บทที่ 173 ท่านอัศวินดูแลตัวเองยังไง

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 173 ท่านอัศวินดูแลตัวเองยังไง

มังกรเพลิงบินวนอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานาน เมื่อพบว่าไม่มีอะไรเหลือให้เก็บได้ก็จะบินจากไป

เวลานี้ห่างออกไปไม่ไกล ร่างมายาของชายชราคนหนึ่งพลันปรากฏขึ้น

ชายชราผู้นี้สวมชุดสีขาวทั้งตัว ไว้ทรงผมทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ถือพัดกระดาษในมือ ถือพัดในช่วงเวลาหนาวจัดยังพอว่า สำคัญที่เขาคอยพัดอยู่เรื่อยๆ เมื่อกางพัดออก บนนั้นเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว ‘ผู้ไม่หวั่นไหว’

แม้ว่าชายชราจะลอยกลางอากาศ แต่เขากลับเดินไปหามังกรเพลิงทีละก้าวราวกับกำลังเดินบนพื้นราบ

ฟางหนิงเห็นแล้วก็ตกตะลึง ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น พัดในฤดูหนาวเนี่ยนะ อัศวิน A ยังไม่เคยวางท่าขนาดนี้เลย…’

“ฮ่าฮ่า นี่คงจะเป็นร่างแท้ของท่านมังกรสินะ ทรงพลังไม่ธรรมดาจริงๆ” ชายชราทักทายพร้อมรอยยิ้ม “ขอแนะนำตัวสักหน่อย ฉันชื่อเหรินรั่วเฟิง ปีนี้อายุ 18 ปี 1 เดือน หัวหน้าคณะที่ปรึกษาของสำนักงานสัจธรรมหรือที่รู้จักกันในนาม ‘ผู้ชนะขงเบ้ง[1]’ จริงๆ แล้วฉันชอบให้พวกเขาเรียกฉัน ‘ผู้ชนะพานอัน[2]’ มากกว่า”

“แหวะ!” ฟางหนิงแทบจะอาเจียนเมื่อได้ฟัง ตาแก่ คิดจะวางมาดโบกพัดเหมือนขงเบ้งยังพอไหว ถึงยังไงก็ไม่มีใครเปิดเผยเบื้องลึกของลุงได้ แต่กับหน้าแก่ๆ ของแกเนี่ย กล้าเกินไปไหมที่คุยอวดว่าตัวเองอายุ 18 แถมยังเป็น ‘ผู้ชนะพานอัน’ อีก

มังกรเพลิงไม่ได้พูดอะไร กระจกเต็มตัวบานใหญ่ปรากฏขึ้นที่กรงเล็บของมังกรแล้วลอยไปอยู่เบื้องหน้าชายคนนั้น

“พี่มังกร พบหน้ากันก็มอบของขวัญให้แล้ว เกรงใจจัง…” ก่อนที่เหรินรั่วเฟิงจะพูดจบ พอเห็นคนในกระจกก็ตะโกนทันที “ยายแก่หง ฉันขอให้เธอสร้างภาพลวงตาพลังจิตยามพบหน้าท่านมังกร เธอแสดงหน้าเก่าของฉันออกมาได้ยังไง”

ในเวลานี้ เสียงของหญิงสาวดังกังวานขึ้น “เหรินรั่วเฟิง คุณย่อมรู้แก่ใจว่าตัวเองเดิมเป็นคนหนังหน้าเหี่ยว นี่คงเป็นใบหน้าเดิมของคุณที่ยังฝึกฝนวรยุทธ์ไม่สำเร็จสินะ”

เหรินรั่วเฟิงพูดไม่ออก ผ่านไปนานถึงค่อยพูดขึ้น “หงอวิ๋นเจียว รีบเปลี่ยนใบหน้าปัจจุบันให้ฉัน มากที่สุดภารกิจคราวหน้าฉันจะให้คุณจัดการ”

