ตอนที่ 182 กินหรือไม่กิน (1)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

เงาร่างสายหนึ่งยืนเงียบๆ อยู่ริมน้ำ ลมแม่น้ำพัดเอาชายเสื้อดำสลับเงินพลิ้วไหว ร่างคนที่อยู่ท่ามกลางสายหมอก ดูแล้วสง่าเย็นเยือกเป็นสีเดียวกับเกลียวคลื่น คล้ายเทพเทวาที่แปลงร่างเป็นคน

 

 

เงาดำสายหนึ่งพลันเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว คารวะอย่างนอบน้อม

 

 

“คุณชายใหญ่ พวกเราค้นจนทั่วแล้ว คนของค่ายฉงฉีที่มาวันนี้ตายไปสามสิบหก บาดเจ็บสาหัสสาม สาบสูญหนึ่งคน…คนที่สาบสูญบังเอิญเป็นเหล่าเจอกู!”

 

 

เหมยซูฟังแล้วหันหน้าเล็กน้อย ยิ้มจางๆ ที่มุมปาก แต่แววตามิมีรอยยิ้มแม้แต่น้อย “เป็นเช่นนี้จริง ดูท่าความเฉียบไวของหัวหน้ากองชิวอยู่เหนือกว่าที่คิด ถึงกับจับเหล่าเจอกูหนีไป”

 

 

“คนที่เข้าออกก็ตรวจสอบหมดแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำมีคนกลุ่มเดียวที่จากไป ก็คือคณะของเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่ สองคนที่พวกเราพบเมื่อเช้านี้ก็คือเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่กับไต้ซือเมิ่งอี๋” รองพ่อบ้านพอพูดถึงฉายาเมิ่งอี๋ก็สีหน้าพิกล

 

 

“ดูท่าใต้เท้าชิวของเราฐานะไม่ธรรมดา เจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่…ฮ่าๆ” เหมยซูหลุบตาเรียวยาว แววตาวิบวับเย็นเยือกจนน่ากลัว

 

 

วานนี้พอถึงตงอั้น เดิมทีเขาจะไปบ้านตระกูลหลี่ก่อน แต่ก็ได้ข่าวอย่างรวดเร็วว่าเห็นคนต่างถิ่นอายุน้อยคล้ายชิวเยี่ยไป๋ปรากฏตัวบนริมฝั่งตะวันออก ต่อยตีกับคนในเหลาสุราของเหล่าจูก่อน แล้วพาหลวงจีนคนหนึ่งหายตัวไป และมีคนเห็นว่าใกล้บริเวณที่หายตัวไปปรากฏเรือข้ามฟากของอินชวนกง

 

 

เขาคิดดูแล้วก็นึกถึงข่าวเกี่ยวกับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหัวหน้าใหญ่สามสิบหกลุ่มน้ำ จึงเปลี่ยนเป็นตรงมาที่ท่าเรือ ให้คนส่งข่าวถึงหลินชงลั่งด้วยวิธีพิเศษ บอกว่าจะขอเข้าไปอวยพรวันเกิด

 

 

ต่อมาก็สืบรู้ว่าคืนนั้นบนเกาะมีคนของหอซ่อนกระบี่หลายคน แต่วันนี้ที่ออกจากเกาะมีเพียงคนของสำนักหอซ่อนกระบี่เพียงกลุ่มเดียว และหลังเขาส่งเทียบแสดงตัวแล้ว จู่ๆ รองพ่อบ้านก็สิ้นสติไปอย่างประหลาดจนกระทั่งฟื้นขึ้นมาคนของสำนักหอซ่อนกระบี่ก็ไปกันหมดแล้ว

 

 

แม้ฟังดูแล้วแทบไม่น่าเชื่อ แต่เขาแทบจะตัดสินได้เลยว่าชิวเยี่ยไป๋ก็คือคุณชายสี่เย่ของสำนักหอซ่อนกระบี่!

