ตอนที่ 338 ปะทะคารม
“ข้าคิดว่าหลี่อี๋เหนียงสำนึกในความผิดของตนจริง ๆ จึงมาขอโทษข้า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ริมฝีปากของอันหลิงเกอโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่แววตาแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน “ท่านมิได้ตระหนักถึงความผิดของตนแม้แต่น้อย ยังกล้าบอกว่าข้าโดนคนสวมรอย หลี่อี๋เหนียง มิทราบว่าท่านมีจุดประสงค์อันใด ? ”
“หุบปาก ! ” หลี่ซื่อถลึงตาใส่ เผยท่าทีร้ายกาจออกมา “นางตัวปลอมที่อยู่ ๆ ก็โผล่มาจากไหนมิรู้ กล้ามาสวมรอยเป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริง จักตายอยู่แล้วยังปากแข็งอีก ! ”
หลี่ซื่อคิดว่าตนมีหลักฐานอยู่ในมือจึงมั่นใจเป็นอย่างมาก นางจึงกล้าวางมาดราวกับตนเป็นเจ้านาย ส่วนอันหลิงเกอเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่ง
นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยอย่างอวดดี แววตาแสดงออกถึงความดูถูกเหยียดหยาม
พลันเป็นเหตุให้รอยยิ้มที่มุมปากของอันหลิงเกอลึกขึ้น เพียงแต่รอยยิ้มนั้นเหตุใดจึงดูมีเลศนัยมากเหลือเกิน
“เจ้ายิ้มอันใด ! ”
หลี่ซื่อมิรู้ว่าเหตุใดจึงมิอาจทนต่อสายตาเย้ยหยันของอันหลิงเกอได้ เมื่อสบกับดวงตาสีนิลคู่นั้น ภายในใจก็เกิดความกลัวขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
หลังจากตะโกนประโยคเมื่อครู่ออกไป หลี่ซื่อก็ดึงอันอิงเฉิงที่อยู่ข้างกายมาใกล้แล้วส่งสายตาให้เขา “ท่านพี่ก็รู้เรื่องนี้แล้ว ท่านรีบจัดการนางตัวปลอมสิเจ้าคะ จักให้มันสวมรอยเป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริงมิได้เจ้าค่ะ ! ”
ตั้งแต่เข้ามาอันอิงเฉิงยังมิได้กล่าวอันใดมากนัก ดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเฝ้ามองอันหลิงเกออย่างประเมิน
เขาจ้องอยู่นานและใบหน้าก็ยังมิบ่งบอกอารมณ์ใด เห็นว่ามีเพียงกลิ่นอายรอบกายนางรวมถึงนิสัยและการกระทำบางอย่างเท่านั้นที่ต่างไปจากอดีต
“เกอเอ๋อ”
เขาเอ่ยปากสั้น ๆ จากนั้นก็หยุดอีกเพราะมิรู้ว่าคำเรียกชื่อเยี่ยงนี้จักเหมาะสมหรือไม่
หากผู้ที่อยู่เบื้องหน้าคืออันหลิงเกอตัวจริง เช่นนั้นการที่เขาพาหลี่ซื่อมาสอบสวนเพราะสงสัยว่านางคือตัวปลอมก็ช่างเป็นเรื่องไร้สาระที่น่าขำอย่างยิ่ง แต่หากคนที่อยู่ตรงหน้าคืออันหลิงเกอตัวปลอม เช่นนั้นคำเรียกขานของเขาก็มิค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก
ทว่าตอนนี้มิใช่เวลามาคิดถึงเรื่องนี้ อันอิงเฉิงจึงเก็บเอาไว้ก่อน ดวงตาจ้องไปยังอันหลิงเกอ
“เจ้า…”
เขาอ้าปากพูดแต่มิรู้ว่าควรถามสิ่งใดดี จึงเป็นหลี่ซื่อที่ร้อนรนขึ้นมาและเอ่ยถามเสียเอง “นางตัวปลอมที่แอบอ้างเป็นคุณหนูใหญ่ยังมิรีบสารภาพความจริงอีก เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ? เหตุใดต้องสวมรอยเป็นคุณหนูใหญ่ เจ้ามาอยู่ในจวนของเรามีเป้าหมายอันใด ? ”
