ตอนที่ 181 ความจริง (4)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

โจวอวี่ฟังจนนึกไม่ถึง “เจ้าเหมยซู คาดการณ์ได้แม่นยำขนาดนี้ นี่…นี่…ออกจะ…”

 

 

“ออกจะเหนือความคาดคิดใช่ไหม” ชิวเยี่ยไป๋ยิ้มอย่างจนใจ “ข้าก็ว่าเหนือความคาดคิด แต่ความสามารถระดับคุณชายใหญ่ คาดการณ์ได้เช่นนี้ก็ไม่แปลก”

 

 

ไม่มีหลักฐานทางตรงใดๆ แต่สัญชาตญาณบอกนางว่า ความจริงก็เป็นเช่นนี้

 

 

ต่อให้ไม่อยากยอมรับ แต่นางก็หลงกลเหมยซูจริงๆ จนถึงกับลงมือกำจัดพยานให้เหมยซู

 

 

“แต่เหมยซูก็คาดไม่ถึงว่าถ้าหยวนเจ๋อไม่ปรากฏตัว คนของค่ายฉงฉีก็คงไม่ถึงกับราบพนาสูญ ยังคงเหลือพยานยืนยันว่าเขาลักลอบค้าเกลืออยู่ดี” โจวอวี่ยังคงไม่อยากจะเชื่อ

 

 

หรือเหมยซูคำนวณอยู่แล้วว่าหยวนเจ๋อจะปรากฏตัว เว้นแต่ว่าหยวนเจ๋อเป็นไส้ศึก!

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงหัวร่อกล่าวว่า “เจ้าคงลืมไปแล้ว เขาเดาใจข้าได้ก็ย่อมเดาใจของคนค่ายฉงฉีได้ ไหวหนานเป็นถิ่นที่เขาสร้างอิทธิพลมานานปี เจ้าคิดว่าเขาจะไม่เข้าใจผู้คนและอิทธิพลในแถบนี้หรือ เขาต่างหากที่เป็นฝ่ายได้เปรียบทั้งเวลา สถานที่ และผู้คน คนของค่ายฉงฉีและนิสัยของซูจิ่นล้วนอยู่ในการคำนวณของเขา พวกเขาล้วนมิใช่คนมีความอดกลั้นแต่อย่างใด อีกอย่างเมื่อวานนี้พวกเขาคงร้อนใจมาก คิดแต่จะหลบหน้าเหมยซู คนเราพอรีบร้อนก็จะโมโหง่าย พวกเขาอาจถูกคนในที่นั้นจับตัวไว้ก็ได้”

 

 

“หลังเขามาถึงแล้ว ย่อมจะหาเหตุผลที่กลมกลืนขอให้หัวหน้าหลินมอบคนของค่ายฉงฉีให้เขา”

 

 

โจวอวี่กล่าวเสริมจนจบ ยามนี้เขาสีหน้าสงบลงแต่ในใจมิได้สงบ

 

 

เดินหน้ารุก ถอยหลังรักษาไว้ได้ เขาสามารถคำนวณได้อย่างเหมาะเจาะด้วยเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เหมยซูช่างเป็นคนที่บุตรหลานตระกูลใหญ่เช่นพวกเขาห่างชั้นอย่างมองไม่เห็นฝุ่นจริงๆ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ตบบ่าเขา มองดูเขาด้วยแววตาที่จริงใจ “ไม่ต้องเลื่อมใส เจ้าเองก็ฉลาดไม่แพ้เขา เพียงแต่เจ้าปล่อยปละมานานเพื่อเอาใจคนที่ไม่คู่ควร ส่วนเขาเติบโตมากับเล่ห์เพทุบาย สายตาจึงกว้างไกลกว่า แต่เชื่อข้าเถิดโจวอวี่เพียงแค่เจ้ากลับมาเป็นตัวของตัวเอง สักวันหนึ่งเจ้าก็จะประมือกับเขาได้เอง”

 

 

โจวอวี่แลดูใบหน้าที่งดงามเบื้องหน้า จิตใจพลุ่งพล่านแต่ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร หลายปีมานี่เขาเป็นคนแรกและคนเดียวที่ยอมรับในความโดดเด่นของตน!

