ตอนที่ 477 ทิวทัศน์ใต้ทะเลงดงามนัก

พันธกานต์ปราณอัคคี

ใบหน้าที่ขาวดุจหยกของเยี่ยเทียนหยวนแดงขึ้นเป็นริ้ว คลื่นน้ำในดวงตาราวสระน้ำเย็นเยือก น้ำใสไหลเย็น ความจนใจและรักใคร่ในแววตาแสดงออกมาอย่างไม่ปกปิด “ศิษย์น้อง อย่าซุกซน”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือเรียวงามมาสะกิดยอดอกของเขา “ผู้ใดซุกซนกัน ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด มิใช่ขานว่าอาจารย์อาหรอกหรือ ท่านเรียกขานว่า ศิษย์น้อง ถึงจะไม่เข้ากันต่างหาก”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพลิกฝ่ามือมาจับนิ้วนาง สีหน้าจริงจังก่อนเอ่ย “ศิษย์น้อง เจ้าจงใจนี่”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตาถี่ สีหน้าไร้เดียงสา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนค่อยๆ รั้งนางเข้าสู่อ้อมกอด ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นใส่ข้างหูน้อยน่ารักของนาง “ศิษย์น้อง ไม่เจอกันนาน ให้ข้ากอดเจ้าหน่อยเถิด”

 

 

ลมปราณบุรุษอันคุ้นเคยและรุนแรงโอบล้อมนางไว้อย่างรวดเร็ว ไฟแท้ในกายนั้นเริ่มขยับอีกครั้ง ร่างของมั่วชิงเฉินอ่อนยวบลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

 

 

เยี่ยเทียนหยวนก็อย่างที่เขาว่าจริงๆ โอบกอดไว้นิ่งๆ อย่างนี้ เสียงน้ำที่เกิดจากฝูงปลาโดยรอบแหวกว่ายกระจ่างน่าฟังนัก

 

 

อารมณ์ที่เกิดจากการห่างหายไปนานในที่สุดก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความเงียบสงบ มั่วชิงเฉินเงยหน้าขึ้นและถามว่า “บรรลุระดับก่อกำเนิดในดักแด้ เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนคิดก่อนตอบ “คล้ายกับการบรรลุระดับก่อกำเนิดที่กล่าวไว้ในม้วนคัมภีร์หยก เริ่มต้นจากการถามพรต หลังจากนั้นก็คือแก่นทองคำแตกละเอียดแล้วจึงก่อกำเนิด ต่อมาก็คือจิตมารแว้งกัด”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างเข้าใจ

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่เข้าสู่ระดับก่อแก่นปราณ ต่อให้ห่างชั้นจากระดับก่อกำเนิดมาก ก็ยังสนใจในการบรรลุระดับก่อกำเนิด

 

 

สรุปก็คือระกับก่อกำเนิดมีขั้นตอนมากกว่าระดับก่อแก่นปราณหนึ่งขั้นตอน ก็คือขั้นถามพรตนั่นเอง

 

 

ถามพรต แก่นทองคำแตกละเอียดแล้วจึงก่อกำเนิด จิตมารแว้งกัด เป็นสามขั้นตอนที่ผู้บรรลุระดับก่อกำเนิดต้องเผชิญ และขั้นถามพรตนั้นอยู่แรกสุด

 

 

เมื่อกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ก็จะสามารถครอบครองพลังมหาศาลถึงขั้นพลิกภูเขากลับมหาสมุทร มิต่างอันใดกับเซียนเลย

 

 

เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาก็จะเริ่มต้นหันเหไปเรียนรู้และเข้าใจในวิถีสวรรค์ สรรสร้างอภินิหารที่เป็นเอกลักษณ์ของตน

 

 

พลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นเกิดขึ้นจากกฎเกณฑ์ แรงบัลดาลใจ และความตระหนักที่มีต่อฟ้าดิน พลังนั้นเกรียงไกรกว่าอาวุธใด แต่เนื่องจากความเข้าใจและตระหนัก รวมถึงสติปัญญาในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน พลังเหนือธรรมชาติเหล่านั้นจึงแตกต่างกันมากนัก

 

 

หากเอ่ยถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดในอดีต ในระดับขั้นเล็กๆ ที่แตกต่างกันนั้นก็มีช่องว่างซึ่งยากจะข้ามผ่านได้ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่สรรสร้างพลังเหนือธรรมชาติด้วยตัวเองได้ กลับมีความเป็นไปได้ที่จะท้าทายในขั้นที่สูงขึ้น

 

 

และแน่นอนว่า ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระดับแรกเริ่มยังห่างชั้นจากผู้บำเพ็ญเพียรขั้นปลาย แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่อยู่ในระดับเดียวกันก็อาจจะแตกต่างกันมากก็ได้ อาศัยหนึ่งต่อสองหรือแม้แต่หนึ่งต่อสามก็เป็นเรื่องปกตินัก

 

 

ดังนั้น การถามพรตถือเป็นขั้นที่มีความสำคัญมาก อาจกล่าวได้ว่ามันคือรากฐานของการสร้างพลังเหนือธรรมชาติของผู้บำเพ็ญเพียรเลยก็ว่าได้ มีเพียงเข้าใจในหนทางที่ตนเลือกเดิน เข้าใจในวิถีสวรรค์จึงจะนับได้ว่ามีทิศทางเป็นของตนเอง

 

 

ทุกขั้นตอนของระดับก่อกำเนิดผู้บำเพ็ญเพียรล้วนไม่สามารถคัดลอกหรือถ่ายทอดได้ นั่นคือเรื่องที่ลึกลับและมหัศจรรย์ เห็นได้ชัดว่าในใจนั้นซาบซึ้งใจกับสิ่งนี้ อยากจะพรรณนาออกมาเป็นภาษาวาจา แต่กลับรู้สึกว่าไม่มีคำใดที่สามารถบรรยายได้เลย คำกล่าวที่ว่า เข้าใจได้ด้วยความรู้สึกแต่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไม่ได้ ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้ถามเพิ่มเติมในสิ่งนี้ เพียงเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านเพิ่งจะบรรลุระดับก่อกำเนิด อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบกว่าปีถึงจะสามารถทำให้ระดับขั้นมั่นคงได้ หากรวมเวลาที่ทำความเข้าใจอิทธิฤทธิ์พลังเหนือธรรมชาติแล้ว บางทีอาจจะต้องใช้เวลาสิบปี แล้วท่านคิดว่าจะเก็บตัวบำเพ็ญพรตเมื่อใด”

 

 

ระดับก่อกำเนิดและระดับก่อแก่นปราณนั้นเหมือนกัน แรกเริ่มระดับนั้นล้วนต้องต้องบำเพ็ญเพียรอย่างสงบเพื่อให้ระดับขั้นมั่นคง ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดอันตรายอย่างการกระโดดกลับไปยังระดับขั้นก่อนหน้า

 

 

เนื่องจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่มีพลังเหนือธรรมชาติและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นความสามารถที่แท้จริงต่างกันมากนัก ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ หลังจากที่บรรลุระดับขั้นอย่างมั่นคงแล้ว ล้วนจะเก็บตัวบำเพ็ญและทำความเข้าใจในพลังเหนือธรรมชาติก่อน

 

 