 

 

เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าลูกคนที่สี่ที่เกิดจากอนุของตระกูลชิว จะเก่งกาจสามารถถึงเพียงนี้ และอธิบายไม่ได้ว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงมีพลังฝีมือระดับสุดยอด

 

 

รองพ่อบ้านหัวร่อ “คุณชายใหญ่ ทุกอย่างล้วนอยู่ในความคาดหมายของท่าน เจ้าเด็กแซ่ชิวแทบจะให้คนถล่มค่ายฉงฉีจนวอดวาย แม้เหล่าเจอกูจะถูกเจ้าเด็กน้อยเอาตัวไป แต่คนข้างตัวซูจิ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเหล่าเจอกูไม่เอาไหน ท่านไม่ต้องกังวล…”

 

 

เหมยซูพลันขัดขึ้น “ซูจิ่นพูดหรือเปล่าว่าเรือพวกนั้นและสมุดบัญชีอยู่ที่ไหน”

 

 

รองพ่อบ้านงงงัน แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “บ่าวจะไปถามดู แต่ซูจิ่นกับคนข้างตัวล้วนบาดเจ็บสาหัส พวกเราใช้วิธีรุนแรงง้างปากเขาแล้ว ขืน…อีกที…เกรงว่าพวกเขาจะทนไม่ไหวนะขอรับ”

 

 

เหมยซูหันกายเหม่อมองลำน้ำมืดมิด “ไม่เสียดายคุณค่าใดๆ ข้าต้องการคำตอบ ไม่ต้องการฟังขั้นตอน”

 

 

รองพ่อบ้านฟังแล้วสะดุ้งในใจ รีบกัดฟันตอบว่า “ขอรับ บ่าวจะเค้นปากคำซูจิ่นให้ได้ก่อนที่มันจะสิ้นใจ!”

 

 

พูดจบก็รีบถอยออกไป

 

 

เหมยซูเงยหน้าเล็กน้อย มองดูจันทรากลางฟ้า คล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มพึมพำว่า “ชายสี่แซ่ชิว คิดไม่ถึงว่าเช้านี้คลาดกันไปชนิดเฉียดฉิว เหมยซูไม่เคยเจอคู่ปรับเช่นเจ้ามานานแล้ว เจ้าจงอย่าด่วนตายไปเสียก่อน เหมยซูจะผิดหวังมาก”

 

 

ผู้เยาว์คนนั้นไยจึงมีฐานะถึงเพียงนี้ ทำให้เขาแปลกใจจริงๆ คนที่สามารถทำลายกลเกมของตนมีไม่มาก แถมยังเป็นคนที่รูปโฉมและความสามารถทัดเทียมกับตนด้วย

 

 

ก็มิรู้ว่าคนคนนั้นนอกจากความลับเรื่องที่เป็นเจ้าสำนักหอซ่อนกระบี่แล้ว ยังมีความลับอื่นใดอีกหรือไม่…ช่างน่าขุดคุ้ยจริงๆ

 

 

คนเราพอมีความลับก็จะมีจุดอ่อน

 

 

เมื่อมีจุดอ่อนก็ง่ายต่อการควบคุม

 

 

เขาหวังว่าจะกุมความลับของคนคนนั้นได้ รอดูวันที่ชิวเยี่ยไป๋สยบต่อตนด้วยสีหน้าอับจนปัญญา

 

 

การจะได้สยบคนที่เข้มแข็งเท่าเทียมกับตน มักทำให้รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่าน

 

 

เขาเชื่อมั่นในความรู้สึกของตนเอง ชิวเยี่ยไป๋ต้องมีความลับใหญ่โตกว่านี้แน่

 

 

หึ…

 

 