 

 

เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ที่ว่า…ผู้ทรงภูมิยอมตายเพื่อผู้รู้ใจ ที่แท้เป็นความรู้สึกเช่นนี้เอง

 

 

พักใหญ่โจวอวี่จึงสงบจิตสงบใจลงได้ เขาประสานมือช้าๆ คารวะอย่างนบนอบ กล่าวเสียงแหบแห้งว่า “ใต้เท้าปฏิบัติต่อข้าเสมือนบัณฑิตของชาติ ข้าจักถือว่าใต้เท้าคือผู้รู้ใจ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ประคองเขาลุกขึ้น กล่าวราบเรียบว่า “เอาล่ะ ในโลกนี้ไม่มีใครคำนวณพยากรณ์ถูกต้องเสียทั้งหมด เราอาจลงมือทีหลังแต่สยบคนก่อนก็ได้ เหมยซูคงนึกไม่ถึงว่าพวกเราพาตัวเหล่าเจอกูออกมาและยังไปรับลูกเมียของเขามาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ถ้าเราได้สมุดบัญชี บวกกับเหล่าเจอกูที่เป็นพยานบุคคล พวกเราก็มีแต้มต่อไม่ถึงกับเป็นผักเป็นปลาบนเขียงแล้ว”

 

 

นางยิ้มอย่างเยาะหยัน แววตาเย็นเยียบ “ในเมื่อพระพันปีตระกูลตู้และซือหลี่เจียนคิดจะผลักพวกเราออกมาเป็นแพะรับบาป พวกเราจะทำให้พวกเขารู้ว่า ผักปลาใช่ว่าจะกินได้โดยง่าย เผลอๆ จะถูกก้างปลาอย่างพวกเราทำเอาติดคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”

 

 

“ขอรับ!” โจวอวี่รับคำทันที!

 

 

 

 

ไม่นานนัก เรือน้อยก็ตระเตรียมเสร็จแล้ว เหล่าเจอกูพายเรือเองเพราะมีแต่เขาที่รู้ว่าอยู่ที่ใด

 

 

แต่บนเรือมีอาคันตุกะอีกคน

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูคนที่นั่งอยู่ท้ายเรือ อดมิได้ต้องคลึงขมับ “อาเจ๋อ เจ้าหลับไปแล้วไม่ใช่หรือ ไยจึงอยู่นี่!”

 

 

หยวนเจ๋อแลดูนาง ประนมมือกล่าวว่า “อามิตาภพุทธ ประสกเสี่ยวไป๋เคยบอกว่าหยวนเจ๋อติดตามท่านจะได้กินเนื้อ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ได้ยินเขาเรียกนางเป็นเสี่ยวไป๋ พริบตานั้นใบหน้าที่งดงามชั่วร้ายก็วาบขึ้นในสมอง ดวงตาเย็นเยียบดำสนิทไม่เหมือนมนุษย์กำลังจับจ้องเหมือนมองเหยื่อที่จะตกเป็นอาหาร พลันรู้สึกขนลุก

 

 

เอ ไปนึกถึงไอ้โรคจิตทำไม

 

 

นางขมวดคิ้วกล่าวเตือนอย่างอดทน “อาเจ๋อ ข้าว่าเจ้ากลับไปนอนเถิด ข้าจะออกไปทำธุระไม่ใช่ไปงานเลี้ยง ไม่เพียงไม่มีเนื้อให้กินแถมยังอันตรายด้วย เจ้าตามพวกเราไปอาจพลัดตกน้ำ ข้าไม่มีเวลาช่วยเจ้านะ!”

 

 

เจ้านี่คงคิดว่าเมื่อติดตามนางจะได้กินมื้อใหญ่ ดังนั้นวันนี้นางไปถึงไหนจึงตามถึงนั่น!

