ตอนที่ 160 โดนครอบครัวหักหลัง

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 160 โดนครอบครัวหักหลัง

พวกเขาคิดว่านางเป็นแมวป่วยหรืออย่างไร? นางจะต้องสั่งสอนคนพวกนี้ให้รู้สำนึก!

ซูหวานหว่านพร้อมจะระเบิดอารมณ์ตลอดเวลา แต่ฉีเฉิงเฟิงกังวลเล็กน้อยว่าหญิงสาวจะทำอะไรกับพวกเขาจึงปิดตาของนางเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับมือของนางเอาไว้แน่น และกระซิบออกมาแผ่วเบา “เจ้าไม่ต้องกลัว อย่าโกรธไปเลย เดี๋ยวพวกเราก็จะไปจากที่นี่แล้ว”

“เฮอะ! พวกเจ้ายังคิดหนีไปอีกอย่างงั้นรึ? ข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟัง ตอนนี้พวกเจ้าไปไหนไม่ได้แล้ว!” ชาวบ้านคนหนึ่งไล่ตามมา พร้อมกับกางแขนออกขวางทางพวกเขาเอาไว้แล้วพูดต่อว่า “คุณชายฉี ข้าเคารพและนับถือเจ้าที่คอยช่วยเหลือหมู่บ้านของเรามาโดยตลอด ข้าจะให้โอกาสเจ้าให้มีชีวิตรอดอีกครั้ง! ปล่อยตัวซูหวานหว่านมาเสีย แล้วเจ้าก็เดินออกไปจากที่นี่ได้!”

ให้เขาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวงั้นรึ? เช่นนั้นจะมีความหมายอะไร ฉีเฉิงเฟิงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “ทุกท่าน ภรรยาของข้าเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย อ่อนโยน ซื่อสัตย์ และใจกว้าง นางจะเป็นวิญญาณที่ชั่วร้ายได้อย่างไรกัน? เพียงฟังแค่ข่าวลือแล้วปฏิบัติกับพวกเราแบบนี้ มันไม่เกินไปหน่อยรึ?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของซูหวานหว่านก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา พลันใดนั้นหญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนบริเวณข้างแก้มของนาง ซูหวานหว่านจึงดึงมือของฉีเฉิงเฟิงออก ดวงตาเห็นบาดแผลตรงหน้าผากของชายหนุ่มที่มีเลือดไหลหยดลงมา สัมผัสอุ่นร้อนเมื่อครู่ที่นางสัมผัสถึงคือเลือดของฉีเฉิงเฟิง!

ซูหวานหว่านจับมือของฉีเฉิงเฟิงที่โอบเอวของตัวเองเอาไว้ออก หญิงสาวมองไปยังชาวบ้านที่กำลังจ้องมองมายังนาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “ทุกท่าน ในเมื่ออยากฆ่าข้า ก็รีบเข้ามาตอนนี้เลย!”

พูดจบซูหวานหว่านมองหินก้อนใหญ่ที่อยู่ในมือของชาวบ้านก่อนจะวิ่งเข้าไปเตะหินในมือของเขาจนลอยกระเด็นไปไกล จากนั้นก็วาดเท้าเตะตัดขาชาวบ้านคนนั้นทำให้เขาล้มลงกับพื้นและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ชาวบ้านที่เหลืออยู่ในอาการแตกตื่นไม่รู้ว่าจะวางหินที่อยู่ในมือลงหรือจะโยนมันทิ้งไปดี

นักบวชคนเดิมเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ทุกคนดูมันสิ! วิญญาณร้ายมันโกรธแล้ว! ทุกคนรีบเข้าไปจัดการนางซะ!”

ทุกคนต่างตกอยู่ในอาหารหวาดผวา ใครจะกล้าเดินเข้าไปกัน!

ดังนั้นพวกเขาจึงทำแค่ขว้างก้อนหินที่อยู่ในมือของตัวเองใส่ซูหวานหว่าน!

ซูหวานหว่านจะต้านทานก้อนหินจำนวนมากได้อย่างไรกัน! ตอนนี้ร่างกายของนางเต็มไปด้วยฝุ่นและบาดแผล หญิงสาวเริ่มทนไม่ไหวและตะโกนอย่างเคียดแค้น “พวกเจ้าเป็นคนเริ่มก่อนนะ!!”

นางหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้าง ๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใครขึ้นมา นางปรี่เข้าไปหาชาวบ้าน ใช้ไม้กวาดนี้เปรียบเสมือนดาบแหลมคม หญิงสาวใช้ไม้กวาดด้วยความเชี่ยวชาญ ทั้งแม่นยำและไร้ความปรานี

ชาวบ้านถูกซูหวานหว่านไล่ทุบตีจนล้มลงกับพื้นทีละคน สิ่งนี้ยิ่งทำให้พวกเขามั่นใจว่านางเป็นวิญญาณชั่วร้าย ไม่เช่นนั้นหญิงสาวที่ไหนจะแข็งแกร่งและมีแรงเยอะขนาดนี้!