อย่างไรก็ตามพลังวิเศษในการสรรสร้างสวรรค์และโลกนั้นล้วนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ นอกเสียจากผู้โชคดีส่วนน้อยบางคนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่มักจะใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ในการสร้างสมประสบการณ์ เมื่อมีประสบการณ์ลึกล้ำแล้ว จิตใจก็จะสูงส่งตามความรู้ที่เพิ่มขึ้น การสร้างสรรค์พลังเหนือธรรมชาติก็ดูเหมือนกับความสุขแล่นเข้าสู่จิตใจอย่างรวดเร็ว โดยความเป็นจริงแล้วก็คือน้ำไหลไปถึงที่ใดก็บังเกิดสายน้ำไปโดยปริยายนั่นเอง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนคลอเคลียกับเส้นผมของมั่วชิงเฉินอย่างนุ่มนวล “ศิษย์น้อง ข้าอยากเก็บตัวบำเพ็ญสักสามปี หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปยังเทียนหยวนเถิด เมื่อไปถึงเหยากวงแล้ว ข้าค่อยเก็บตัวบำเพ็ญอีกครั้ง”

 

 

มั่วชิงเฉินมองเขาอย่างประหลาดใจ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกไปลูบผมนาง “จากไปนานเช่นนี้ควรกลับไปได้แล้ว เจ้ายังมีเรื่องราวอีกมากที่ต้องทำ จะติดอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าข้าต่อไปไม่ได้”

 

 

มั่วชิงเฉินส่ายหน้า “ไม่ได้ หนทางยาวไกล ปัจจัยมากมายยากคาดเดา เก็บตัวบำเพ็ญพรตสามปีน้อยเกินไป ศิษย์พี่ อย่างน้อยท่านควรทำระดับขั้นให้มั่นคงก่อนค่อยว่ากัน สิบกว่าปีหากจะว่าเร็วก็เร็ว หึๆ ท่านคงยังไม่ทราบกระมัง ข้ารับศิษย์ไว้หนึ่งคนนะ สั่งสอนลูกศิษย์ ฆ่าเวลาได้ดีทีเดียว”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนตกตะลึงเล็กน้อย “ศิษย์น้องเจ้ารับลูกศิษย์แล้วหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว ในวันนั้นพวกเราติดอยู่ในดักแด้หลับลึกไม่สามารถตื่นมาได้ เมื่อล่องลอยไปถึงหมู่บ้านดอกสาลี่ก็ถูกเด็กคนนั้นพบเข้า โชคดีที่พบเขา ข้าถึงได้สติกลับมาไวอย่างนั้น ข้าเห็นว่าเขานิสัยบริสุทธิ์งดงามทั้งยังฉลาดเฉียบแหลม ก็เลยรับเขาไว้เป็นศิษย์” มั่วชิงเฉินเอ่ย

 

 

เยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็ก้มหน้า เสียงต่ำลง “ศิษย์น้อง เนื่องด้วยเหตุผลเท่านี้ เจ้าก็รับศิษย์แล้วหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินใจฝ่อ ก่อนหัวเราะแหะๆ ว่า “ใช่สิ”

 

 

ให้ตายนางก็ไม่ยอมบอกเยี่ยเทียนหยวนว่า เป็นเพราะนางนั้นกลายเป็นอสูรวิญญาณ และเพื่อจะยกเลิกสัญญาจึงยอมรับศิษย์อย่างจนปัญญา เพียงแต่เหตุใดเขาจึงเฉียบแหลมขึ้นมาละนี่

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปาก ดวงตาคู่นั้นเย็นสบายราวกับธารา เขารู้สึกว่าเหตุผลที่ศิษย์น้องรับศิษย์นั้นไม่ได้ธรรมดาอย่างนั้น นางหนูคนนี้ซุกซนและป่าเถื่อน ไหนเลยจะอดทนรับลูกศิษย์หรือ นอกเสียจากจะมีลับลมคมในนั่นแหละ

 

 

เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนหยวนเหมือนกำลังคิดสิ่งใด มั่วชิงเฉินก็ไอเสียสองที ก่อนเอ่ยเสริมว่า “เด็กผู้นั้นมีรากวิญญาณลม ข้ารู้สึกว่ามีลูกศิษย์อย่างนี้ หากเอ่ยออกไปก็ดูมีหน้ามีตา…”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนจู่ๆ ก็เข้ามาใกล้ หายในรดริมฝีปากนาง “มีสามีอย่างข้า ศิษย์น้องรู้สึกไม่มีหน้าไม่มีตารึ”

