คนผู้นั้นคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่กับพื้น แต่ก็ยังเล่าต่ออย่างไม่ตกหล่นว่า “ภายหลังข้าน้อยพาคนไปตรวจสอบที่ป่าแถบนั้น พบว่าด้านในมีหนองน้ำไม่ใหญ่มาก รอบด้านมีรอยเลือดกระจายไปทั่ว แม้จะไม่พบศพคนแต่ก็พอมองออกว่าผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือด ซ้ำยังรุนแรงมากกว่าปกติด้วยซ้ำ”
“แล้วอย่างไรเล่า?” ฉู่ฉีเหยียนหรี่ตามอง แสยะยิ้มเย็นเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกว่าตอนที่ฉู่ฉีเฟิงถูกขังในป่านั่นเกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นอย่างนั้นรึ?”
“ข้าน้อยมิกล้า” คนผู้นั้นตอบ นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะใช้หางตาประเมินอารมณ์ของเขา “แต่การที่คังจวิ้นอ๋องรอดชีวิตมาได้ เรื่องนี้ต้องมีอะไรซุกซ่อนอยู่แน่”
มุมปากของฉู่ฉีเหยียนกระตุกเบาๆ แล้วโบกมือไล่เขา
“ข้าน้อยขอลา!” รอจนคนจากไปแล้ว เขาก็หันไปมองกระโจมใหญ่ทีหนึ่ง เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “เจ้าคิดอย่างไร?”
ประโยคนี้ย่อมต้องเอ่ยถามหลี่หลิน
หลี่หลินมองตามเขาไป สีหน้าเคร่งเครียด แล้วเอ่ยไปตามความจริง “หลังจากที่คังจวิ้นอ๋องกลับมา ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนวานสักคำเลยขอรับ”
หากไม่ใช่เรื่องที่บอกใครไม่ได้ เหตุใดเขาถึงทำเช่นนั้น?
คำพูดไม่ต้องเอ่ยออกมาให้ชัดเจน ต่างคนต่างก็กระจ่างอยู่ในใจ
“เหอะ…” ฉู่ฉีเหยียนหัวเราะแปลกๆ เบนสายตามองเขา “สั่งคนไปตรวจสอบ ไม่ต้องรีบร้อนกระโตกกระตาก แต่ข้าต้องการรู้ความจริง”
“ขอรับ!” หลี่หลินรับคำแล้วหมุนกายจากไป ทันใดก็เห็นม้าตัวหนึ่งวิ่งมาจากประตูค่าย คนบนนั้นคือเจี่ยงลิ่ว
หลี่หลินพลันสงสัย หยุดฝีเท้าทันที
เจี่ยงลิ่วมาด้วยความรีบร้อน หลังลงจากม้าก็หายตัวไปในกระโจม ไม่นานประตูผ้าสักหลาดก็ถูกเปิดออก คนที่ออกมาอย่างเร่งร้อนกลับเป็นฉู่สวินหยาง
แววตาของฉู่ฉีเหยียนพลันสั่นไหว
การเคลื่อนไหวของฉู่สวินหยางรวดเร็วนัก พอออกมาก็กระโดดคร่อมม้า ตะโกนเสียงหนึ่งแล้วทะยานตัวจากไป
ฉู่ฉีเฟิงที่อยู่ด้านในกระโจมไม่ได้ตามออกมา มีเพียงเจี่ยงลิ่วที่ขี่ม้าตามนางไปเท่านั้น
หัวคิ้วของฉู่ฉีเหยียนขมวดแน่น หันไปมองหลี่หลินทีหนึ่ง
หลี่หลินพยักหน้า แล้วหมุนกายจากไปอีกคน
————————————
ห่างจากประตูทิศเหนือของเมืองฉู่ออกไปสิบลี้มีตำหนักซ่อนอยู่หลังหนึ่ง ด้านนอกมีทหารคอยคุ้มกันแน่นหนา กระทั่งลมก็ยากจะพัดผ่านได้
ตอนที่ฉู่สวินหยางเร่งร้อนเดินทางไปถึง ฟ้าก็มืดเป็นสีดำสนิทแล้ว
“คารวะท่านหญิง!” คนที่เฝ้าอยู่รีบเดินเข้ามาทำความเคารพ
ฉู่สวินหยางพลิกตัวลงจากม้า ก่อนจะโยนแส้ให้กับเจี่ยงลิ่วที่ตามมาข้างหลัง ทางหนึ่งก็เดินเข้าไปด้านใน “คนล่ะ?”
