บทที่ 423 เจาะรูเธอสักหน่อย

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

หลี่ชิวสุ่ยระเบิดพลังออกมา กลายเป็นปีศาจสาวที่ฆ่าคนได้โดยไม่กระพริบตาอย่างแท้จริง ส่วนเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว หากต้องการสาบานเป็นพี่น้องกับโจรชั่วที่ถูกตามฆ่าไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะดูจากชื่อเสียงหรือระดับความอันตรายที่มีต่อชีวิตล้วนต้องใช้ความกล้าอย่างใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้น บทสนทนาของทั้งสองยังทำให้หลี่ชิวสุ่ยโกรธจนแทบตาย

ดัชนีเก้าหยินสลายกระดูกโจมตีมา แม้ดูผิวเผินก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าเย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงต่างมีสีหน้าเคร่งขรึม พากันกระตุ้นพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนออกมา เย่เทียนเฉินซัดออกไปหมัดหนึ่ง ส่วนเถียนปอกวงฟาดฟันดาบในมือออกไป

ตู้ม!

หมัดอัสนีสวรรค์และเพลงดาบว่องไวปะทะกับดัชนีเก้าหยินสลายกระดูกของหลี่ชิวสุ่ย เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงกระเด็นถอยไปก้าวหนึ่ง ในใจรู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขาทั้งสองร่วมมือกันแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้หลี่ชิวสุ่ยถอยออกไปได้ ความสามารถของผู้หญิงคนนี้น่าหวาดกลัวจริงๆ โดยเฉพาะในตอนที่บ้าคลั่งขึ้นมา เป็นปีศาจสาวอย่างแท้จริง

“ดูสิว่าพวกแกจะป้องกันได้กี่กระบวนท่า…”

ฉัวะๆๆ หลี่ชิวสุ่ยกรีดร้องเสียงแหลม มือซ้ายยังคงขวางรูบนกำแพง ส่วนมือขวาโจมตีออกไปหลายฝ่ามือติดต่อกัน แต่ละฝ่ามือคละเคล้าไปด้วยพลังอำนาจของฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้า น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ต้องการทำให้เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงกลายเป็นเศษเนื้อ

“ฝ่ามือสลายกระดูกโหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ เมื่อปีนั้นทำให้ยุทธภพเกิดการนองเลือดมากมาย หากไม่ใช่ว่าสงฆ์ทิพย์คงอู่ลงมือ ไม่รู้ว่าจะมีคนตายไปกี่คน คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแล้วหลายปี วิชาโหดเหี้ยมนี้จะถูกหลี่ชิวสุ่ยเรียนรู้ จนเกิดปีศาจสาวออกมาอีกคนหนึ่ง!” เถียนปอกวงมองไปยังฝ่ามือที่มีกระดูกสีขาวปรากฏหนาแน่น กำลังโจมตีลงมาอย่างบ้าคลั่ง อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ คล้ายกับคิดถึงเหตุการณ์นองเลือดในตำนานเล่าขานเมื่อหลายร้อยปีก่อน คิดถึงผู้บริสุทธิ์ที่ตายไปนับไม่ถ้วน

“โจรชั่วคนหนึ่งยังมีความตระหนักรู้แบบนี้ นับว่าคุณก็เป็นโจรชั่วที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่คิดเถอะว่าจะรับมือกับผู้หญิงคนนี้ยังไง!” เย่เทียนเฉินมองเถียนปอกวงแล้วพูดขึ้น

“ฉันจะหยุดเธอ ส่วนแกก็โจมตีมือซ้ายของเธอซะ ตอนนี้ยัยปีศาจนี่อยู่ในสภาวะสูงสุดแล้วยังเสียสติอีกด้วย พวกเราฆ่าเธอไม่ได้หรอก!” เถียนปอกวงพูดเสียงต่ำ

“งั้นคุณยันไว้นะ…ผมคาดว่าอีกชั่วโมงหนึ่งคงทำลายมันได้แล้ว!” เย่เทียนเฉินพูดจบก็เดินออกไป เถียนปอกวงมองเขาอย่างอับจนคำพูด

“อีกชั่วโมงหนึ่งจะทำลายได้ บิดาคงแทบตายไปแล้วแหละ!” เถียนปอกวงอดไม่ได้ที่จะคำรามออกมา

ตู้มๆๆ!