 

 

“เอ่อ แน่นอนว่ามี” มั่วชิงเฉินตะลึงตาค้าง ศิษย์พี่จะเล่นอะไรกันนะ

 

 

เขาก้มหน้าลงงับริมฝีปากที่ชมพูราวกับลูกท้อของนางทีหนึ่ง เยี่ยเทียนหยวนเสียงต่ำลงกว่าเดิม “อย่างนั้นเหตุใดจึงต้องให้ชายอื่นช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้เจ้ากันเล่า”

 

 

“ศิษย์พี่ นั่นคือลูกศิษย์ของข้า ก็ไม่ถือว่าเป็นคนอื่น…” มั่วชิงเฉินที่สมองช้าเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว

 

 

ทันใดนั้นเขาก็จับเอวนางแล้ววางราบลงบนเตียงที่ทำจากน้ำ ทั้งร่างกายของเยี่ยเทียนหยวนค้อมต่ำลง เสียงก็ฟังดูแหบพร่า “นอกจากเจ้ากับข้าแล้ว คนอื่นถือว่าเป็นคนอื่น”

 

 

ตราบจนวันนี้เขายังจำได้ เขาป่าไผ่ในปีนั้น นักพรตเหอกวงเป่าขลุ่ย ชิงเฉินฝึกกระบี่ บรรยากาศที่ได้อยู่กับนางนั้นเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบเสียจนไร้ที่ติ คนอื่นแทรกเข้ามาไม่ได้ และก็ไม่อาจทำลายได้ ทำได้เพียงมองดูอย่างเงียบๆ

 

 

ศิษย์น้องในตอนนั้น ในสายตานางไม่มีเขา เขาทำได้เพียงทนรับอย่างเงียบๆ แต่ในวันนี้ รสชาติอย่างวันนั้นเขาไม่อยากลิ้มรสมันอีกแล้ว

 

 

เมื่อคิดถึงว่าตนนั้นต้องเก็บตัวบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน แต่กลับมีคนอยู่ข้างกายนางนานๆ ไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เขาล้วนรู้สึกไม่สบายใจ จุมพิตที่โถมลงสู่ริมฝีปากนางจึงรุนแรงขึ้น

 

 

“ศิษย์พี่…” มั่วชิงเฉินยื่นมือออกผลัก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนปล่อยริมฝีปากนางให้เป็นอิสระ แต่จุมพิตเลื่อนลงต่ำเรื่อยๆ บางครั้งก็แผ่วเบาราวกับแมงปอบินระน้ำ บางครั้งก็ร้อนแรงดั่งเพลิงไฟ ทั้งยังทิ้งร่อยรอยดอกท้อเอาไว้ที่ซอกคอและกระดูกไหปลาร้าอีก

 

 

นิ้วมือที่ยาวดุจลำไผ่ไต่ลงต่ำเรื่อยๆ ทั้งยังเริงระบำอย่างว่องไวยังจุดที่ไวต่อความรู้สึกเหล่านั้น นุ่มนวลแผ่วเบาต่อเนื่องเนิ่นนาน แต่กลับทำให้คนใต้ร่างนั้นสั่นเทาไม่รู้กี่ระลอกอย่างต่อเนื่อง

 

 

จังหวะที่เข้าประสาน ดวงตาใสชุ่มของเยี่ยเทียนหยวนนั้นสุกสกาวแวววาว เสียงทุ่มต่ำนั้นแสนจะมีมนตร์ขลัง แต่ละคำนั้นทำให้ใจของมั่วชิงเฉินเต้นแรง “ศิษย์น้อง มีเพียงเจ้าและข้าเท่านั้น จึงจะนับว่าเป็นคนเดียวกัน ไม่มีผู้อื่น และจะมีผู้อื่นไม่ได้”

