ตอนที่ 478 ศิลาโลหิตหงส์ห้าก้อน

พันธกานต์ปราณอัคคี

แสงวิญญาณกระเพื่อมไหว เงาร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น ทันทีที่ปรากฏตัวก็ก้าวเท้ายาวๆ ไปทางเยี่ยเทียนหยวน ก่อนจะหยุดห่างไปกว่าหนึ่งจั้ง และทำความเคารพอย่างจริงจัง “ข้าน้อยอู๋โส่วอี้ ขอคารวะท่านเจินจวิน”

 

 

“ไม่ต้องมากพิธี สหายรอข้าอยู่ที่นี่มาตลอด ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ได้อวดดี แต่แสดงให้เห็นถึงความห่างเหิน

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ยืดตัวตรง มองไปทางมั่วชิงเฉิน พยักหน้าเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก นางหันไปถามเยี่ยเทียนหยวน “เทียนหยวน ท่านผู้นี้คือประมุขตระกูลอู๋ พวกเรา…เอ่อ…เคยสมาคมกันครั้งหนึ่ง”

 

 

แม้ว่าจะรู้สึกไม่ดีกับคนผู้นี้นัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นอาฆาตแค้นเพราะเคยประมือกัน นี่มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

เช่นเดียวกันกับพวกสำนักซู่ซิน หากว่าศิษย์พี่เกิดเรื่อง นางจะต้องทำตามวาจาที่เคยให้ไว้อย่างแน่นอน ไม่ว่ามันจะเป็นสำนักที่บรรพชนเป็นผู้สร้างไว้หรือไม่ โลหิตจะต้องอาบทั่วสำนัก!

 

 

แต่วันนี้ช่างบังเอิญนัก ทั้งสองคนไม่ได้มีเรื่องใดต่อกัน พลังยุทธ์ยังก้าวหน้ามหาศาล ศิษย์พี่กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดอย่างง่ายดาย ความคิดเกี่ยวกับสำนักซู่ซินก็จางลงไป

 

 

ถ้าหากว่าในอนาคตนบังเอิญพบเข้า นางจะต้องลงมือระบายความแค้นสักหน่อย แต่ถ้าหากพูดถึงไล่ล่าตามฆ่าละก็ นางไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นแล้ว

 

 

 เมื่ออยู่ในโลกปุถุชนคนสามัญ วิธีการเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นแม่พระอยู่บ้าง แต่ฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร กลับจำเป็นต้องมีความคิดเช่นนี้

 

 

ก็เหมือนกับตอนที่คุณถูกห่านขาวจิกเมื่อตอนเป็นเด็ก ในใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง สาบานไว้ในใจว่าโตขึ้นจะต้องจับห่านตัวนั้นถอนขนแล้วนำมาตุ๋น แต่พอโตขึ้นแล้ว มีคนสักกี่คนกันหรือที่ตามไปชำระแค้นกับห่านขาวตัวนั้นได้

 

 

ได้ยินมั่วชิงเฉินเรียกชื่อเยี่ยเทียนหยวนห้วนๆ ประมุขตระกูลอู๋ก็เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าทันที รอยยิ้มสุภาพมากกว่าเดิม “ได้รู้จักสหาย นับเป็นโชคดีของผู้แซ่อู๋”

 

 

พูดจบก็หันไปมองเยี่ยเทียนหยวน ดูมีวุฒิภาวะ มองออกตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นคนสุขุมเยือกเย็น พูดจาตรงไปตรงมา “เจินจวินเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น ที่จริงแล้วข้าน้อยไม่ควรมารบกวน เพียงแต่ข้ามีเรื่องต้องขอร้องอย่างหน้าไม่อาย เมื่อครู่ถึงได้รออยู่ในป่า”

 

 

 “เรื่องใด” เยี่ยเทียนหยวนถามเสียงราบเรียบ

 

 

แม้ว่ามั่วชิงเฉินจะพูดออกมาแค่ประโยคเดียว แต่เขาก็ฟังออก เกรงว่าเส้นทางที่ผ่านมาของมั่วชิงเฉินกับคนผู้นี้จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

 

 