“จับไว้แล้วขอรับ อยู่ด้านใน” คนผู้นั้นตอบ แล้วเปิดประตูนำทางนางเข้าไป
ตำหนักหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โต พื้นที่แบ่งเป็นสองชั้น ทว่าสวนดอกไม้จะกว้างขวางกว่าจวนทั่วๆ ไปในเมืองเกือบเท่าหนึ่ง
ฉู่สวินหยางเดินตามองครักษ์เข้าไป ผ่านซุ้มประตูหลายชั้น ก่อนจะถึงเรือนที่อยู่ด้านในสุด
ภายนอกและภายในของเรือนมีองครักษ์คุ้มกันแน่นหนา แม้ลมยังยากจะพัดผ่าน
นางยกเท้าก้าวเข้าไป ทันใดก็มีคนเปิดประตูให้
ภายในเรือนจุดเพียงตะเกียงเอาไว้ ห้องที่แต่เดิมไม่ได้ใหญ่โตถูกเงาจากแสงตะเกียงทาบทับ ยิ่งทำให้มืดสลัวไปใหญ่
บนเตียงที่อยู่ตรงข้ามประตู มีตาเฒ่าซีดเซียวคนหนึ่งเอนหลังนิ่งพิงกับหัวเตียงอยู่ รอยยับย่นบนหน้าดูลึกกว่าปกติ มีเพียงแววตาสุกใส ที่ยังพอมีแววเย็นชาฉายออกมาให้เห็น พอได้ยินเสียงเปิดประตู เขาถึงหันหน้ามามอง
เห็นชัดว่าการปรากฏตัวของฉู่สวินหยางทำให้เขาประหลาดใจ แต่อย่างไรก็เป็นถึงชินอ๋องแห่งราชสำนักที่ผ่านคลื่นลมมานานปี เพียงครู่เดียวเขาก็คืนสีหน้าปกติ
“ทำไมเป็นเจ้าได้? สองหนุ่มนั่นล่ะ?” น้ำเสียงของฉู่ซิ่นทั้งเย็นชาและแข็งทื่อ
ฉู่สวินหยางก้าวผ่านประตูเข้าไป เดินตรงไปที่หน้าเตียง สีหน้าไร้อารมณ์จับจ้องเขา แล้วล้วงเอาขวดกระเบื้องใบเล็กออกจากแขนเสื้อโยนใส่อกเขา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เอ่ยตรงๆ ว่า “อยากเล่นละครก็ต้องเล่นให้จบ ข้าไม่มียาแก้พิษแก้มนตร์อะไรนั่นหรอก แต่ยาขวดนั้นก็พอใช้แทนได้ ไม่ต้องรอให้ข้าลงมือ เจ้ากลืนลงไปเองเถอะ!”
