คิ้วของเขาขมวดแน่น หลุบตามองสักพัก ก็ตอบไม่ตรงคำถามว่า “สถานการณ์ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่หลินได้ยินก็ทำหน้าเคร่งขรึม ตอบเสียงเป็นการเป็นงานว่า “หลังจากคังจวิ้นอ๋องกลับจากเมืองชางก็ส่งคนไปล้อมจวนที่รุ่ยชินอ๋องพำนักอยู่เป็นอันดับแรก เห็นทีคงเตรียมชำระความกันแล้วขอรับ”
นึกถึงเรื่องราวในครั้งนี้ หลี่หลินก็อดถอนหายใจไม่ได้ พิจารณาอยู่สักพักก็เอ่ยถามต่อว่า “รุ่ยชินอ๋องวางแผนแยบยลนึกไม่ถึงว่าเขาคิดจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โชคดีที่ท่านหญิงสวินหยางตามมาทันแล้วก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น ไม่อย่างนั้น…เขาเอาแต่หลบอยู่หลังม่าน เป็นภัยต่อซื่อจื่อกับคังจวิ้นอ๋องยิ่งนัก น่ากลัวจะเป็นเรื่องร้ายมากกว่าดี”
สายตาฉู่ฉีเหยียนเย็นเยียบ มุมปากกลับกระตุกเป็นรอยยิ้มเยาะ “ข้าประมาทเกินไป”
พี่น้องที่ผูกพันลึกซึ้งกับฮ่องเต้ ขุนนางสายกลางที่ไม่เคยแก่งแย่งชิงดีทั้งชื่อเสียงและอำนาจ คนที่สวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้มาตลอดอย่างรุ่ยชินอ๋องฉู่ซิ่น? ใครจะคิดว่าในใจของเขากลับมีเจตนาร้ายซุกซ่อนอยู่?
แต่ละก้าวที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แต่ละหมากที่เดินอย่างรอบคอบรัดกุม…
นึกดูก็คงจะมีแต่รุ่ยชินอ๋องที่ฮ่องเต้คบหามาหลายสิบปีเท่านั้นที่จะคิดแผนไร้ช่องโหว่เช่นนี้ออกมาได้ ลากกรอบสงครามมายาวนาน แต่กลับไร้พิรุธโดยสิ้นเชิง
“เรื่องของหลัวอี้ตอนนั้นข้ายังนึกว่าตัวเองมีฝีมือล้ำเลิศ จนสกัดแผนของวังบูรพาเอาไว้ได้ ทั้งยังหลงชื่นชมดีใจกับตัวเอง ตอนนี้คิดๆ ดู ช่วงนั้นข้ากับวังบูรพาต่างก็ต่อสู้กันอย่างสุดกำลัง ในสายตาผู้อื่น ก็คงเป็นเรื่องน่าขบขัน” ฉู่ฉีเหยียนข่มตาแน่น มุมปากกระตุกเป็นยิ้มหยัน “เบื้องหลังมีจิ้งจอกเฒ่าร้อยเล่ห์แอบอยู่กลับไม่รู้ตัว ก็ไม่แปลกที่ข้ากับฉู่ฉีเฟิงจะถูกเขาหลอกจนหัวหมุนอยู่ในฝ่ามือ ตอนนี้มองย้อนไป เรื่องของหลัวอี้ก็คงเป็นเขาที่ผลักเรือตามน้ำ จงใจสนับสนุนเพื่อให้ข้าติดค้างหนี้น้ำใจเขา”
เขาพูดไป นัยน์ตาก็ค่อยๆ อ่อนลงตามไปด้วย นิ่งไปสักพักก็เอ่ยเสริมว่า “แต่ลองเทียบดูแล้ว องค์รัชทายาทคงต้องคับแค้นใจยิ่งกว่าข้าหลายเท่า ตอนนั้นเขาเป็นคนอยากให้ส่งรุ่ยชินอ๋องมาที่เมืองฉู่ สุดท้ายเขาเกือบต้องสังเวยชีวิตลูกทั้งสองคนแทน!”