ประมุขตระกูลอู๋จับน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นของเยี่ยเทียนหยวนได้ เขารีบกล่าว “เป็นเช่นนี้ อนุชนติดอยู่กับระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์มาเกินร้อยปีแล้ว ไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุไปขั้นต่อไป โชคดีที่ได้พบกับเจินจวินระดับก่อกำเนิด อยากจะขอคำชี้แนะจากเจินจวินสักรอบหนึ่ง”

 

 

คำชี้แนะที่ประมุขตระกูลอู๋พูดนั้น ไม่ได้หมายถึงให้เยี่ยเทียนหยวนมาสั่งสอนเขา หรือว่าถ่ายทอดประสบการณ์การบรรลุเป็นระดับก่อกำเนิดให้ ทว่าอยากประลองดูสักครา

 

 

ก่อนหน้านี้เคยพูดไว้ว่า เมื่อเทียบกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนั้น ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน แล้วเหตุใดผู้นำตระกูลอู๋ถึงได้ร้องขอเรื่องเหลวไหลเช่นนี้เล่า

 

 

อันที่จริงนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่รู้กันโดยทั่วในโลกผู้บำเพ็ญเพียร

 

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้นนั้น แม้ว่าพลังยุทธ์จะเลื่อนขั้นครั้งใหญ่ แต่พละกำลังกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นนั้น ในช่วงเวลาเดียวกับที่ขยับมือขยับเท้าโจมตีนั้น ยังคงมีเงาของระดับก่อกำเนิดแฝงอยู่ รอบกายยังมีเจตจำนงลึกลับและพลังอำนาจของฟ้าดินหลงเหลืออยู่

 

 

หากผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์โชคดีได้ทดสอบฝีมือกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นนี้ แม้จะได้เปรียบเพียงฝ่ายเดียว แต่หากในระหว่างที่สู้กันไปมาบังเอิญคว้าปาฏิหาริย์เอาไว้ได้ ไม่แน่ก็อาจเป็นโอกาสที่เขาจะทะลุขีดจำกัด

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนเองก็เข้าใจแล้ว

 

 

เพียงแต่ได้ยินประมุขตระกูลอู๋ร้องขอมาเช่นนี้ ก็เงียบไปอยู่ชั่วครู่

 

 

“อนุชนรู้ดีว่าคำร้องขอเช่นนี้เสียมารยาทเป็นอย่างมาก แม้ว่าเกาะเสี้ยวจันทร์จะกว้างใหญ่ มีเจินจวินระดับก่อกำเนิดที่สร้างชื่อเสียงมาช้านานแล้วเพียงสองคน ทว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันกับข้าน้อยมีไม่ถึงสามคน ถึงได้หน้าไม่อายเอ่ยคำร้องขอเช่นนี้” ประมุขตระกูลอู๋เอ่ยพลางมองคนทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยต่อ “แม้ตระกูลอู๋ของพวกเราจะไม่ใช่ตระกูลที่สูงส่ง แต่ก็เก็บสะสมประสบการณ์มายาวนาน เพียงแค่เจินจวินรับคำร้องขอของข้า หากตระกูลอู๋มีสิ่งใดที่ท่านต้องการ ข้ายินดีมอบให้”

 

 

ท่าทางเป็นรองเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการเลื่อนระดับของประมุขตระกูลอู๋

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มริมฝีปาก ดวงตาส่องแสงสุกสกาวประหนึ่งแสงจันทร์ทว่าเย็นยะเยือก แม้ว่าจะไม่ได้เย็นชาขนาดนั้น ทว่าวาจาที่เปล่งออกมากลับไม่อาจโต้แย้งได้ “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ขาดสิ่งใด”

 

 

ประโยคเรียบๆ เพียงประโยคเดียว แต่ทำให้ประมุขตระกูลอู๋เย็นไปถึงขั้วหัวใจ ใบหน้าวัยกลางคนของเขาแสดงความหดหู่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าน้อยคงต้องขอตัว” ประมุขตระกูลอู๋ทำมือเคารพ และยืดหลังตรง

 

 

ว่ากันตามตรงแล้ว  ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์ เหตุใดถึงได้ต่ำต้อยประหนึ่งฝุ่นละอองเช่นนั้น

 

 