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับดัชนีเก้าหยินสลายกระดูกของหลี่ชิวสุ่ย เถียนปอกวงทำได้เพียงตั้งรับอย่างหนัก พลังบ่มเพาะของเขาต่ำกว่าหลี่ชิวสุ่ยเล็กน้อย แต่ความแตกต่างเล็กน้อยเช่นนี้ เมื่อรวมกับความโหดเหี้ยมของฝ่ามือสลายกระดูก อีกทั้งหลี่ชิวสุ่ยยังอยู่ในสภาวะบ้าคลั่ง เถียนปอกวงจึงรับไม่ไหวอยู่บ้าง หลังจากรับไปหลายฝ่ามือ มุมปากของเถียนปอกวงก็มีเลือดไหลออกมา

มองไปยังเย่เทียนเฉินอีกครั้ง ตอนนี้เขาเดินไปถึงเบื้องหน้ากำแพงที่พังทลายแล้ว บริเวณนั้นถูกมือซ้ายของหลี่ชิวสุ่ยขวางเอาไว้ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่มือของหลี่ชิวสุ่ยจริงๆ แต่เป็นเหมือนกับมือขวา ซึ่งเป็นฝ่ามือที่เกิดจากจินตนาภาพที่พลังภายในของฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าสร้างขึ้น แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อเย่เทียนเฉินเดินไปถึงที่นั่นก็กำหมัดทั้งสองแน่น กระตุ้นพลังพิเศษในขอบเขตจอมราชันขั้นสูงสุดให้ไหลเวียนเข้าไปในพริบตา ตะโกนออกมาครั้งหนึ่ง ซัดหมัดออกไปนับร้อยหมัดอย่างต่อเนื่อง โจมตีลงบนมือซ้ายของหลี่ชิวสุ่ยทั้งหมด

“หึ ความสามารถของแกยังห่างชั้นอยู่มาก รอดูเถอะว่าฉันจะฉีกร่างแกเป็นชิ้นๆ ยังไง!” หลี่ชิวสุ่ยแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เนื่องจากหมัดของเย่เทียนเฉินที่โจมตีลงมาบนมือซ้ายของหลี่ชิวสุ่ยไม่สามารถสะเทือนฝ่ามือที่เกิดจากการรวบรวมพลังภายในของฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าได้โดยสิ้นเชิง

“ถ้าทำลายไม่ได้ งั้นฉันจะจิ้มเธอสักรูแล้วกัน…เนตรประกายทอง!”

เย่เทียนเฉินใช้เนตรประกายทองออกมาอีกครั้ง นี่คือเคล็ดวิชาสังหารที่เย่เทียนเฉินสร้างขึ้นเอง พลังที่ยิงออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างมีพลังอำนาจถึงขั้นสะเทือนฟ้าสะท้านดิน เพียงแต่เขายังไม่ได้เรียนรู้จนสมบูรณ์ ทำให้ไม่อาจใช้พลังอำนาจของเนตรประกายทองที่สมบูรณ์ออกมาได้ มิฉะนั้นคงไม่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้เบื้องหน้าหลี่ชิวสุ่ยแล้ว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกแปลกใจก็คือ หลังจากที่เขาร่วมฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกกับตงฟางเมิ่ง ทำให้เขาสามารถใช้เนตรประกายทองครั้งที่สองออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้โดยที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ไม่มีความรู้สึกว่าพลังทั้งร่างถูกขุดออกไปจนว่างเปล่า และไม่มีความรู้สึกว่าเกือบจะสูญเสียการมองเห็นที่ดวงตาทั้งสองด้วย ดูแล้วถึงแม้ว่าการฝึกฝนคัมภีร์ดรุณีหยกจะไม่สามารถทำให้เขาทะลวงขอบเขตการบ่มเพาะไปได้ แต่กลับทำให้พลังของเขามั่นคงและเสถียรขึ้น หลังจากใช้เนตรประกายทองร่างกายจึงไม่เกิดการเสียหายร้ายแรง เรียกได้ว่าทำให้ความสามารถของเย่เทียนเฉินพัฒนาไปมาก ไม่ใช่แค่นิดหน่อยแล้ว ภายหลังหากสามารถใช้วิชาเคล็ดวิชาพลังพิเศษอย่างเนตรประกายทองได้ตามใจ จะทำให้เย่เทียนเฉินมีท่าไม้ตายมากขึ้นโดยไม่ต้องสงสัยเลย

เย่เทียนเฉินเรียนรู้เคล็ดวิชาพลังพิเศษอย่างเนตรประกายทองตั้งแต่ตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลกแล้ว แต่เขาไม่ได้เรียนรู้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยขีดจำกัดของพลังในร่างกาย อีกทั้งเนตรประกายทองยังใช้ออกมาได้ยาก ทำให้ทุกครั้งที่ใช้ เย่เทียนเฉินไม่เพียงแต่จะรู้สึกว่าพลังทั่วทั้งร่างถูกขุดออกไปจนว่างเปล่า กระทั่งดวงตาทั้งสองก็ยังมีเลือดไหลออกมาด้วย นี่ทำให้เย่เทียนเฉินไม่กล้าใช้มากนัก หากไม่ถึงช่วงเวลาสำคัญก็จะไม่กระตุ้นเนตรประกายทองออกมาเด็ดขาด ถ้าฆ่าศัตรูไม่ได้ พลังในร่างกายของตนจะแห้งเหือดจนสูญเสียสภาพที่แข็งแกร่งที่สุดในการต่อสู้ไป เช่นนั้นจะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัยเลย

แต่ตอนนี้ ในขณะที่เย่เทียนเฉินไม่รู้ตัว หลังจากที่ใช้ “เนตรประกายทอง” เขากลับไม่มีความรู้สึกราวกับจะสูญเสียพลังและดวงตาทั้งสองไปเลย นี่ทำให้เขารู้สึกยินดีอยู่ในใจ ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าการทะลวงขอบเขตไปถึงขอบเขตจักรพรรดิได้เสียอีก เนื่องจากตอนที่อยู่ดาวสิ้นโลก เย่เทียนเฉินต้องใช้ความพยายามมากมายเพื่อขยายขีดจำกัดในการใช้เนตรประกายทอง ไม่ว่าจะเป็นการบ่มเพาะกายเนื้อ การเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังในร่างกาย หรือจะเป็นการเพิ่มพูนความตระหนักรู้ของสภาพจิตใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนลองมานับไม่ถ้วนแต่ก็ยังไม่สามารถทลายขีดจำกัดไปได้ แต่ตอนนี้สามารถทำได้โดยไม่รู้ตัว ย่อมต้องยินดีแน่นอนอยู่แล้ว

วิ้ง!

ดวงตาของทั้งสองของเย่เทียนเฉินยิงประกายแสงสีทองออกมาสองสาย สว่างเจ้าไปทั่วทั้งห้องในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้นพลังยังรุนแรงจนเกรงว่าจะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสุสานโบราณแห่งนี้ ทำให้หลี่ชิวสุ่ยและเถียนปอกวงตื่นตะลึงยิ่ง หลี่ชิวสุ่ยคิดจะดึงฝ่ามือซ้ายของตนกลับมา แต่ไม่ทันแล้ว ประกายแสงสีทองทั้งสองพุ่งทะลุมือซ้ายของเธอโดยตรง กระทั่งพลังของฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าก็ไม่สามารถต่อต้านเนตรประกายทองได้ ทำให้หลี่ชิวสุ่ยอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เกิดความคิดที่จะฆ่าฟันยิ่งขึ้น ไม่อาจปล่อยให้เย่เทียนเฉินเติบโตไปได้มากกว่านี้ นี่เป็นคนอายุ 20 ปีเท่านั้น แต่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัดแล้ว น่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้เขายังใกล้ชิดกับตงฟางเมิ่งมากขนาดนั้น วันหน้าต้องกลายเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงของเธอแน่นอน

ตู้ม!

หลี่ชิวสุ่ยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและโหดเหี้ยม หลังจากซัดเถียนปอกวงจนกระเด็นออกไปก็พุ่งเข้าใส่เย่เทียนเฉินอย่างรวดเร็ว ใช้พลังฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าโจมตีใส่เย่เทียนเฉินในชั่วพริบตา ตอนนี้เย่เทียนเฉินเองก็อยู่ในสภาพสูงสุดแล้ว เขาไม่รู้สึกสูญเสียพลังหลังจากใช้เนตรประกายทองอีก เมื่อเห็นฝ่ามือของหลี่ชิวสุ่ยโจมตีเข้ามา แม้ความสามารถของเย่เทียนเฉินจะห่างชั้นจากเธอ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่มีคำว่าถอย โบกมือขวาครั้งหนึ่ง กระบี่ไท่อาปรากฏออกมาในมือ ฟาดฟันไปยังหลี่ชิวสุ่ย

“วันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของแก!” หลี่ชิวสุ่ยตะโกนใส่เย่เทียนเฉินอย่างดุดัน ฝ่ามือขวาซัดลงมา แต่ถูกปราณกระบี่ของกระบี่ไท่อาที่เย่เทียนเฉินตวัดวาดหยุดเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ฝ่ามือซ้ายของเธอกลับเคลื่อนไปด้านหน้าเบาๆ ใกล้จนเย่เทียนเฉินไม่สามารถใช้ปราณกระบี่ออกไปได้อีก ทำได้เพียงยกกระบี่ไท่อาขึ้นในแนวขวางเพื่อป้องกันการโจมตีเหนือศีรษะ

“น้องชายระวัง…” เถียนปอกวงตะโกน เร่งเร้าเคล็ดวิชาเทพท่องจนถึงขีดสุด พุ่งทะยานเข้าหาเย่เทียนเฉิน หลี่ชิวสุ่ยซัดฝ่ามือในระยะใกล้ขนาดนั้น ทั้งยังมีพลังอำนาจของฝ่ามือสลายกระดูกขั้นเก้าที่มีความน่าหวาดกลัวสะท้านโลก จะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่อาจจินตนาการได้ ต่อให้กระบี่ไท่อาจะหยุดไว้ได้เล็กน้อย แต่ฝ่ามือที่โจมตีในระยะใกล้ขนาดนี้ หากเย่เทียนเฉินไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส นี่คือความแตกต่างของพลังการบ่มเพาะ ไม่อาจไม่ยอมรับ

ตู้ม!