หลี่ซื่อกล่าวออกมาได้อย่างไหลลื่น คำถามมากมายพรั่งพรูมิหยุด ถามในสิ่งที่อันอิงเฉิงอยากรู้จนหมด เขาจึงทำได้แค่ยืนนิ่งมิพูดมิจาอยู่ด้านข้างเท่านั้น
อันหลิงเกอที่เห็นเช่นนั้นก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาดำขลับมองไปยังอันอิงเฉิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม “ท่านพ่อ แม้แต่ท่านก็สงสัยว่าลูกเป็นตัวปลอมหรือเจ้าคะ ? ”
ใบหน้าของนางแฝงไว้ด้วยความเสียใจ อันอิงเฉิงเห็นดังนั้นถึงขั้นต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทางอย่างอึดอัดใจ มิกล้าสบกับดวงตาของนางอีก แต่ท่าทางเช่นนี้ของเขาแสดงให้เห็นแล้วว่าเชื่อในสิ่งที่หลี่ซื่อกล่าว
ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกว่าช่างตลกสิ้นดีจนอดหัวเราะออกมามิได้
“ช่างน่าขำสิ้นดี ข้าอยู่ในจวนนี้มาจนอายุ 15 ปีและนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีคนสงสัยตัวตนของผู้อื่นเยี่ยงนี้”
ดวงตาของนางเปล่งประกายออกมาพร้อมกล่าววาจาเสียดสี “เช่นนั้นอี๋เหนียงลองบอกข้ามาสิว่าท่านเป็นหลี่อี๋เหนียงตัวจริงหรือไม่ ? เชิญท่านพิสูจน์ด้วยว่าท่านคืออี๋เหนียงตัวจริงหรือตัวปลอม”
นางย้อนถามโดยบีบให้หลี่ซื่อพิสูจน์ตัวตนบ้าง
การให้คนหนึ่งพิสูจน์ตัวตนช่างเป็นวิธีเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก
แต่หลี่ซื่อที่เตรียมตัวมาดีจักไปต่อมิได้เพียงเพราะคำพูดแค่มิกี่ประโยคน่ะหรือ ?
นางจ้องอันหลิงเกอด้วยแววตาเย็นชา ดวงตากลมโตคู่นั้นดูน่ากลัวมิน้อย ภายในแววตาเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
“เฮอะ ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือตัวปลอม เหตุใดต้องมาพิสูจน์ว่าข้าคือตัวจริงหรือตัวปลอมตามที่เจ้าสั่ง ? มีแต่เจ้ามากกว่าที่หากมิรีบสารภาพความจริงออกมา ข้าจักให้คนเอาเจ้าไปโบยจนตายแล้วนำศพไปโยนทิ้งบนภูเขาให้สัตว์ป่ากัดกิน ! ”
ยามที่หลี่ซื่อทำท่าทางโหดร้ายเช่นนี้ก็ดูอำมหิตเลือดเย็นยิ่งนัก
นางดูแลจวนนี้มากว่าสิบปี แม้ท่าทางของนางจักน่ากลัวสู้พวกคนดูแลเรื่องความเป็นความตายมิได้ แต่ย่อมดูน่ากลัวกว่าคนทั่วไปอยู่ดี
หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงคนธรรมดา มิแน่ว่าคงตกใจจนพูดมิออกก็เป็นได้
แต่อันหลิงเกอหาได้เป็นเช่นนั้นเพราะนางแค่เลิกคิ้วขึ้น “ไร้สาระสิ้นดี เหตุใดหลี่อี๋เหนียงต้องมากลั่นแกล้งข้าเช่นนี้ ? ท่านพ่อก็อยู่ตรงหน้า ส่วนท่านแม่ของข้าคือฮูหยินใหญ่อันผู้เป็นภรรยาเอก ข้าเป็นบุตรสาวของทั้งสองคนและเป็นคุณหนูใหญ่ของจวนโหวอัน ! หลี่อี๋เหนียงกล้ากล่าวหาว่าข้าเป็นตัวปลอม มันเหลวไหลเกินไปหรือไม่ ? ”
อันอิงเฉิงพูดออกมาด้วยความลังเล “เกอเอ๋อ เจ้าเปลี่ยนไปมากจริง ๆ มิแปลกหรอกที่หลี่ซื่อจักสงสัยเจ้า”
“เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าหน่อยว่าในเดือนห้าของปีที่แล้วจวนโหวเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ? ”
อันหลิงเกอรู้ว่าอันอิงเฉิงเชื่อคำพูดของหลี่ซื่อไปแล้ว ทว่าพอเห็นบิดาเชื่อคำกล่าวของอนุภรรยาจนถึงขั้นสงสัยบุตรีเยี่ยงนี้ ภายในใจนางก็อดรู้สึกขมขื่นมิได้
แต่ตอนนี้มิใช่เวลามาคิดมาก อันหลิงเกอจึงพยายามนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในตอนนั้น
เดือนห้าของปีที่แล้วสำหรับอันอิงเฉิงและหลี่ซื่อย่อมเป็นเรื่องราวที่ผ่านไปมินาน แต่สำหรับนางเรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องของชาติก่อน ทำให้ความทรงจำในบางเรื่องเกิดความเลือนรางไปมาก
หลี่ซื่อเห็นนางตอบมิได้ก็กดมุมปากลงพร้อมเผยท่าทีดูแคลน
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าตอบมิได้ นางตัวปลอมยังมิรีบสารภาพความจริงออกมาอีก ! ถ้าเจ้าสารภาพเรื่องทั้งหมดออกมาตามตรงข้าอาจคิดเรื่องไว้ชีวิตเจ้าอีกทีก็ได้ แต่ถ้ายังมิยอมรับ…”
“เหตุใดหลี่อี๋เหนียงจึงรีบร้อนเช่นนี้ ? ” อันหลิงเกอมิมีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด เมื่อครู่นางแค่ใช้เวลานึกนานไปหน่อย ผู้ใดจักคิดว่าในสายตาของหลี่ซื่อเห็นว่าเป็นหลักฐานไปเสียได้
เพราะการเปลี่ยนแปลงของอันหลิงเกอเริ่มตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ดังนั้นในสายตาของหลี่ซื่อจึงคิดว่ามีเพียงตัวปลอมเท่านั้นที่จดจำเรื่องใหญ่ในจวนโหวช่วงเดือนห้าของปีที่แล้วมิได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่ซื่อก็ยิ่งมีท่าทางขึงขังกว่าเดิม อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยการเสียดสี “ตัวปลอมเยี่ยงเจ้าคิดว่าข้าให้เวลานานกว่านี้แล้วจักหาข้ออ้างมาทำให้พวกเราสับสนได้หรือ ? ”
“หลี่อี๋เหนียงต้องการกลั่นแกล้งข้า นี่เป็นเรื่องที่เห็นกันอยู่แล้วว่าปีก่อนเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าย่อมต้องการเวลาในการทบทวน หรือมีอันใดมิถูกต้อง ? ”
อันหลิงเกอเอ่ยประชดประชัน นัยน์ตาสีดำเปล่งประกายราวกับมีแอ่งน้ำเย็นยะเยือกอยู่ภายใน ทำให้คนที่มองอดรู้สึกหนาวจนจับขั้วหัวใจมิได้
บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด อันอิงเฉิงมองท่าทางเป็นปฏิปักษ์ของทั้งสองแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที
เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นข้าจักให้เวลาเจ้า ลองคิดให้ดีเถิด”
อันอิงเฉิงพูดเพราะด้านหนึ่งมองตามหลักของเหตุผลแล้วก็เชื่อคำกล่าวของหลี่ซื่อ เนื่องจากเขาก็รู้สึกว่าอันหลิงเกอแปลกไปราวกับเป็นตัวปลอม ส่วนอีกด้านภายในใจลึก ๆ แล้ว อันอิงเฉิงมิอยากเชื่อว่าบุตรีที่เก่งกาจตรงหน้าจักเป็นตัวปลอม หากเป็นตัวปลอมเช่นนั้นก็เท่ากับว่าความภาคภูมิใจในตัวอันหลิงเกอที่ผ่านมาทั้งหมดจักถูกทำลายจนย่อยยับ