มั่วชิงเฉินมองตามประมุขตระกูลอู๋พลางพูดเสียงเบา “เทียนหยวน ลองประมือกับเขาเสียหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะได้สมบัติหายาก ไยท่านไม่สนใจเล่า”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองนางอย่างประหลาดใจ “ชิงเฉิน ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ชอบเขาหรอกหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึง “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะท่านไม่อยากต่อสู้หรอกหรือ”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนพูดออกมาอย่างสมเหตุสมผล “เส้นทางของผู้บำเพ็ญเพียรคือการต่อสู้กับฟ้าและต่อสู้กับคน มิใช่การต่อสู้กับใคร”

 

 

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผาก นางตะโกนออกไป “สหายอู๋ โปรดหยุดเท้าลงก่อน”

 

 

ประมุขตระกูลอู๋หยุดนิ่งโดยพลัน พริบตาเดียวก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน ก็เห็นท่าทางตะลึงจนลืมพูดของนาง

 

 

ประมุขตระกูลอู๋รู้ดีว่าเหตุการณ์กำลังจะพลิกผัน กลัวจะพลาดมันไปจึงรีบถามออกมา “สหายเรียกผู้แซ่อู๋ทำไมหรือ หากเกี่ยวกับเรื่องตระกูลอู๋ โปรดกล่าวออกมา”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มมุมปาก ดวงตาเป็นประกาย “สหายอู๋ มิทราบว่าตระกูลอู๋ของท่านมีศิลาโลหิตหงส์หรือไม่”

 

 

“ศิลาโลหิตหงส์?” ประมุขตระกูลอู๋ตกใจ มองไปทางมั่วชิงเฉินด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะคิกคักออกมา “ดูเหมือนประมุขตระกูลอู๋จะรู้ประโยชน์ในการใช้สอยศิลาโลหิตหงส์เข้าแล้ว”

 

 

ไม่ว่าจะเวลาใด ยาลูกกลอนล้วนแล้วแต่เป็นของรักของหวงของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่เว้นแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด

 

 

ยาลูกกลอนที่เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใช้นั้น ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นโอสถปราณหยาง

 

 

โอสถปราณหยางคือยาสำหรับให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่กำลังจะบรรลุระดับก่อกำเนิดขั้นต้นใช้ ไม่เพียงแค่ช่วยบำรุงปราณดั้งเดิมและกำลังกาย แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคงให้แก่ระดับที่บรรลุ อันเป็นสรรพคุณที่ทำให้มันล้ำค่า

 

 

หากกล่าวถึงวัตถุดิบหลอมโอสถปราณหยางแล้ว ของเหล่านี้ไม่ถือว่าหายากนัก ทว่าหนึ่งในวัตถุดิบหลักในการหลอมโอสถปราณหยางนี้มีศิลาโลหิตหงส์ที่หายากเพียงสิ่งเดียว ทว่าตระกูลของผู้บำเพ็ญเพียรบางคนอาจสะสมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ รอคอยให้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยไหว้วานให้ปรมาจารย์หลอมยาหลอมโอสถปราณหยางออกมา

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดที่มีโอกาสใช้โอสถปราณหยางจึงมีไม่มากนัก ไม่มีเหตุผลอื่นใด วัตถุดิบหลอมโอสถปราณหยางหาง่ายแต่วิธีหลอมยากมาก ในปรมาจารย์หลอมยาสิบคน แปดเก้าคนนั้นหลอมไม่สำเร็จ และผู้ไหว้วานเองก็มิอาจตำหนิได้ เพราะทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่าโอสถนี้หลอมยากเย็นเพียงใด

 

 

มั่วชิงเฉินที่ได้ยินประมุขตระกูลอู๋กล่าวว่าตนเองติดอยู่กับระดับก่อแก่นปราณขั้นสมบูรณ์มากว่าหนึ่งศตวรรษแล้ว นางจึงสงสัยและเดาว่าเขามีศิลาโลหิตหงส์ ถึงได้ยุให้เยี่ยเทียนหยวนประลองกับเขาสักตั้ง

 

 

นางเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการหลอมโอสถมาถึงร้อยปีแล้ว และอ่านตำรา ‘มุกกลั่นทะเลแดง’ จากมั่วถง ตลอดหลายปีที่รอเยี่ยเทียนหยวนบำเพ็ญตบะสำเร็จ นางศึกษาหาความรู้ไปไม่น้อย นางเริ่มคุ้ยเคยและพัฒนาความสามารถในการหลอมโอสถไปได้มาก แม้ว่าโอสถปราณหยางจะหลอมยาก ทว่านางก็มั่นใจที่จะลอง

 

 

นางเข้าใจนิสัยของเยี่ยเทียนหยวนดี แม้ว่าปกติแล้วจะเชื่อฟังนาง แต่เรื่องใดที่ตัดสินใจไปแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ หากเขาคิดว่าอยู่ที่นี่สิบกว่าปีจะส่งผลไม่ดีกับนาง เช่นนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่เขาว่า อยู่ที่นี่เพียงสามสี่ปีก็ต้องกลับเทียนหยวน แม้ว่าเขาจะเก่งกาจ แต่นางก็มิอาจวางใจ

 

 

หากระดับไม่มั่นคงพังทลายลงมาในวันหนึ่ง ผลที่ตามมากจะเลวร้ายจนคาดไม่ถึง แต่หากมีโอสถปราณหยางที่ช่วยทำให้ระดับมั่นคงก็มีหลักประกันเพิ่มขึ้นมา เพียงแค่ระหว่างทางไม่ไปมีเรื่องกับใคร ก้าวเดินไปบนเส้นทางของตัวเองอย่างมั่นคง จักต้องกลับไปได้อย่างราบรื่นไร้เภทภัย

 

 

หลังประมุขตระกูลอู๋คิดทบทวนดีแล้ว ก็พูดออกไปอย่างตรงไปตรงมา “ผู้แซ่อู๋มีศิลาโลหิตหงส์อยู่จริง ไม่ทราบว่าสหายต้องการมากน้อยเพียงใด”

 

 

มั่วชิงเฉินชูนิ้วขึ้นมา “ห้าก้อน”

 

 

ศิลาโลหิตหงส์หนึ่งก้อนสามารถใช้หลอมโอสถปราณหยางได้หนึ่งเตา คำนวณจากอัตราความล้มเหลวที่ค่อนข้างสูงและความสามารถของนาง หลอมไว้ห้าเตาคงมีหนึ่งเตาที่ใช้ได้

 

 

ถ้าหากว่าล้มเหลวทั้งหมดห้าเตา ก็พิสูจน์ได้ว่าความสามารถของนางยังไม่ถึงขั้น ขออีกมากแค่ไหนผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม

 

 

ประมุขตระกูลอู๋อ้าปากค้างก่อนจะขบกรามแน่น เขาสะสมมาเป็นร้อยปี ยังมีศิลาโลหิตหงส์ไม่ถึงสิบสองก้อน เอาไปห้าก้อน ส่วนที่เหลือคงเอามาหลอมไม่ได้แม้แต่เตาเดียว

 

 

แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา ก็เหมือนกับตอบตกลงประลองแล้วสิ เขาทำใจแข็งและตอบกลับไป

 

 

ขอเพียงมีโอกาสก้าวไปสู่ระดับก่อกำเนิดก่อน เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากัน ไม่เช่นนั้นสำหรับเขาแล้ว ศิลาโลหิตหงส์ก็เป็นเพียงหินไร้ค่าก้อนหนึ่ง

 

 

เขารู้ว่าพวกมั่วชิงเฉินจะรักษาคำพูด ไม่รอให้การประลองจบลง เขาก็นำศิลาโลหิตหงส์ออกมา “ขอสหายโปรดดู”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับไว้ นางกวาดตามองผ่านๆ และส่งรอยยิ้มสดใสให้ “ขอบคุณมาก”

 

 

ประมุขตระกูลอู๋อดถามไม่ได้ “สหายจะนำศิลาโลหิตหงส์นี้ไปหลอมโอสถปราณหยางหรือ”

 

 

“ใช่แล้ว” มั่วชิงเฉินยิ้มและตอบกลับไป

 

 

ประมุขตระกูลอู๋แสร้งเอ่ย “น่าเสียดายที่แม้ว่าศิลาโลหิตหงส์จะได้มาง่าย ทว่าปรมาจารย์หลอมยาที่หลอมโอสถปราณหยางได้ ช่างหาได้ยากเสียจริง”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มและไม่ได้พูดอะไร