 

 

หยวนเจ๋อฟังว่าไม่มีเนื้อ ใบหน้าคมคายฉายแววฉงน แต่ยังคงส่ายหน้ากล่าวว่า “หยวนเจ๋อรับปากประสกไปแล้วว่าจะติดตามประสก ย่อมไม่มุสา!”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองดูเจ้าหลวงจีนโง่งมผู้ดื้อดึงก็รู้สึกปวดศีรษะ ไอ้หมอนี่ เจ้าไม่รู้มุสาไปกี่ครั้งแล้วก็เพื่อ ‘กิน’ มุสาอีกครั้งก็ไม่เป็นไรมิใช่หรือ!

 

 

โจวอวี่มองดูท้องฟ้าและเร่งอย่างอดไม่ได้ “ใต้เท้า ถ้าเราไม่รีบหน่อย เดี๋ยวด้านเหมยซูเกิดอะไรขึ้นชิงลงมือก่อนจะไม่ดีนะขอรับ”

 

 

เหล่าเจอกูยังอยู่เพราะถ้าตายต้องเห็นศพ ส่วนที่หัวหน้าหลินถ้าไม่มีอินชวนกงนำทางน่าจะเข้าออกลำบาก จึงคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าพวกชิวเยี่ยไป๋จะพาคนออกมาด้วย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋จนใจจึงถลึงตาใส่หยวนเจ๋ออย่างดุดัน ขู่อย่างไม่เกรงใจว่า “เกิดเจ้านอนหลับทำให้ข้าเสียการ ข้าจะโยนเจ้าลงน้ำให้เจ้าขึ้นสวรรค์ไปเลย”

 

 

มิรู้เพราะเหตุใด นางมักรู้สึกว่าไอ้หมอนี่ติดตามนางก็เพราะเกรงว่า ‘เมล็ดสน’ เม็ดใหญ่ของตนจะสูญหายไป ดังนั้นจึงเฝ้าจับจ้องนางทุกเวลาเหมือนกระรอกที่เฝ้าอาหารของตนเอง

 

 

หยวนเจ๋อผงกศีรษะ แลดูชิวเยี่ยไป๋แล้วกล่าวอย่างนุ่มนวล “อามิตาภพุทธ ประสกเสี่ยวไป๋มิต้องกังวลต่อหลวงจีน ที่ว่าขึ้นสวรรค์สำหรับเราที่เป็นพุทธศาสนิกชนแล้วคือการบรรลุมรรคผล สำหรับคนนับถือศาสนาเต๋าแล้วคือซากสลายตัว ดังนั้นถ้าหลวงจีนตกน้ำและไม่ฟื้น มิใช่เรียกว่าบรรลุมรรคผล หากแต่เป็นจมน้ำตาย นั่นเป็นการตายอย่างคับข้อง ถ้าหลวงจีนกลายเป็นผีคับข้อง ตามหลักของผีคับข้องแล้วต้องติดตามประสกอีกเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวัน”

 

 

โจวอวี่ “…”

 

 

เหล่าเจอกู “…”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ “นี่มิใช่ประเด็นที่ข้าพูดถึงนะ!”

 

 

นางแลดูหยวนเจ๋ออย่างงุนงง รู้สึกปวดตุ้บที่ขมับ นางพลันเข้าใจแล้วว่าทำไมเถ้าแก่โรงเตี๊ยมจึงทดแทนพระคุณด้วยความแค้น ส่งตัวหยวนเจ๋อที่ช่วยเหลือคนให้ทางการ ถ้าเป็นนางประมาณว่าก่อนที่จะโมโหจนตายคงต้องบีบคอไอ้หลวงจีนโง่งมนี้ให้ตายก่อนเป็นแน่

 

 

แต่เวลาไม่คอยท่าแล้ว

 

 

“ไปเถอะ!” ชิวเยี่ยไป๋ออกคำสั่ง เหล่าเจอกูผงกศีรษะแล้วจ้ำพายสองอันอย่างแข็งขัน พายไปสู่กลางคลองขุดที่มืดมิด

 

 

เกาะเล็กๆ บนแม่น้ำสว่างไสวด้วยแสงไฟ

 

 

แสงจันทร์สลัว สาดส่องให้เห็นประกายสีเงินระยิบระยับบนผิวน้ำ