เหล่าชาวบ้านหันไป และก็พบว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านที่ถือห่อผ้าเล็กใหญ่เดินเข้ามา!

ท่าทางของหัวหน้าหมู่บ้านเหมือนกับเพิ่งกลับมาจากในเมือง!

คนที่อยู่ข้างหลังของหัวหน้าหมู่บ้านก็คือหลี่ฉือโทวคนขับเกวียนวัว เขาพูดออกมาว่า “พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน ปล่อยแม่นางซูเดี๋ยวนี้!!”

ชาวบ้านจึงเล่าเรื่องที่ซูหวานหว่านเป็นวิญญาณร้ายให้พวกเขาฟัง และเมื่อหัวหน้าหมู่บ้านฟังจบ สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “อะไรร้ายแรง? อะไรคือวิญญาณชั่วร้าย ? ไร้สาระทั้งนั้น! หากข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้! พวกเจ้าปล่อยแม่นางซูเดี๋ยวนี้!”

ชาวบ้านทุกคนต่างไม่พอใจ มีหนึ่งในพวกเขาพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ท่านจะให้คนทั้งหมู่บ้านต้องทนทุกข์ทรมานจากวิญญาณชั่วร้ายนี้รึ! มันไม่ใช่เรื่องแล้ว! เราจะไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ท่านพูด ท่านดูสิว่าตอนนี้ท่านเหมาะสมจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้านอย่างงั้นรึ!”

พวกเขากล้าพูดแบบนี้กับเขาเชียวเหรอ!? หัวหน้าหมู่บ้านโกรธจัดพร้อมกับพูดออกมา “พวกเจ้า…”

“ท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้าน” ซูหวานหว่านเอ่ยออกมา มองไปยังหัวหน้าหมู่บ้านและหลี่ฉือโถว “พวกเขากำลังจะกระทำการชั่วร้าย แน่นอนว่าสวรรค์รับรู้ทุกอย่าง! พวกท่านอย่าห้ามเลย เดี๋ยวจะได้รับบาดเจ็บไปเปล่า ๆ เจ้าค่ะ”

ซูหวานหว่านกล่าวขอบคุณออกมาอีกครั้ง “ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ลุงหลี่ แปลงพริกของท่านเติบโตแล้ว ท่านสามารถนำมันไปขายที่ร้านอาหารเจวียเซ่อได้และแจ้งเป็นชื่อข้า แน่นอนว่าผู้ดูแลหลิวจะให้ราคารับซื้อที่สูงขึ้น”

ซูหวานหว่านที่กำลังจะตายแต่ก็ยังนึกถึงพวกเขา! นางจะเป็นวิญญาณชั่วร้ายได้อย่างไรกัน? หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกว่าพวกชาวบ้านไร้สาระ และเขาไม่ต้องการให้ซูหวานหว่านถูกทำร้ายจนตาย จึงวางของที่อยู่ในมือลง แล้วเดินเข้ามาทันที “แม่นางซู หากพวกเขาไม่ยอมปล่อยเจ้าออกมา งั้นข้าจะเป็นคนปล่อยเจ้าออกมาเอง!”

พูดจบหัวหน้าหมู่บ้านก็เอื้อมมือมาเปิดกรงหมู พวกชาวบ้านที่เห็นแบบนี้ก็พากันตื่นตระหนกแล้วรีบวิ่งไปหานักบวชซึ่งยืนมองเห็นเหตุการณ์อยู่ จากนั้นก็เป็นนักบวชคนนั้นที่ส่งเชือกให้ชาวบ้านมัดหนึ่ง “เอานี่ไป! ไปมัดหัวหน้าหมู่บ้านของพวกเจ้าเอาไว้!”

ก่อนจะเหลือบมองไปทางหลี่ฉือโทว “จับเขาเอาไว้ด้วย! จะได้ไม่ต้องมีใครมาขัดขวาง”

เมื่อเห็นทั้งสองถูกมัดและจับลากออกไป ซูหวานหว่านที่มองดูเหตุการณ์นั้นอยู่ก็ได้แต่รู้สึกเศร้าหมอง

นางอยู่ในกรงหมูไม่สามารถทำอะไรได้ นักบวชคนนั้นได้ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะติดยันต์สีเหลืองแล้วเอาไว้ที่กรงหมู และกำลังคิดจะขอให้ใครซักคนเตะกรงหมูที่ขังซูหวานหว่านเอาไว้ลงแม่น้ำ เขาส่งสายตาเยาะเย้ยให้ซูหวานหว่านพร้อมกับพูดว่า “ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว และข้ายังคงต้องการความช่วยเหลือจากพวกเจ้าอยู่ ข้าขอให้ทุกคนหาก้อนหิน เอามันใส่ไว้ในกรงหมูเพื่อที่วิญญาณชั่วร้ายนี้จะได้จมลงไป วิธีการนี้วิญญาณร้ายจะได้ไม่มีชีวิตรอด ซึ่งพวกเจ้าอย่าได้กลัวไป เพราะอักขระบนยันต์จะคอยปกป้องและจัดการนางเอง!”

ความโกลาหลเกิดขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างหยิบก้อนหินแล้วเอาไปวางไว้ ซึ่งคนที่เอามาวางได้รวดเร็วที่สุดคือแม่เจิ้น!

แม่เจิ้นหยิบหินก้อนใหญ่เอาไปปิดที่ปากกรงหมู พร้อมทั้งผลักมือของซูหวานหว่านออกไป นางยัดหินเข้าไปและพูดอธิษฐานด้วยแววตาเป็นกังวล “หากเจ้าตายไปแล้วก็อย่ามาหาข้า! ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้า!”

นางคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอจุดจบที่น่าสิ้นหวังแบบนี้!

ดวงตาของซูหวานหว่านพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตา นางร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวังและเริ่มหายใจไม่ออก พร้อมพูดกับแม่เจิ้นว่า “แม่เจิ้น งั้นท่านก็ช่วยบอกพวกเขาแทนข้าด้วย”

ชาวบ้านต่างก็พากันยัดหินเข้าไป จนในที่สุดกรงหมูก็เต็มไปด้วยหิน ..โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนผลักมันลงไปในน้ำ กรงหมูนั่นค่อย ๆ จมลง…

ชาวบ้านแช่กรงหมูในจุดที่ลึกที่สุดของแม่น้ำในหมู่บ้าน ด้านล่างของน้ำเย็นยะเยือก ท้องฟ้ามืดสนิท ซูหวานหว่านเริ่มหายใจไม่ออก ขยับฝ่ามือเบา ๆ แล้วพยายามผลักก้อนหินออกไป หินก้อนเล็ก ๆ ที่ข้างตัวนางก็ค่อย ๆ เคลื่อนออก แต่ว่ากรงหมูนั้นมันแน่นเกินไป ทำให้นางไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

หลังจากแช่อยู่ใต้น้ำไม่ถึงหนึ่งเค่อ ซูหวานหว่านเริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะจนแทบทนไม่ไหว และอยากจะเข้าไปอยู่ในมิติฟาร์ม แต่หลังจากที่เข้าไปในมิติฟาร์มได้แล้วก็ยังพบว่านางยังมีอาการเวียนหัวอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

ดูเหมือนหลิงเชอจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาออกมาจากกระท่อมทันทีพร้อมกับพูดตำหนิว่า “เจ้าบ้าน ร่างกายของท่านอ่อนแอมาก และท่านสามารถเข้ามาในมิติฟาร์มได้เพียงแค่จิตวิญญาณเท่านั้น หากท่านอยากให้ร่างของท่านเข้ามาในมิติฟาร์มด้วย จะต้องใช้คะแนนครั้งละหนึ่งแสนคะแนน ถึงจะเข้ามาในมิติฟาร์มได้!”

แต่ว่าคะแนนของนางนั้นมีไม่ถึงหนึ่งแสนคะแนน!

ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว แล้วพูดออกมาว่า “มีวิธีอื่นอีกหรือไม่?”

“ไม่มีแล้ว” หลิงเชอส่ายหัวและเงียบไป

บรรยากาศในตอนนี้ตกอยู่ในความเงียบงัน

ซูหวานหว่านมองไปที่หลิงเชอ นางมองเห็นหลิงเชอที่อยู่ตรงหน้านั้นมีสามคน หญิงสาวกำลังเกิดอาการประสาทหลอน นางต้องออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง หากแต่ยังไม่ทันออกไปอาการวิงเวียนศีรษะก็ทำให้นางสลบไป!

“ซูหวานหว่าน!” หลิงเชอเอ่ยออกมาอย่างตื่นตระหนก เขาอุ้มซูหวานหว่านที่ล้มลงขึ้นมา พร้อมคิดว่าจะช่วยนางอย่างไรดี เพราะเขาก็ทำอะไรไม่ได้

ด้วยร่างของเขาเอง เขาไม่สามารถออกไปได้!