 

 

ประมุขตระกูลอู๋มีสีหน้าตกตะลึง น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นมาก “หรือว่าสหายหลอมโอสถปราณหยางได้”

 

 

“เพียงแค่ลองดู” มั่วชิงเฉินเอ่ยเรียบๆ

 

 

เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว การที่มักเก็บอะไรๆ ไว้เป็นความลับนั้น ไม่ใช่ชีวิตในแบบที่นางต้องการ

 

 

แม้ว่านางจะแค่พูดส่งเดช ทว่าประมุขตระกูลอู๋จิตใจไร้ความหม่นหมอง เขามองไปทางนางอย่างมีความหวัง

 

 

มั่วชิงเฉินคิดในใจ คนผู้นี้ยังไม่ได้แม้แต่ทำนายแปดอักษร[1] ยังไม่ทันสำเร็จก็นึกจะให้นางหลอมโอสถปราณหยางให้เช่นนั้นหรือ

 

 

ครั้งนี้นางพลาดไปแล้ว

 

 

หลังจากได้รับศิลาโลหิตหงส์แล้ว เยี่ยเทียนหยวนก็ไม่รีรอ เขาลงมือประลองฝีมือกับประมุขตระกูลอู๋ทันที แน่นอนว่าเขาต้องออมฝีมือ เพราะกลัวว่าจะทำให้คู่ต่อสู้สิ้นชีพจากหมัดเดียวของเขา

 

 

การต่อสู้ครั้งนี้ยาวนานติดต่อกันถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ในเจ็ดวันนี้มั่วชิงเฉินไม่ขยับไปไหนแม้แต่ครึ่งก้าว และยังลากตู้รั่วมา ให้เขากลืนโอสถเลี่ยงธัญพืช และมาชมการต่อสู้นี้ด้วยกัน

 

 

อันที่จริงหากนางไม่ดึงตู้รั่วไว้ เขาก็ไม่กล้าไปไหน เขารู้ดีกว่าใครว่า การสัมผัสประสบการณ์อยู่ใกล้ๆ การประลองฝีมือของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเช่นนี้เป็นเช่นไร

 

 

ในอนาคต เขาอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าผู้บำเพ็ญในระดับเดียวกัน ทว่าสิ่งที่เขาได้พบเห็นย่อมมากกว่าคนเหล่านั้นแน่

 

 

จากนั้นประมุขตระกูลอู๋ก็จากไป มั่วชิงเฉินถีบตู้รั่วออกไปฝึกฝนอย่างไม่เกรงใจ และยังลอบส่งอสูรวิญญาณไปคอยคุ้มกัน ส่วนตัวเองก็ใช้เวลาร่วมกับเยี่ยเทียนหยวนถึงหนึ่งเดือน

 

 

ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็เริ่มบำเพ็ญตบะ ครั้งนี้เองก็จะไม่ได้พบเจอกันถึงสามปี แต่มั่วชิงเฉินทำเพียงมองเขาเดินเข้าไปในเรือนหลิงหลงพลางยิ้ม จากนั้นหยิบคัมภีร์โอสถออกมาและตั้งใจศึกษา

 

 

ความรู้เหล่านั้นนางจำได้ขึ้นใจตั้งนานแล้ว แต่การหลอมโอสถวิญญาณเหล่านี้ นางจะต้องควบคุมจิตใจ และรอจนถึงเวลาที่เหมาะสมที่สุดจึงจะเริ่มจุดเตาหลอมโอสถได้

 

 

ทว่ายังไม่ถึงกำหนดหลอมโอสถ ป่าดอกสาลี่ก็มีแขกมาเยือนอีกแล้ว นางถึงได้เข้าใจว่าเหตุใดประมุขตระกูลอู๋ถึงได้ตื่นเต้นนัก

 

 

 

 

——

 

 

[1] แปดอักษร เป็นวิธีการทำนายดวงชะตาแบบจีนจากเวลาตกฟาก ใช้ตัวอักษรแทนตัวเลข ประกอบด้วยปี เดือน วันและเวลา รวมกันเป็นแปดตัวอักษร