มองดูขวดยาที่กลิ้งตกบนผ้าห่ม ฉู่ซิ่นตะลึงไปพักหนึ่ง ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะแหบพร่าออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ
ฉู่สวินหยางไม่สนใจเขา จ้องมองเขาด้วยหน้าตาเคร่งขรึม
ฉู่ซิ่นหัวเราะคนเดียวพักหนึ่งก่อนจะหยุดลง มองหน้านางด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“สวินหยาง เจ้าก็อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย ต่อให้ตอนนี้ข้าตกอยู่ในกำมือเจ้า แล้วเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาตัดสินโทษข้า
จะบอกว่าข้าคบคิดกับศัตรู? ว่าข้าคิดร้ายต่อราชนิกุล? หรือว่าข้าแกล้งตบตาว่าถูกพิษ จนทำให้ชาวเมืองเสียขวัญ?” เขาพูดไปพลางปิดตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “สองข้อแรกนั้น ไม่ว่าข้อไหนก็มากพอให้ถูกตัดหัวแล้ว แต่น่าเสียดาย…ที่ในมือเจ้าไร้หลักฐาน ส่วนข้อสุดท้าย…ใครบอกว่าข้าถูกพิษแล้วจะต้องป่วยจนตายเล่า? ต่อให้เจ้ามีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพัน แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันสักชิ้น เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
“ใครบอกว่าฆ่าคนต้องมีหลักฐาน? ใครบอกว่าการที่ข้าจะฆ่าเจ้าต้องยืมดาบของฮ่องเต้?” ฉู่สวินหยางฟังนิ่งๆ จนเขาพูดจบ ยังมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาดังเดิม “ตอนนี้ต่อให้เจ้าร้องขอความตาย ข้าก็อาจจะไม่รับปาก ชีวิตของเจ้าไม่มีค่า ข้าเองก็ไม่เสียดาย ในเมื่อเจ้าเขียนจุดจบไว้ให้ตัวเองแต่แรกแล้ว วันนี้ข้าก็จะส่งเสริมเจ้า แค่กลืนยานั้นลงไปก็พอ วางใจได้ว่าไม่ถึงตายข้าจะไม่เปิดโปงทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำมันลงไปหรอก ไม่เพียงเท่านั้น ข้ายังจะส่งเจ้ากลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัยด้วย ถึงเวลานั้น เจ้าก็ยังเป็นรุ่ยชินอ๋องที่สูงส่งเหนือใครๆ และต่อให้เจ้าตาย ข้าก็จะให้ชื่อขุนนางผู้ภักดีต่อแผ่นดินแก่เจ้า อย่างไรเจ้าก็ไม่ขาด ทุน”
ฉู่ซิ่นเห็นท่าทางจริงจังของนาง ก็เริ่มวางท่าไม่อยู่ สายตาระแวดระวังภัยมองประเมินนาง
ฉู่สวินหยางคร้านจะเสียเวลากับเขา จึงหันไปสั่งเจี่ยงลิ่วว่า “กรอกยา!”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วเดินเข้าไปแล้วคว้าขวดยามา
ฉู่ซิ่นอายุมากแล้ว ทั้งยังเกิดมาเป็นบัณฑิต เดิมก็ไร้แรงจะขัดขืน เขาถูกเจี่ยงลิ่วจับกดแล้วกรอกยาใส่ปากทันที
ฉู่ซิ่นกุมลำคอตัวเองแล้วสำลักยกใหญ่ ตอนนี้เขาถึงเริ่มลนลาน เค้นเสียงผ่านลำคอแล้วเค้นถามเสียงเข้ม
“เจ้าคิดจะทำอะไร?”
“มีโทษก็ต้องชำระ มีแค้นก็ต้องเอาคืน ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะไม่มีใครหนีพ้นสักคน” ฉู่สวินหยางตอบ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นไม้ใกล้ฝั่งก็ไม่อาจกระตุ้นความเมตตาในใจของนางได้ “อย่าคิดว่าเจ้าจะแบกรับทุกอย่างไว้ได้คนเดียว ตัวเจ้าไม่ได้มีความสามารถ แล้วก็ไม่สำคัญถึงขนาดนั้น”
“เจ้า…” ฉู่ซิ่นมองความเยือกเย็นของนาง ในใจก็พลันหนาวเหน็บ แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ความคิดน่ากลัวก็โจมตีเกราะในใจเขาจนพังทลาย…
นังเด็กคนนี้ กุมจุดตายเขาเอาไว้ และไพ่ตายทั้งหมดของเขาก็ตกอยู่ในกำมือนาง
————————————-