 

 

ในขณะนั้น มั่วชิงเฉินเข้าใจว่าเขาหมายถึงตนและกู้หลี ราวกับความลับที่เก็บไว้ลึกสุดใจก็ถูกเขาตีแผ่ออกมาตรงหน้าเสียอย่างนั้น

 

 

ร่างกายนางเริ่มแข็งทื่อไม่รู้ตัว เนื่องจากการหดเกร็งอย่างฉันพลันจึงทำให้ได้ยินเสียงครางที่ยากจะควบคุมของเขา ร่างของเขาเหมือนเรือท้องแบนที่ดำเนินอยู่ในน้ำวนขนาดยักษ์ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

 

 

มั่วชิงเฉินผ่อนคลายลง นางรู้แล้วว่าตนคิดมากไป ใช่แล้ว ความลับนั้น เขาจะทราบได้อย่างไรกัน

 

 

เมื่อนึกถึงว่าตนนั้นตีโพยตีพายไปไม่รู้สาเหตุ ก็อดโมโหไม่ได้ จึงหยิกเข้าไปที่เอวเขาเสียที “ทราบแล้วเจ้าค่ะ อาจารย์อา”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนหยุดในทันที เสียงแหบพร่าหาใดเทียบได้ของเขาเอ่ย “เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ”

 

 

“อาจารย์อา อาจารย์อา…” เมื่อเห็นท่าทีอดทนของเขานางก็ตั้งใจหยอกเขา

 

 

เอวบางถูกจับไว้แน่น เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปากแน่นพลางเสียดสีไปทางหน้าปากทางชุ่มชื้น ไม่เอ่ยคำใด

 

 

เห็นได้ชัดว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เมื่อได้ยินนางเอ่ยว่า ‘อาจารย์อา’ เขาพลันมีความปรารถแรงกล้ามากกว่าเดิม ทั้งยังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับความรู้สึกน่าอับอายที่ไม่อาจบรรยายได้ ราวกับละเมิดสัจธรรมเสียอย่างนั้น

 

 

ความรู้สึกซับซ้อนนี้ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก สีหน้าแดงก่ำ หยดเหงื่อที่ยากจะควบคุมนั้นยิ่งหยดลงมาเม็ดโตอย่างต่อเนื่อง พรมลงบนร่างที่ทำให้เขาหลงใหลนี้

 

 

ร่างกายของมั่วชิงเฉินนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อตั้งนานแล้ว นางโอบรัดเอวของเขาไว้ทั้งโผกายขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว “คนโง่งม ได้เป็นอาจารย์อาแล้ว ท่านก็ไม่กล้าแล้วรึ”

 

 

ร่างกายถูกชำแรกแทรกซึมอย่างรุนแรง เยี่ยเทียนหยวนกระซิบข้างหูนาง เอ่ยทีละคำว่า “ชิงเฉิน เจ้าลืมแล้วหรือ ในคราแรกนั้น ข้าเองก็เป็นอาจารย์อาของเจ้า”

 

 

ใช่สิ พบกันคราแรกในตอนนั้น นางเป็นเพียงเด็กหญิงที่อยู่ในระดับหลอมลมปราณ เขาได้เป็นผู้บำเพ็ญระดับสร้างรากฐานแล้ว แต่นางก็หวั่นไหวไปแล้ว ช่างยากสำหรับตนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

เมื่อเห็นว่าคนใต้ร่างตนนั้นใบหน้าราวกับดอกท้อ ราวแสงอาทิตย์สีแดงที่ส่องแสงผ่านกลุ่มเมฆ เยี่ยเทียนหยวนจึงหลับตาลงอย่างยอมรับในโชคชะตา

 

 

ในที่สุดเขาก็เชื่อแล้ว เมื่อพบนาง อย่าว่าแต่อาจารย์อาเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ เขาเองก็ไม่มีทางปล่อยมือ

