ! เพราะยังไงนางก็เป็นวิญญาณที่ชั่วร้าย! นางไม่ใช่ลูกสาวของข้า!”

“ท่านแม่…”

เพี้ยะ!

ซูหวานหว่านเอ่ยออกมา ยังไม่ทันที่จะพูดจบประโยคนางก็ถูกแม่เจิ้นตบเข้าที่ใบหน้า

“เจ้าไม่คู่ควรที่จะมาเรียกข้าว่าแม่!” แม่เจิ้นกำลังจะตบหน้าซูหวานหว่านอีกครั้ง แต่กลับถูกใครบางคนคว้าจับมือเอาไว้ จึงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

“ท่านตบภรรยาของข้าทำไม?” ฉีเฉิงเฟิงพูดด้วยความเย็นชา

แม่เจิ้นเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นฉีเฉิงเฟิงที่เพิ่งลงมาจากบนเขา นางจึงบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นทุกอย่างให้กับฉีเฉิงเฟิงได้รับรู้ แต่ใครจะคาดคิดว่าฉีเฉิงเฟิงกลับพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “เหตุใดพวกท่านถึงโง่งมเช่นนี้! หากภรรยาของข้าเป็นวิญญาณชั่วร้ายจริง ทำไมพวกท่านถึงยังมีหัวอยู่ที่บ่ากัน!?”

พวกชาวบ้านไม่สนใจฟังคำพูดของชายหนุ่ม และพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของซูหวานหว่าน

ฉีเฉิงเฟิงส่ายหัวอีกครั้ง พร้อมกับจับมือของซูหวานหว่านและพูดออกมาว่า “คนที่นี่มีแต่คนจิตใจชั่วช้าสกปรก ข้าที่เป็นสามีไม่อยากทำให้เจ้าลำบากใจ ข้าจะพาเจ้าออกไปให้ไกลจากที่นี่ ดีหรือไม่?”

ซูหวานหว่านจับฝ่ามือที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของฉีเฉิงเฟิงก็รู้สึกสงบขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยตอบ “ตกลง”

หลังจากนั้น เขาก็จับมือของซูหวานหว่านและเดินออกไป เมื่อเห็นแผ่นหลังของทั้งสองเดินออกไป เด็กสาวในชุดสีชมพูที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ ก็รู้สึกฉุนเฉียว ในใจของนางเต็มไปด้วยโทสะและสาปแช่งออกมา หากซูหวานหว่านเห็นนางเข้าจะต้องจำได้ทันทีว่าเด็กสาวคนนั้นคือซูเสี่ยวเหยียนที่หายตัวไป!

เมื่อนึกถึงคำสั่งของนายจ้าง นักบวชคนหนึ่งก็รีบตะโกนออกมาทันที “อย่าปล่อยซูหวานหว่านไป! วิญญาณชั่วร้ายตนนั้นทรงพลังมาก ในตอนกลางคืนวิญญาณจะออกจากร่างและเข้ามาในหมู่บ้านมาทำร้ายพวกเจ้าได้ ถึงเวลานั้นคนทั้งหมู่บ้านจะเสียชีวิตและได้รับภัยอันตราย!”

“อะไรนะ? มีแบบนี้ด้วยรึ! เช่นนั้นอย่าปล่อยให้ซูหวานหว่านหนีไปได้!”

“…”

ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงที่ได้เดินเคียงข้างกันอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังลอยมาตามลม หญิงสาวหันไปพบว่าเป็นก้อนหินที่ปาพุ่งเข้ามาหาศีรษะของฉีเฉิงเฟิงหลายก้อน!

นางดึงฉีเฉิงเฟิงให้หลบก้อนหินเหล่านั้น ทว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงทั้งหมดได้

ฉีเฉิงเฟิงที่กลัวว่าซูหวานหว่านจะได้รับบาดเจ็บ เขาก็ได้ดึงตัวของนางเข้าไปไว้ในอ้อมแขนของตนเอง เช่นเดียวกับตอนนั้นที่นางโดนไข่เน่าและผักเน่าปาใส่ เขายังคงปกป้องนางเอาไว้จนถึงที่สุด ถึงแม้ว่าตัวเองจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม

ซูหวานหว่านเงยหน้าขึ้นมองและเห็นว่าผมของฉีเฉิงเฟิงนั้นยุ่งเหยิงมาก หน้าผากของเขาโดนก้อนหินปาจนแตก! หญิงสาวรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก นางเอ่ยขึ้น “ยินดีกับพวกเจ้าด้วย ตอนนี้ข้าได้หมดความอดทนกับพวกเจ้าทุกคนแล้ว!”