เถียนปอกวงเร่งเคล็ดวิชาเทพท่องด้วยพลังทั้งร่างแล้วพุ่งทะยานเข้าไป แต่ยังรู้สึกว่าช้าไปเล็กน้อย ทันใดนั้นมีเงาร่างงดงามโถมเข้าไปยังกำแพงที่พังทลาย

ฉัวะๆๆ! ราวกับนางเซียนร่ายรำก็มิปาน ปราณกระบี่ฟาดฟันอากาศจนฉีกขาด บีบบังคับให้หลี่ชิวสุ่ยต้องถอยกลับไป หลี่ชิวสุ่ยโกรธยิ่งนัก กล่าวด้วยท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ศิษย์น้องเล็ก ดูแล้วเธอคงได้รับเคล็ดวิชาฝึกฝนคุมภีร์ดรุณีหยกทั้งหมดไปแล้วจริงๆ ท่านอาจารย์คงเลือกเธอเป็นหัวหน้าพรรคสุสานโบราณของพวกเรา ไม่งั้นจะถ่ายทอดเพลงดาบดรุณีหยกให้เธอได้ยังไง!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ ฉันว่าเธอเลิกล้มความตั้งใจนี้เถอะ เธอทำให้อาจารย์ผิดหวังเกินไปแล้ว ฉันว่าถ้าท่านอาจารย์ยังอยู่แล้วเห็นเธอในสภาพแบบนี้ ท่านคงไม่ดีใจหรอก!” ตงฟางเมิ่งส่ายหน้า มองไปยังหลี่ชิวสุ่ยแล้วพูดอย่างจริงจัง

“ฮ่าๆๆๆ ในโลกของวรยุทธโบราณไหนเลยจะมีคุณธรรมอะไรให้กล่าวถึง ผู้อ่อนแอต้องถูกผู้แข็งแกร่งกลืนกิน ความสามารถแข็งแกร่งคือสัญชาตญาณ เคล็ดวิชาคัมภีร์ดรุณีหยกต้องให้ชายหญิงรวมฝึกฝน ดูจากเพลงกระบี่ในตอนนี้ของเธอแล้ว ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันหรอก พวกเธอสามคนต้องตายอยู่ที่นี่ แล้วฉันจะค่อยๆ ตามหาคัมภีร์ดรุณีหยก!”

หลี่ชิวสุ่ยเงยหน้าหัวเราะลั่นฟ้า หว่างคิ้วของเธอถึงกับมีขีดสีดำปรากฏออกมา คล้ายกับเบิกตาที่สามอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงตื่นตะลึงจนนิ่งงัน ผู้หญิงคนนี้นับวันก็ยิ่งเหมือนปีศาจสาวขึ้นเรื่อยๆ คงไม่ถูกธาตุไฟเข้าแทรกใช่ไหม?

“รีบไปเถอะ ฝ่ามือสลายกระดูกเข้าขั้นขอบเขตมารแล้ว!”

ตงฟางเมิ่งเองก็ตื่นตะลึง กระบี่หยกในมือโผทะยานพุ่งไปยังหลี่ชิวสุ่ยโดยตรง หลี่ชิวสุ่ยเบิกตาทั้งสอง ประกายสีเลือดเต็มเปี่ยม พ่นเงาสีดำสายหนึ่งออกมาจากปาก ทำให้กระบี่หยกของตงฟางเมิ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ

หลี่ชิวสุ่ยเส้นผมสยาย ใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากดำคล้ำ บริเวณหน้าผากมีรอยประทับสีดำปรากฏขึ้นมา กลายสภาพเป็นบ้าคลั่งหาใดเปรียบ ตอนนั้นเอง ตงฟางเมิ่ง เย่เทียนเฉินและเถียนปอกวงก็หายไปจากกำแพงที่พังทลายนั้นแล้ว

“ตงฟางเมิ่ง เย่เทียนเฉิน เถียนปอกวง…พวกแกสามคนต้องตาย ฉันหลี่ชิวสุ่ยจะฉีกศพพวกแกเป็นหมื่นชิ้น…คัมภีร์ดรุณีหยกต้องเป็นของฉัน ตำแหน่งหัวหน้าพรรคสุสานโบราณต้องเป็นของฉัน…อ้าก!” หลี่ชิวสุ่ยตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ลงมือโจมตีมั่วซั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในห้องระเบิดจนเป็นผุยผง

………………………