ไม่นานนักรองพ่อบ้านก็รุดกลับมาอย่างรีบร้อน สีหน้าขาวซีด คราบเลือดบนตัวยังไม่ได้เช็ดออกด้วยซ้ำ พอมาถึงก็คุกเข่าโครมต่อแทบเท้าเหมยซู “คุณชายใหญ่ บ่าว…ผิดไปแล้ว แม้ซูจิ่นจะไม่ยอมสารภาพ แต่คนข้างตัวเขายืนยันว่า เรือพวกนั้นพอซูจิ่นปล้นเสร็จก็ทิ้งไว้ตรงจุดที่เห็นถนัดที่สุดของลำน้ำ แต่ต่อมาจู่ๆ ก็หายไปอย่างลึกลับ ซูจิ่นเคยส่งคนไปสืบเสาะ แต่ไม่ได้อะไรเลย”

 

 

เหมยซูหลุบตา มุมปากรั้งขึ้น “คนที่ทำเช่นนี้ได้ นอกจากรองหัวหน้าค่ายแล้ว ย่อมต้องเป็นหัวหน้าค่ายฉงฉีแล้ว”

 

 

รองพ่อบ้านกัดฟันกล่าวว่า “คุณชายใหญ่ เกรงว่าเจ้าคนแซ่ชิวคงสืบพบอะไรบ้างแล้ว เกิดสมุดบัญชีตกอยู่ในมือมัน…”

 

 

เหมยซูหันกาย รั้งชายเสื้อแล้วกล่าวอ้อยอิ่งว่า “พาข้าไปพบซูจิ่น”

 

 

แสงตะเกียงริบหรี่ เงาร่างแต่ละคนทอดยาวบนพื้นราวกับภูตผี

 

 

เสื้อคลุมหรูหราสีเงินและสีดำตัดกันลากกับพื้นช้าๆ ลากเอาฝุ่นดินลอยฟุ้งเล็กน้อย การเคลื่อนตัวของอากาศดูเหมือนจะกระทบต่อคนที่นอนสิ้นสติอยู่บนพื้น เขาพลันขยับนิ้วมือที่เลือดเนื้อเละเทะ

 

 

ขณะที่เสื้อคลุมสีเงินดำหยุดลงที่เบื้องหน้าเขา ชายผู้ผมเผ้ายุ่งเหยิงคราบเลือดเต็มตัวจึงลืมตาขึ้นช้าๆ เขาอยากชันกายลุกขึ้น แต่ร่างกายที่บอบช้ำจึงทำได้เพียงสั่นเทาเล็กน้อย แต่ลุกขึ้นไม่ไหว

 

 

เขาส่งเสียงสั่นเครือแหบแห้ง “เหมยซู…เป็น…แค่ก แค่ก…เป็นเจ้าหรือ!”

 

 

เหมยซูก้มมองร่างที่ฟุบกับแทบเท้า กล่าวเนือยๆ ว่า “ซูจิ่น หรือข้าควรเรียกเจ้าว่าเหมยจิ่นดี”

 

 

บุรุษผู้ฟุบกับแทบเท้าพลันหัวร่อเบาๆ มินำพาต่อโลหิตที่หลั่งไหลจากมุมปาก กล่าวอย่างเย้ยหยันชิงชังว่า “แค่ก แค่ก…ข้า…ข้าไม่แซ่เหมย…ข้าชังแซ่นี้…โดยเฉพาะ…เป็นแซ่เดียวกับเจ้า!”

 

 

เหมยซูปล่อยให้เขาพูดกระท่อนกระแท่นจนจบ แล้วถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “น้องเล็ก เจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ถึงไม่มีใครชอบเจ้าอย่างไรเล่า ความดื้อรั้นมิใช่เป็นของคนอ่อนแอ”

 

 

ซูจิ่นหรือจะเรียกให้ถูกว่าเหมยจิ่นฟุบกับพื้นขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ถุย…เจ้ามันไร้ยางอาย…เจ้าชิงทุกอย่างไปจากข้า…ล่อลวงมารดาข้าอย่างไร้ยางอาย…ทำให้เหมยเทียนอีเลิกกับมารดาข้า…ขับข้าออกจากบ้าน…ก็เพราะสมบัติของตระกูลเหมยมิใช่หรือ!”