 

 

ในที่สุดน้ำทะเลก็สูญเสียการควบคุมไหลทะลักเข้าสู่พื้นที่ว่าง ทั้งสองลอยๆ จมๆ อยู่ในน้ำและดำเนินสู่แดนสวรรค์ในที่สุด

 

 

 

 

ป่าดอกสาลี่กลับคืนสู่ความเงียบสงบที่หาได้ยาก ตู้รั่วพิงกายกับต้นสาลี่ พลางทอดสายตาไปในระยะไกลโดยไม่ได้เจาะจงที่ใด ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอันใดอยู่

 

 

“ตู้รั่ว” เสียงผู้หญิงดังขึ้นแผ่วเบา

 

 

ตู้รั่วรีบหันกลับไปมอง เมื่อเห็นคนที่มาเยือนชัด ดวงตาดุจหงส์ก็เป็นประกาย ก่อนจะสงบลงและเปลี่ยนเป็นสีหน้าแห่งความเคารพ พลันปัดเกสรดอกสาลี่ที่หล่นอยู่บนชายเสื้ออย่างสุขุม ก่อนเดินไปหาทั้งสองคน “อาจารย์”

 

 

เมื่อเอ่ยจบก็หันไปมองเยี่ยเทียนหยวน แต่กลับไม่ได้ก้มศีรษะเหมือนอย่างเคย

 

 

“เทียนหยวน นี่ก็คือลูกศิษย์ที่ข้ารับไว้ ชื่อ ตู้รั่ว” มั่วชิงเฉินเอียงคอเอ่ย

 

 

เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเรียกศิษย์พี่หรือว่าเรียนอาจารย์อาล้วนผิดปกติ คู่บำเพ็ญเพียรหากเรียกชื่อตรงๆ จะเหมาะสมที่สุด

 

 

เยี่ยเทียนหยวนลอบประเมินเด็กหนุ่มที่ให้ความรู้สึกดั่งสายลมเย็นสบายผู้นี้ ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินมองไปทางตู้รั่ว “ตู้รั่ว นี่คือสามีของข้า เจ้าเรียกเขาว่าเจินจวินก็ได้”

 

 

ตู้รั่วลดสายตาลง ก่อนจะโค้งคำนับแสดงความเคารพ “ผู้น้อยคารวะเจินจวิน”

 

 

“ไม่ต้องมากพิธี ลูกศิษย์ของชิงเฉินก็คือลูกศิษย์ของข้า ได้ยินว่าเจ้ามีรากวิญญาณลม สิ่งนี้คือปีกวายุคู่หนึ่งที่ข้าหลอมเอง ขอมอบให้เจ้าเป็นของขวัญการพบหน้าแล้วกัน”

 

 

ปีกคู่หนึ่งที่ราวกับปีกจั๊กจั่น ปีกวายุที่ยาวไม่ถึงสามนิ้วนี้ตกลงสู่มือของตู้รั่ว ตู้รั่วแสดงความขอบคุณ “ขอบพระคุณเจินจวินที่มอบให้”

 

 

เมื่อเอ่ยจบ ก็มองไปทางชิงเฉิน อาจารย์ แม้แต่ขอบขวัญพบหน้าก็ไม่มี ของขวัญเคารพอาจารย์ก็ไม่มี ข้าผู้นี้เป็นลูกศิษย์ที่ไม่ง่ายเลย

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้าไปอีกทางอย่างนิ่งเฉิย บ่นอะไรกัน นี่เป็นธรรมเนียมอย่างไรเล่า ของขวัญเคารพอาจารย์อะไรกัน ข้าไม่เคยเห็นเลย ทำไมเจ้าต้องมีด้วยเล่า

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้ามองคล้ำแล้ว

 

 

ทันใดนั้น จู่ๆ เยี่ยเทียนหยวนเงยหน้า ก่อนเอ่ย “สหายเชิญออกมาเถิด”