ฉู่ซิ่น!
เหอะ…
หากจะวัดกันจริงๆ ในบรรดาคนทั้งหมด มีเพียงฉู่อี้อันที่ถือว่าพ่ายแพ้ให้เขาอย่างหมดรูป!
เป็นอาหลานกันมาหลายสิบปี องค์รัชทายาทผู้ปราดเปรื่องแห่งราชสำนักก็ยังพลาดท่าให้คนหน้าเนื้อใจเสื้อซึ่งไร้นามอย่างรุ่ยชินอ๋องได้
เรื่องนี้สำหรับฉู่ฉีเหยียนแล้ว อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
แต่ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ในใจเขากลับรู้สึกไม่เป็นสุข มันอึดอัดจนแน่นหน้าอกไปหมด
เขาเรียกสติคืนมา ก่อนจะมองไปที่หลี่หลิน เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ฉู่ฉีเฟิงทางนั้น…มีข่าวอะไรบ้างไหม?”
หลี่หลินชะงักไป ก่อนจะเข้าใจว่าเขาหมายถึงฉู่สวินหยาง
วันนี้เพื่อที่จะตามฉู่สวินหยาง เขาถึงกับหายตัวไปก่อนเปิดศึก นี่ไม่เหมือนนิสัยของซื่อจื่อของเขาเลยสักนิด
หลี่หลินว้าวุ่นใจ แต่ก็พยายามรักษาสีหน้าให้สุขุมแล้วตอบว่า “ตอนนี้ไม่มีขอรับ ก่อนหน้านี้สายเราส่งจดหมายมาให้ฉบับหนึ่ง บอกว่าคังจวิ้นอ๋องพาคนปีนหน้าผาลงไปตามหาแล้ว”
หน้าผานั้นทั้งชันและสูง ความหวังเดิมก็มีเพียงน้อยนิด
จุดนี้ใครต่างก็รู้แจ้ง แต่คิดว่าฉู่ฉีเหยียนไม่ต้องการฟัง หลี่หลินจึงไม่พูดมาก ก่อนจะรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ไม่ว่าอย่างไร วังบูรพาจะต้องลงมือกับจวนรุ่ยชินอ๋องแน่ พวกเราควรทำอะไรสักอย่างไหมขอรับ?”
“ดูไปก่อน!” ฉู่ฉีเฟิงตอบ กลับยกมือห้ามเขา
จากรูปการณ์ตอนนี้ เขายังไม่ได้เสียหายสาหัส แต่ที่ถูกฉู่ซิ่นหลอกเอาไว้อย่างไรก็ยังยากจะสงบใจลงได้
“ไปเถอะ กลับไปกระโจมใหญ่ก่อน!” เขาสูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมสติ ก่อนจะสาวเท้าออกไป
อารมณ์ของเขาคล้ายว่าไม่สู้ดีนัก พลทหารลาดตระเวนที่เห็นเขาต่างพากันหลีกหนีไปไกล ไม่อยากเป็นคนโชคร้ายเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
เวลานี้เย็นมากแล้ว แสงสุดท้ายค่อยๆ เลื่อนลับไปจากขอบฟ้า ท่ามกลางสายลมยามค่ำ รูปเงาของสรรพสิ่งถูกลากให้ยาวขึ้นบนพื้นหญ้า
ใต้ตะวันแสงสุดท้าย ม้าสองตัววิ่งห้อเต็มฝีเท้าเข้ามา
ดรุณีน้อยบนหลังม้ารูปร่างอรชร รูปโฉมสง่างาม
แสงอาทิตย์สีทองฉาบร่างของนางให้เป็นสีอบอุ่น ทว่านัยน์ตาของนางกลับเย็นเยือก ช่างย้อนแย้งกันโดยสิ้นเชิง
ฉากนี้งดงามอย่างไร้ใดเปรียบ แต่บรรยากาศรอบกายนางกลับหนาวเหน็บและทิ่มแทง ทำให้คนที่มองรู้สึกสับสนนัก ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในวินาทีนั้นอย่างไร
ฝีเท้าของฉู่ฉีเหยียนหยุดลงที่หน้ากระโจมใหญ่ สองมือไพล่หลัง รอให้สองคนนั้นเดินเข้ามาหา
ฉู่สวินหยางพลิกกายลงจากม้า ไม่แม้แต่จะทักทาย เพียงเดินผ่านเขาเข้าไปด้านในกระโจมทันที
ฉู่ฉีเฟิงตามมาช้าหนึ่งก้าว แล้วส่งม้าให้นายทหารจูงจากไป
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฉู่ฉีเหยียนรอจนเขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วจึงเปิดปากถาม
“อื้ม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้าให้ ไม่ได้รีบร้อนเดินเข้ากระโจม แต่กวาดสายตามองรอบด้าน เอ่ยว่า “ศึกตอนกลางวันเป็นอย่างไร? สูญเสียสาหัสหรือไม่?”