“ลุกขึ้นมา พวกเราจะต้องจับนางให้ได้!” นักบวชยังคงตะโกนต่อไป

ซูหวานหว่านฟาดไม้กวาดนั้นลงบนปากนักบวชต้มตุ๋น รอยเลือดช้ำแดงปรากฏขึ้นหลายจุด นักบวชผู้นั้นตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก เมื่อเห็นแม่เจิ้นที่ยืนอยู่ไกล ๆ เขาก็รีบวิ่งไปหลบด้านหลังนางทันที แม่เจิ้นรีบเหยียดแขนตัวเองออกมาขวางซูหวานหว่านเอาไว้ พร้อมกับพูดว่า “เจ้าวิญญาณร้าย! อย่ามาหยิ่งผยองให้มันมากนักนะ!”

ซูหวานหว่านวางไม้กวาดลงจ้องมองไปที่แม่เจิ้นด้วยสายตาที่ว่างเปล่า แววตาแฝงไปด้วยความโกรธและคับข้องใจ

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางกลายเป็นวิญญาณร้าย เมื่อไรกันที่แววตาอันเต็มไปด้วยความเมตตาแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังและหวาดกลัว ตั้งแต่เมื่อไรกัน!?

เมื่อนักบวชปลอมเห็นว่าแม่เจิ้นสามารถหยุดยั้งซูหวานหว่านเอาไว้ได้ จึงรีบเอ่ยออกมา “แม่เจิ้น วิญญาณชั่วร้ายตนนี้มีความรู้สึกต่อท่าน ท่านควรรีบกำจัดนางจะเป็นการดีที่สุด ท่านสั่งให้นางไปแช่ในกรงหมูนั้นอย่างเต็มใจด้วยตนเองเสีย”

สิ่งนี้ไม่ใช่เป็นการขอให้นางส่งซูหวานหว่านไปตายด้วยมือของตนเองหรือ! แม่เจิ้นตกตะลึงไปชั่วขณะ ความลังเลฉายชัดในแววตาของนาง

ชาวบ้านที่เพิ่งถูกซูหวานหว่านฟาดล้มลงไปนอนกับพื้น เมื่อได้ยินสิ่งที่นักบวชพูดออกมาพวกเขาก็กลับมามีเรี่ยวแรงอีกครั้ง พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า “แม่เจิ้น เร็วเข้า! ซูหวานหว่านจะต้องฟังสิ่งที่เจ้าบอกเป็นแน่! นางจะต้องเต็มใจอย่างแน่นอน!”

“ใช่แล้ว! เจ้ายังมัวคิดอะไรอยู่อีก? ในตอนนี้ซูหวานหว่านเป็นศัตรูคนเดียวกับหมู่บ้านของพวกเรา! เจ้าสั่งให้นางไปตาย ก็เพื่อผลประโยชน์หมู่บ้านของพวกเรา!”

“…”

ผลประโยชน์? นี่มันเป็นการหลอกลวงชัด ๆ! ซูหวานหว่านยิ้มอย่างเย็นชา หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวด มองไปที่มารดาด้วยความหวังอันน้อยนิด “ท่านแม่ ท่านอยากให้ข้าตายจริง ๆ อย่างงั้นหรือ?”

สายตาของซูหวานหว่านร้อนผ่าว นางจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอนขอความเมตตา แม่เจิ้นรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา อีกทั้งแรงกดดันจากคำพูดของชาวบ้านทำให้นางเอ่ยออกมา “ซูหวานหว่าน! ตอนนี้ข้ารู้ความจริงแล้วว่าเจ้าเป็นวิญญาณชั่วร้าย เจ้าคงเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติ จึงมายืมร่างของลูกสาวข้าในการเกิดใหม่อีกครั้ง แต่อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกของข้ามาหลายเดือน เจ้าปล่อยข้าไปเถอะ! เจ้าแค่…ฟังข้าสักครั้ง เจ้าให้ความร่วมมือกับท่านนักบวชกลุ่มนี้แล้วลงไปแช่กรงหมูเถอะ หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่หลังจากผ่านไปแล้ว 49 วัน ข้าจะยังคงเป็นแม่ของเจ้าอยู่! เจ้าจะว่าอย่างไร?”

กล่าวจบนางก็คุกเข่าลงต่อหน้าของซูหวานหว่าน “ข้าขอร้องเจ้าล่ะ! เจ้าช่วยตอบตกลงเถอะนะ! หากเจ้าตาย หมู่บ้านของเราจะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง!”

หัวใจของซูหวานหว่านเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อมองไปที่มารดา ดวงตาของนางพร่ามัวไปด้วยน้ำตา “ท่านคิดว่าข้าจะมีชีวิตอยู่หลังจากผ่านไป 49 วันอย่างงั้นหรือ? หากข้ามีชีวิตอยู่จริง ข้าจะเป็นลูกสาวของท่านต่อไปได้อย่างไรกัน?!”