พอสิ้นเสียงโฉมหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน

เห็นแต่เด็กหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์หล่อเหลา ทว่าบนศีรษะกลับมีผมขาวแซมไม่น้อย ทำลายความหล่อไปมากทีเดียว…

เมื่อได้เห็นฟางหนิงก็ยิ่งตะลึง เรื่องคลั่งหน้าตา หมอนี่อาการหนักกว่าอินทรีสวรรค์กับอัศวิน A มากโข ดูแล้วคลั่งหนักมาก…

ระบบ “ฉันคุยกับไอ้งี่เง่านี่ไม่รู้เรื่อง โฮสต์ ไปคุยกับเขาเถอะ”

ฟางหนิงยังไม่ทันคัดค้าน ทันใดนั้นร่างของมังกรเพลิงก็หายไป อัศวิน A ปรากฏขึ้น เขาก็กลับมาที่ร่างของตัวเอง

เมื่อเห็นว่ารูปลักษณ์ของอัศวิน A หล่อกว่าชอลิ้วเฮียงเท่กว่าลี้คิมฮวง เหรินรั่วเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะลูบหน้าของตัวเอง ทั้งอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอาย ได้แต่ทอดถอนใจ ‘วิชาเยาว์วัยอมตะ’ เล่มนั้นยังไม่เจ๋งพอจริงๆ หน้าตานี้ไม่ได้ถูกปรับสัดส่วนให้ดีที่สุด เสียดายไปชั่วชีวิต เสียดายจัง…”

เขาเดินเข้าไปใกล้อัศวิน A พลางหัวเราะร่า โบกสะบัดพัด ใบหน้าชื่นบาน “ไม่คิดเลยว่าพี่มังกรแปลงร่างเป็นมนุษย์แล้วจะเป็นหนุ่มรูปงามราวหยก ท่วงท่าสง่างามมาก เป็นผู้มีปัญญา…ไม่ด้อยกว่าฉันสักนิดเดียว เราทั้งสองอาจเรียกได้ว่า ‘เลิศล้ำพอกัน’ วันนี้เป็นโอกาสอันดีได้พบกันบนท้องฟ้า ต่อไปคงจะมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นเป็นแน่”

ขณะนี้เสียงกังวานของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง “เหรินรั่วเฟิง คุณชักจะยกยอตัวเองมากเกินไปแล้ว แล้วยังเลิศล้ำพอกันงั้นเหรอ ฉันว่าเหมือนโอ๊วทิฮวย[3]กับชอลิ้วเฮียงมากกว่า แน่นอนคุณคือโอ๊วทิฮวย ส่วนท่านมังกรคือชอลิ้วเฮียง…”

ฟางหนิงคิดในใจ อย่างนี้ก็ดี ตัวเองไม่ต้องคุย ดูสองคนทะเลาะกันเล่นดีกว่า…

เหรินรั่วเฟิงถูกฉีกหน้า รู้สึกขายหน้าจนโกรธหน้าแดง หันไปพูดกับความว่างเปล่า “คุณนี่เหลือเกินจริงๆ อย่ามัวแต่ว่างไม่มีงานทำ จัดการศัตรูเรียบร้อยแล้ว คุณรับผิดชอบทำงานเครือข่ายเทียนหลัว ไปหาพวกโปรแกรมเมอร์ปรับแต่งหุ่นยนต์พลังจิตจะเหมาะสมที่สุด”

“อีกไม่ถึงสองเดือนจะต้องใช้มันแข่งขันหุ่นยนต์พลังจิตรุ่นทดลองแล้ว คณะที่ปรึกษาของเราวางแผนโครงการนี้มาหลายปี หากเกิดอะไรผิดพลาด ไม่เพียงแต่จะเสียหน้าหัวหน้าคณะอย่างฉัน แต่ยังรวมถึงรองหัวหน้าอย่างคุณด้วย”

ทันทีที่เขาพูดออกไป เสียงของผู้หญิงคนนั้นก็เงียบไป ดูเหมือนว่าทะเลาะส่วนทะเลาะ เธอยังคงแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมออก

หลังจากพูดจบ เหรินรั่วเฟิงก็พบว่าเขาเสียสติไปหน่อย รู้สึกผิดต่อข้อความ ‘ผู้ไม่หวั่นไหว’ บนพัด

เขา ‘กระแอม’ นิดหนึ่งแล้วพูดว่า “ฮ่าฮ่า เธอยังเด็กไม่รู้เรื่องรู้ราว ขอพี่มังกรอย่าได้ถือโทษเลยนะ”

ฟางหนิงพูด “เอาเถอะๆ ไม่ทราบว่าน้องชายมาหาข้า มีเรื่องสำคัญอะไรงั้นเหรอ”

เหรินรั่วเฟิงยิ้มพลางโบกพัดในมือ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่อยากจะถามพี่มังกรเท่านั้น จิตวิญญาณของยอดฝีมือเทียนจู๋คนนั้นอยู่ในกำมือของท่านแล้วใช่หรือเปล่า”

ฟางหนิงคาดการณ์อยู่ก่อนแล้ว ในเวลานี้จึงเอ่ยอย่างสบายๆ “อืม เขากล้าอวดดีต่อหน้าข้าและบิดเบือนวิถีแห่งความยุติธรรม ข้าจึงกักขังเขาไว้ใน ‘เรือนจำพลังมังกร’ เขาจะถูกลงโทษทุกวันและไม่มีวันได้รับอิสระชั่วนิรันดร์”

เหรินรั่วเฟิงถามต่อ “ไม่ทราบว่า ‘เรือนจำพลังมังกร’ อยู่ที่ไหน”

ฟางหนิงพูดเสียงเรียบ “ใครก็ตามที่ละเมิดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของมังกรแท้และก่อกรรมทำเข็ญร้ายแรง ตายแล้วจะถูกข้าจับเข้าคุก พวกเขาจะถูกเครื่องทรมานวิญญาณทรมานทุกวัน ที่นั่นจะมีมังกรแท้คอยปราบปราม แม้แต่เทพเซียนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเข้าไปแล้วพลังศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกลิดรอนและไม่มีวันได้ออกมา”

เหรินรั่วเฟิงตกตะลึง คนจากสวรรค์ที่มีชาติกำเนิดสูงส่งต่างมีไพ่ตายที่ยอดเยี่ยมทุกคนจริงๆ

แต่สีหน้าของเขายังเหมือนเดิม กลับแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “เป็นเช่นนั้นเอง เมื่อทราบที่อยู่ของบุคคลนั้นแล้ว ขอขอบคุณพี่มังกรที่ยื่นมือมาช่วยกอบกู้วิกฤตในครั้งนี้ หลังจากนี้ขอตอบแทนท่านรวมกับความช่วยเหลือในดินแดนมรดกครั้งก่อน..”

ระบบ “อีกกี่วันถึงจะได้ รางวัลคืออะไร เร็วหน่อยได้ไหม”

ระบบ แกเปลี่ยนท่าทีเร็วไปหน่อยนะ…

ฟางหนิงพูดไม่ออก ‘ทันทีที่พูดถึงเงิน แกก็รีบมาครองร่างเชียว วันหลังเล่นให้มันดีๆ หน่อยได้ไหม ยังอยากรักษาหน้าอัศวิน A อยู่ไหม…จริงสิ มันขายหน้าไปตั้งนานแล้ว’

เหรินรั่วเฟิงกลับไม่แปลกใจ เขาเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษา อาจกล่าวได้ว่าข้อมูลข่าวกรองส่วนใหญ่อยู่ในมือของเขา เขาย่อมรู้ดีอัศวิน A มีนิสัยยังไง

