บทที่ 64.2 ใครว่าฆ่าคนต้องยืมดาบคนอื่น? (2)

สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2

พ่อบ้านสวีเห็นสองพี่น้องวางท่าแล้วก็ใจหวิวๆ แต่ได้เพียงดึงหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านอ๋องไม่ได้สติหลายวันแล้ว ท่านหมอในเมืองก็เที่ยวเสาะถามจนเกือบหมด ต่างก็จนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วขอรับ เฮ้อ!”

“ข้าเห็นท่านปู่หลับสบายดีนัก ไม่ฟื้นก็ไม่เห็นเป็นไร!” ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองเขาแล้วเอ่ยเบาๆ

สีหน้าของพ่อบ้านสวีพลันเปลี่ยนไป อ้าปากค้างแล้วจ้องหน้านางเหมือนเห็นผี ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่เชื่อว่า “ท่านหญิงกล่าวอะไรเช่นนั้น? นายท่าน…”

“พ่อบ้านสวีอยากให้ท่านปู่ฟื้นขึ้นมาจริงๆ รึ?” ฉู่สวินหยางกระตุกมุมปาก ไม่รอฟังเขาให้จบก็ตัดบทขึ้นมาก่อน

พ่อบ้านสวีเหมือนหาสมองไม่เจอ ปากก็หลุดตอบไปว่า “แน่นอนสิขอรับ!”

“เหอะ…” ฉู่สวินหยางยิ้มเยาะ ยืนมือไพล่หลังอยู่หน้าเตียงของฉู่ซิ่น เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “แต่ข้าคิดว่าเขาไม่มีความจำเป็นต้องฟื้นขึ้นมาอีกแล้วล่ะ”

พ่อบ้านสวีได้ฟัง ในอกก็พลันสะท้านไหว ซักไซ้ต่อด้วยท่าทีลุกลน “ท่านหญิงหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ?”

“หมายความว่าอย่างไร?” ฉู่สวินหยางสะบัดชายกระโปรง หมุนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านข้าง

ฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านหลังก้าวขึ้นมาที่หน้าเตียง มองสีหน้าชายสูงอายุที่นอนอยู่อย่างสงบ เอ่ยเสียงเย็นว่า “บางคนคิดอยากจะตาย เหตุใดข้าต้องไปขวางด้วยเล่า?”

หัวใจของพ่อบ้านสวีสั่นรัว อ้าปากคล้ายจะพูดบางอย่างแต่ไม่มีเสียงหลุดออกมา

ทันใดนั้น ฉู่ฉีเฟิงก็หันกลับมามองเขา ก่อนจะยื่นมือออกมา เอ่ยว่า “ยาแก้ล่ะ? ส่งมาสิ!”

พ่อบ้านสวีก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว มองเขาด้วยความหวาดระแวง เอ่ยด้วยความงุนงง “ข้าน้อยไม่…”

“อย่าบอกนะว่าไม่เข้าใจที่ท่านพี่พูด” ฉู่สวินหยางตัดบทเขาเสียงกร้าว สายตาไม่หันมา แต่กลับจ้องแสงอาทิตย์ที่สาดเข้ามาทางประตูใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยคล้ายใจไม่อยู่กับตัวว่า “เพื่อจะวางหมากกระดานนี้ ถือว่าท่านปู่เองก็ทุ่มสุดตัว ทำทุกอย่างด้วยหัวใจที่แน่วแน่? ในเมื่อเขาคิดจะเล่นบทเสียสละตัวเอง ข้ากับพี่ชายที่เป็นคนรุ่นหลังก็ควรจะส่งเสริมเขา มิใช่บอกว่าเขาถูกพิษรึ? ส่งยาถอนพิษออกมาสิ!”