และร่างของซูหวานหว่านก็เข้ามาไม่ได้เช่นกัน!

ทำไมสถานการณ์ตอนนี้มันย่ำแย่ถึงเพียงนี้!

เขาจะปล่อยให้ซูหวานหว่านตายไม่ได้!

หลิงเชอยกมือขึ้นลูบใบหน้าของซูหวานหว่านและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ในที่สุดข้าที่รอเจ้ามาเป็นเวลาพันปี เจ้าก็ปรากฏตัวขึ้น และมันก็ไม่ง่ายที่ข้าจะสามารถปรากฏตัวออกมาได้แบบนี้ ข้ายังต้องมาทนเจ็บปวดจากการพลัดพรากอีกแล้วรึ?”

หลิงเชอหลับตาลง เงยหน้าขึ้นและอ้าปากกว้าง ริมฝีปากสีแดงสดของเขาค่อย ๆ หายไป เม็ดยาสีเขียวผุดขึ้นมาจากปากของเขาแทน จากนั้นก็ระเบิดกลายเป็นฝุ่นผงกระจายเต็มท้องฟ้า จำนวนคะแนนในมิติฟาร์มที่สามารถมองเห็นได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงหนึ่งล้านคะแนน!

หลิงเชอมองไปยังซูหวานหว่านด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ พร้อมทั้งเอ่ยว่า “เจ้าเป็นหนี้บุญคุณข้าอย่างมากในครั้งนี้ เจ้าปล่อยให้ข้ารอเจ้ามาเป็นเวลาพันปี แต่ตอนนี้เจ้าก็ให้ข้ารอเจ้าอีกพันปี เจ้านี่มันโหดร้ายจริง ๆ…”

ในขณะที่พูด ร่างกายของหลิงเชอก็ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นโปร่งใส สิ้นเสียงของเขาสายลมอันหนาวเหน็บก็พัดผ่าร่างกายของเขาจนมันแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ!

เสื้อผ้าของซูหวานหว่านเปียกโชกไปด้วยน้ำ ตอนนี้ร่างกายของนางเข้ามาอยู่ในมิติฟาร์มเรียบร้อยแล้ว

จิ้งจอกน้อยสามตัวใช้ใบไม้รองน้ำและให้เหล่านกป้อนใส่ปากของซูหวานหว่าน ไม่นานนักหญิงสาวก็รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา หากแต่สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งขาดหายไป ด้วยไม่ว่านางจะตะโกนเท่าไรหลิงเชอก็ไม่ปรากฏตัวออกมา

จิ้งจอกตัวน้อยบอกซูหวานหว่านถึงเรื่องที่หลิงเชอใช้ร่างกายตนเองแลกเปลี่ยนกับคะแนน ทำเอาหญิงสาวนิ่งงัน หัวใจของนางพลันว่างเปล่า

เมื่อคิดจะออกไปก็นึกขึ้นมาได้ว่าหากออกไปนางจะไปโผล่อยู่กลางน้ำ ตอนนี้ร่างกายของนางยังอ่อนแอจึงต้องอยู่ในมิติฟาร์มให้ร่างกายได้พักฟื้นเสียก่อน ครั้งเมื่อนึกย้อนไปถึงกลุ่มชาวบ้าน นางก็รู้สึกขุ่นเคือง

ในเวลานี้ ฉีเฉิงเฟิงที่โดนขังอยู่ในห้องก็ได้ยินเสียงที่มีความสุขของพวกชาวบ้านที่เดินกลับมา เปลือกตาของเขากระตุกถี่ก่อนจะรู้สึกโล่งใจอีกครั้ง ชายหนุ่มเปิดกระดาษในมือของตนและพบว่าซูหวานหว่านได้ขอให้เขาไปรอนางที่ปลายน้ำ แต่ว่า…

หลังจากที่ฟังสิ่งที่ชาวบ้านพูดกัน กรงหมูนั้นถูกยัดด้วยก้อนหินจำนวนมาก แน่นอนว่าซูหวานหว่านไม่สามารถออกมาได้แน่ ๆ

ฉีเฉิงเฟิงเกิดอาการตื่นตระหนกทันที เก็บกระดาษไว้ในแขนเสื้อของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มค้นหาผ้าโพกศีรษะผืนโปรดของซูหวานหว่านที่อยู่ในห้อง ยัดมันเข้าไปในแขนเสื้อของตัวเองและออกจากห้องไปทันที แต่พอเปิดประตูออกมากลับมีหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู!

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ซูหวานหว่านงั้นเหรอ?