“พอไหว! ชาวหนานฮวาสูญเสียหนักกว่าเรามาก!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ
เขาสองคนแต่ไรมาก็ดีกันได้แค่ต่อหน้าเท่านั้น ทั้งคู่เป็นศัตรูคู่แค้น ชิงชังเสียจนพูดได้ว่ามีข้าต้องไม่มีเจ้า แต่ว่าครั้งนี้…
เมื่อต้องกลายเป็นเหยื่อในกระดานหมากของผู้อื่นเหมือนกัน ขนาดแค่เอ่ยทักทายก็ยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรง
ตกอยู่ในความเงียบพักหนึ่ง สองคนกำลังจะสาวเท้าเข้าด้านในกระโจม ก็เห็นม้าเร็วพุ่งตรงเข้ามาจากที่ไกลๆ
ฝีเท้าของฉู่ฉีเหยียนชะงักกึก
ฉู่ฉีเฟิงเพียงหันหน้าไปมอง ไม่ได้พูดอะไร ตวัดประตูที่ทำจากผ้าสักหลาดให้เปิดออกแล้วเดินหายเข้าไปทันที
ฉู่ฉีเหยียนส่งสายตาให้กับหลี่หลิน
หลี่หลินเข้าใจความหมาย รีบส่งสัญญาณมือแล้วเข้าไปดักคนผู้นั้นไว้
“คารวะซื่อจื่อ!” คนผู้นั้นพลิกกายลงม้า แล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“มีอะไร?” ฉู่ฉีเหยียนถาม
“เมืองชางทางนั้นสืบได้ความแล้วขอรับ” คนผู้นั้นตอบ “เมื่อวานคังจวิ้นอ๋องนำคนไปรับเสบียงที่นอกเมือง แต่มีคนแอบติดต่อกับเมืองชาง ลอบส่งข่าวเส้นทางการขนส่งให้โจรภูเขาแถบนั้น ตอนที่คังจวิ้นอ๋องไล่ตามไปก็ถูกนักฆ่าที่ดักซุ่มอยู่ก่อนแล้วโจมตี คนม้าแตกกระเจิง ได้ยินว่าตอนที่ชุลมุนวุ่นวาย คังจวิ้นอ๋องถูกไล่ต้อนเข้าไปในเขตเขารกร้าง เขาหายตัวไปทั้งคืน เสบียงรอบนี้สุดท้ายเป็นใต้เท้าเหยียนหลิงที่ตามกลับมาได้ พอเช้าวันรุ่งขึ้นคังจวิ้นอ๋องถึงปรากฏตัวอีกครั้ง”
“หื้ม?” ฉู่ฉีเหยียนได้ฟัง สายตาที่ราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์พลันดำมืดขึ้น ก่อนจะหันกลับมามองที่คนผู้นั้น
—————————-