เขาเพียงยิ้มเล็กน้อย ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้งและพูดว่า “ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของท่านสองครั้งซ้อน เป็นการยากที่จะวัดด้วยเงินทอง เราจะมอบรางวัลที่เหมาะสมแก่พี่ชายมังกรยังไงดี พวกเรายังคงถกเถียงกันเป็นการภายในจึงล่าช้ามาจนถึงบัดนี้ ผมอยากจะใช้โอกาสนี้เอ่ยถามพี่มังกรว่าต้องการสิ่งใดก็จะมอบสิ่งนั้นเป็นรางวัล ด้วยอำนาจของสำนักงานสัจธรรม บนโลกนี้ไม่ว่าสิ่งใดย่อมหามาได้แทบทุกอย่าง”

คำพูดของเขาเปี่ยมล้นด้วยความมั่นใจ

ฟางหนิงพูดไม่ออก เจ้าทึ่มเอ๋ย เสแสร้งต่อหน้าระบบแบบนี้ เดี๋ยวแกก็ได้อึ้งจนพูดไม่ออกหรอก ครั้งก่อนใครนะ ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเฉียวอันผิง ก็เป็นผู้นำคนหนึ่งของสำนักงานสัจธรรม…

ระบบ “โอ้ ท่านช่างเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาเลยจริงๆ อึม ข้าต้องการกระบี่บินเหมือนกับเซวียเฟิง ยังมี…ข้าต้องการอีกหลายอย่างเลย เดี๋ยวควักรายการออกมาให้ดู”

เหรินรั่วเฟิงได้ยินประโยคแรกเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย จากนั้นก็เห็นรายการสิ่งของที่ยาวประมาณสิบเมตรปรากฏขึ้นกลางอากาศในพริบตา เขาก็ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น…

เขารู้แค่ว่าอัศวิน A ต้องการเงิน แต่เขาคงประเมินเป้าหมายของอีกฝ่ายสูงเกินไป เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้พูดอย่างสง่างามน่าเกรงขามและเปิดเผย….ก่อนและหลังนี้คือคนละคนเหรอ

เหรินรั่วเฟิงหันเหความคิด เอ่ยแก้ไขสถานการณ์ “พี่มังกร ต้องขอโทษจริงๆ แม้ว่าสำนักงานสัจธรรมของเราจะเป็นใหญ่โต แต่สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่คงที่มากนัก ทั้งกำลังคนก็ไม่เพียงพอ ของมากมายขนาดนี้ย่อมหามาได้อยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะผลิตหรือค้นหาได้ หลังจากเสร็จแล้วถึงจะจัดส่งให้ได้ ไม่แน่ใจว่าท่านจะรอได้หรือเปล่า”

ระบบ “รอไม่ไหวหรอก…ถ้าอย่างนั้นพวกท่านแค่ช่วยข้าสร้างกระบี่บินที่เหมือนกับของเซวียเฟิงก็พอ”

เหรินรั่วเฟิงเอามือทาบอก ท้ายที่สุดอัศวิน A ก็เป็นผู้ชอบธรรมที่สามารถต่อรองได้ ไม่แสดงท่าทีโมโหโกรธาเพราะเหตุนี้

ต้องรู้ให้ได้ว่าเขารู้ความลับมากมายขนาดไหนกัน พวกชั่วร้ายนอกดินแดนที่ชาติกำเนิดด้อยกว่ามังกรแท้มากมาย ใช้อำนาจบาตรใหญ่ในประเทศเล็กๆ พอไม่ได้ดั่งใจต้องการก็จะฆ่าผู้คนสร้างความโกลาหล โดยพื้นฐานแล้วสำนักงานสหพันธ์นานาชาติเป็นเพียงแค่หน่วยงานประสานงาน แค่มีชื่อเสียงอันชอบธรรม แต่ไม่มีพลังอำนาจสักเท่าใด พึ่งพาประเทศใหญ่ๆ เพียงไม่กี่ประเทศออกเงินและกำลังคน ไม่มีอำนาจควบคุมมากนัก เช่นเดียวกับหน่วยงานบางแห่ง

เพียงแต่กระบี่บินนั้นใช้เงินในการสร้างเป็นจำนวนมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่มีอยู่ที่เซวียเฟิงเพียงหนึ่งเดียว โชคดีที่มันยังไม่เกินกำลังที่จะทำได้

ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พี่มังกรยังไม่ทราบ การสร้างกระบี่บินขึ้นมา เราต้องเตรียมวัสดุหลายอย่างไว้ล่วงหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้การหลอมล้มเหลว แต่ถ้าคิดจะทำขึ้นมาอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้าปี ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มทำเล่มที่สองเอง”

“เกรงว่าพี่มังกรจะรอไม่ไหวใช่ไหม อย่างนั้นเราแปลงมันเป็นเงินสดดีกว่าไหม นั่นคงเป็นเงินจำนวนมหาศาลทีเดียว แค่วัสดุและค่ายกลเพียงอย่างเดียวก็มีมูลค่าหลายหมื่นล้านแล้ว”

หลังจากได้ยิน ฟางหนิงก็นึกขึ้นได้ ‘แค่ค่ายกลกับวัสดุก็มีราคาแพงมาก ยังไม่นับรวมต้นทุนค่าแรงและเวลาที่สูงขึ้นไปอีก’

ไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้ไอ้ระบบงี่เง่าวางแผนที่จะยืมเงินคนจนอย่างเขา…ครั้งนี้มันทำสำเร็จแล้ว จึงไม่ต้องเก็บเงินเพื่อซื้อกระบี่บินอีกต่อไป

แน่นอนว่าระบบเอ่ยถามถึงมันทันที “จุดประสงค์ที่ข้าต้องการเงินสดก็เพื่อซื้อวัสดุ เงินของท่านไม่มีความหมายอื่นสำหรับข้า ในเมื่อท่านสร้างช้า งั้นก็มอบวัสดุที่เกี่ยวข้องกับค่ายกลที่ใช้มาให้ข้า ข้าจะเป็นคนหลอมออกมาเอง”

ดวงตาของเหรินรั่วเฟิงเป็นประกาย พยักหน้าหงึกหงัก “นี่ยิ่งดีใหญ่เลย ผมจะกลับไปบอกพวกเขาแปลงค่าตอบแทนสองครั้งเป็นวัสดุและค่ายกลที่จำเป็นในการหลอมกระบี่บิน เมื่อผลออกมาแล้วผมจะแจ้งให้พ่อบ้านของพี่มังกรมารับ”

ระบบ “งั้นท่านรีบไปเถอะ ข้ายังต้องรีบกลับไปฝึกบำเพ็ญอีก มีเรื่องอะไรก็ไปหาพ่อบ้านของข้าแล้วกัน ขอตัวก่อน”

เหรินรั่วเฟิงยื่นมือออกมา ดูเหมือนอยากจะพูดอย่างอื่นต่อ แต่หลังจากที่อัศวิน A พูดจบก็หายตัวไปทันที…

เขาร้องตะโกนตามทางที่อีกฝ่ายหายตัวไป “เดี๋ยวก่อน ท่านอัศวิน ผมยังพูดไม่จบ อยากถามว่าท่านอัศวินดูแลตัวเองยังไง ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ผมดูในคลิป ใบหน้าของท่านไร้สิวกระด่างดำแม้แต่นิดเดียว ท่านใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวชนิดใด ผมยินดีจ่ายเป็นเงินเพื่อขอแลก…”

เขาได้ยินเสียง ‘พรึ่บ’ ดังขึ้นข้างหู ตามมาด้วยอัศวิน A ที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูของเขาทันที “ไม่พูดแต่แรกล่ะ…มาๆ ข้าจะบอกให้”

………………………………………..

[1] จูเก๋อเลี่ยงหรือขงเบ้ง เป็นผู้มีสติปัญญาหลักแหลมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน

[2] พานอัน หนึ่งในสี่ผู้ชายที่หน้าตาดีที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

[3] โอ๊วทิฮวย สหายสนิทของชอลิ้วเฮียงในนวนิยายชุดชอลิ้วเฮียงของโกวเล้ง