น้ำเสียงของฉู่สวินหยางเบามาก แต่เพียงไม่ก็ประโยคก็ทำให้พ่อบ้านสวีเหงื่อตกได้

“ท่านหญิง…” น้ำเสียงของเขาเริ่มฟังโหวงเหวง บีบมือที่ชื้นเหงื่อตอบว่า “ท่านเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? เหตุใดท่านอ๋องกลายเป็นคนวางหมากได้เล่า? ท่านอ๋องเป็นผู้ถูกกระทำนะขอรับ เรื่องราวซับซ้อนเช่นนี้ก็ทำให้ข้าน้อยวุ่นวายไปหมดแล้ว”

ฉู่สวินหยางยกมุมปากขึ้น ทั้งๆ ที่มันควรจะเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่พอประดับอยู่บนดวงหน้านาง กลับดูหนาวเหน็บอย่างยิ่ง

สายตาของนางจ้องมองไปไกล ไม่คิดจะมองเขา นิ้วมือเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องอธิบายหรอก ข้าไม่ได้มาเจรจากับเจ้า และไม่ต้องการฟังข้อแก้ตัวใดๆ แต่ถ้าเจ้าส่งยาถอนพิษมา ข้าสามารถมอบความตายที่ไม่ทรมานให้ หรือไม่…”

นางจงใจหยุดกะทันหัน แล้วหันกลับไปมองฉู่ซิ่นที่อยู่บนเตียงอีกครั้ง “รอเจ้าตาย ก็ให้ยาถอนพิษถูกฝังกลบดินลงไปพร้อมกับเจ้า”

“ท่านหญิง…” สีหน้าของพ่อบ้านสวีแข็งทื่อ เปิดปากพูดอย่างติดๆ ขัดๆ

“ใช้ร้อยแปดพันวิธีล่อพี่ชายข้ากับฉู่ฉีเหยียนออกมา คิดจะฆ่าพวกเขา? ก็เพื่อให้ตัวเองขึ้นนั่งบัลลังก์อย่างราบรื่น กำจัดขวากหนามให้หมดสิ้นเสีย ฉู่ซิ่นวางแผนเช่นนี้ได้ก็ถือว่าทุ่มเทแรงไปไม่น้อยเลยจริงๆ” ฉู่สวินหยางพูดต่อว่า “ข้าไม่สนว่าเขาถูกมนตร์หรือว่าถูกพิษ ในเมื่อคิดจะใช้แผนเจ็บตัว ข้าย่อมส่งเขาให้เดินจนสุดทาง”

ระหว่างที่พูด สายตานางก็แปรเปลี่ยนเป็นความน่ากลัว

พ่อบ้านสวีพรั่นพรึงจนตัวสั่นไปหมด

ไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว ฉู่ฉีเฟิงก็โบกมือให้องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูแล้ว

องครักษ์สองนายเดินผ่านประตูเข้ามา

พ่อบ้านสวีพอจะมองออก จะพูดมากกับสองพี่น้องไปก็ไม่มีประโยชน์ หมุนตัวคิดจะกระโจนออกไปทางหน้าต่าง

สายตาฉู่ฉีเฟิงทอประกายเย็นวาบ ถีบเก้าอี้ใส่ทันที

เก้าอี้พุ่งใส่กลางหลังของพ่อบ้านสวีก่อนจะแตกกระจายเป็นชิ้นๆ พ่อบ้านสวีร้องครางเจ็บปวด กระอักเลือดออกมาก่อนจะฟุบลงบนพื้น

องครักษ์สองนายรีบเข้าไปจับตัวเขา

ข้ารับใช้ในลานต่างกรูเข้ามาเมื่อได้ยินเสียง พอเห็นภาพที่เกิดขึ้นต่างตะลึงและงงงวย เบิกตาโพลงจ้องหน้ากันไปมา

ฉู่ฉีเฟิงโบกมือไล่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “บ่าวผู้นี้กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ร่วมมือกับชาวหนานฮวาวางยารุ่ยชินอ๋อง คิดคดทรยศ ลากออกไปลงโทษเดี๋ยวนี้!”