ซูหวานหว่านหลับตาลงพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลลงมา “ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านขอร้อง”

หลังจากนั้นซูหวานหว่านก็คุกเข่าตรงหน้าของแม่เจิ้น และค่อย ๆ ทำความเคารพสองครั้ง “ครั้งที่หนึ่ง ขอบคุณสำหรับความเมตตาของท่านในการเลี้ยงดูอุปการะข้ามา ครั้งที่สอง ถือว่าเราตัดความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก หลังจากนี้ต่อไปไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือว่าจะตาย จะร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ว่าโชคชะตาจะเป็นอย่างไร ท่านกับข้านั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป!”

สมาชิกของตระกูลซูคนอื่น ๆ มองดูด้วยความงุนงง กัดริมฝีปากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา แม้แต่แม่เฒ่าเจี๋ยและตาเฒ่าซูก็วิ่งออกมาดูด้วยความตื่นเต้นนี้ เห็นท่าทางจนตรอกของซูหวานหว่านก็พูดติดตลกขึ้นมาทันที “ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าเห็นสายตาของเจ้าที่ไม่เป็นมิตร! ที่แท้ก็คือวิญญาณร้าย! ถุย!”

พูดจบพวกเขาก็ยังถ่มน้ำลายออกมาแล้วเดินไปยืนข้าง ๆ กับซูต้าเฉียง ในสถานการณ์ตอนนี้ทุกคนต่างร่วมใจกันขับไล่นาง

ซูหวานหว่านยิ้มเยาะ “พวกเจ้าอย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”

หลังจากนั้นนางก็นั่งลงบนก้อนหินข้าง ๆ และมองดูการกระทำของทุกคน แล้วพูดออกมาว่า “พวกเจ้าไม่อยากเห็นข้าตายอย่างงั้นหรือ? เร็วเข้าสิ!”

มีคนเร่งให้ตัวเองตายได้ด้วยหรือไร! ชาวบ้านทุกคนต่างก็มองไปที่ซูหวานหว่าน ส่วนนักบวชก็เร่งเร้าพวกชาวบ้าน ทำให้พวกชาวบ้านหลายคนที่เลี้ยงหมูก็วิ่งไปที่บ้านของพวกเขาแล้วเลือกกรงหมูที่เหมาะกับให้กับซูหวานหว่าน

ฉีเฉิงเฟิงมองไปที่ซูหวานหว่าน ดวงตาของเขามองสำรวจรอบ ๆ และค่อย ๆ เดินไปหยุดอยู่ข้างนาง “พวกเรารีบหนีกันเถอะ เจ้าวิ่งหนีไปก่อน แล้วข้าจะสกัดด้านหลังให้”

“ไม่” ซูหวานหว่านมองดูชาวบ้านที่กำลังเตรียมการ จากนั้นจึงเหลือบมองทุกคนในตระกูลซูแล้วพูดออกมาว่า “นี่เป็นโอกาสในการตัดความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับพวกเขา”

หลังจากนั้น ซูหวานหว่านก็มองดูฉีเฉิงเฟิงด้วยแววตาปลอบโยน หญิงสาวจับมือของเขาและยัดกระดาษเข้าไป พร้อมกับกระซิบว่า “เจ้ายังจำตอนที่เจ้าถูกผลักลงมาจากภูเขาได้อยู่หรือเปล่า? นั่นคือ…”

ซูหวานหว่านกระซิบไปที่หูของฉีเฉิงเฟิงและบอกความลับของนางให้เขาฟัง ฉีเฉิงเฟิงจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมา แต่เขาก็ไม่สามารถทนดูพวกชาวบ้านทรมานซูหวานหว่านได้ เมื่อเขากำลังจะพูดอะไรออกไป เขาก็ถูกชาวบ้านจับตัวเอาไว้ นักบวชจึงออกคำสั่งทันที “จับตัวเขาเอาไว้ให้แน่น! อย่าปล่อยให้เขามาสร้างปัญหาได้!”

ซูหวานหว่านส่งสายตาให้กับฉีเฉิงเฟิงอีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มกลับไม่ได้สนใจชาวบ้านที่ลากเขาเข้าไปในห้องหอของตัวเอง ซึ่งการกระทำของเขาต่อจากนั้นก็ทำให้ชาวบ้านต่างตกใจ ฉีเฉิงเฟิงนั้นยอมเดินไปง่าย ๆ! เช่นเดียวกับซูหวานหว่านที่ก็ยอมเดินไปที่แม่น้ำด้วยตัวเอง!

และเดินเข้าไปในกรงหมู!

บรรยากาศช่างแปลกประหลาด ทุกคนต่างมองหน้ากันและกำลังจะช่วยกันดันซูหวานหว่านเข้าไปในกรงหมู ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”