“ไม่…” พ่อบ้านสวีร้องเสียงแหบพร่า คิดจะแก้ต่าง แต่ถูกฉู่ฉีเฟิงเตะใส่จนเจ็บหน้าอก น้ำเสียงที่หลุดมาจึงเบาแผ่วนัก ฟังแล้วจับความไม่ได้

องครักษ์ลากคนออกไปด้านนอก

ฉู่สวินหยางก็ลุกขึ้นเดินตามไป

ฉู่ฉีเฟิงรั้งกายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะจากมาก็หันไปมองฉู่ซิ่นที่สลบไสลอยู่บนเตียงด้วยสายตาลึกซึ้งและซับซ้อน จากนั้นก็หันไปสั่งข้ารับใช้ที่ออกันอยู่หน้าประตูอย่างขลาดกลัว “ดูแลท่านปู่ให้ดี!”

“เจ้าค่ะ ท่านชาย!” ทุกคนรีบออกเสียงรับคำ

ฉู่ฉีเฟิงไม่ชักช้า สะบัดชายเสื้อคลุมแล้วเดินจากไป

ฉู่ฉีเฟิงกับฉู่ฉีเหยียนมาถึงเมืองฉู่ได้ไม่กี่วัน เพราะสถานการณ์ศึกตึงเครียด สองคนจึงอาศัยอยู่ในค่าย ไม่ได้แวะเข้ามาในเมืองฉู่เลย

ออกจากจวนหลังนั้น ฉู่สวินหยางกับเขาก็ตรงออกนอกเมือง มุ่งหน้าไปที่ค่ายทหารฝั่งประตูทางใต้ของเมือง

บัดนี้สงครามกับชาวหนานฮวาได้สิ้นสุดลงแล้ว ฉู่ฉีเหยียนกำลังพาหลี่หลินไปยังค่ายต่างๆ เพื่อสะสางกิจของกองทัพ

ฝีเท้าของเขาก้าวอย่างรวดเร็วและมั่นคง สีหน้าเคร่งครึม ดูอย่างไรก็คล้ายว่าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก

ศึกครานี้ เพราะองค์รัชทายาทของหนานฮวาสังหารผู้นำก่อนรบ ทำให้ทัพทหารขวัญหนี ภายหลังเหลือเป็นกลุ่มมังกรไร้หัว ชาวหนานฮวาแม้จะไม่เจ็บหนัก แต่ก็เสียไพร่พลไปเกือบห้าพันนาย

ซีเยว่ทางนี้แม้จะเสียหายไม่แพ้กัน แต่เมื่อเทียบดูแล้วกลับดีกว่ากันมากโข

“ซื่อจื่อ?” ตอนที่กำลังตรวจนับอาวุธในคลัง หลังจากชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดหลี่หลินก็ตัดสินใจเรียกเขา

เห็นชัดว่าฉู่ฉีเหยียนกำลังใจลอย ขณะที่เหม่อมือก็จับอยู่ที่คมมีดของทวนยาวเล่มหนึ่ง พอได้ยินเสียงเรียก นิ้วจึงโดนบาดจนเป็นแผลเลือดออก

“ซื่อจื่อ!” หลี่หลินขมวดคิ้ว รีบล้วงยาห้ามเลือดออกจากอก

ฉู่ฉีเหยียนกลับไม่ยอมใช้ ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาพันที่แผล เสร็จแล้วก็เงยหน้ามองเขา “มีอะไร? เมื่อครู่เจ้าว่าไงนะ?”

“ไม่…” หลี่หลินมองเขาอย่างลังเล ก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังหยุดคิดอีกรอบว่า “ซื่อจื่อเป็นอะไรหรือขอรับ? ข้าน้อยเห็นท่านใจลอย ถ้าท่านเหนื่อยก็กลับไปพักที่กระโจมหลักก่อนเถอะขอรับ!”

แผลโดนบาดที่มือของฉู่ฉีเหยียนค่อนข้างลึก พอใช้ผ้าเช็ดหน้าพัน เลือดก็ซึมออกมาอย่างรวดเร็ว

—————————-