ตอนที่ 339 ตรวจร่างกาย
ดังนั้นอันอิงเฉิงจึงมิรีบร้อนในการฟังคำตอบของอันหลิงเกอ
เมื่ออันอิงเฉิงออกปากถึงเพียงนี้ หลี่ซื่อก็มิกล้าโต้แย้งอีก ทำได้เพียงปิดปากเงียบอย่างมิค่อยพอใจ
ตอนนั้นอันหลิงเกอจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลูกคิดออกแล้ว เดือนห้าปีกลายมีสหายเก่าของท่านพ่อคนหนึ่งมาที่จวน คนผู้นั้นนำเครื่องหอมจากแดนตะวันตกมาด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
นางจำเรื่องนี้ได้อย่างเลือนรางว่ามีบุรุษวัยกลางคนที่อายุไล่เลี่ยกับบิดาได้เดินทางมาจากแดนไกลเพื่อหวนคืนยังเมืองหลวง ทั้งได้หยิบเอาเครื่องหอมชั้นดีออกจากห่อสัมภาระแล้วมอบให้นางกับน้องสาวคนอื่นด้วย
ตอนนั้นอันหลิงอีชอบเครื่องหอมชิ้นมาก ถึงขั้นแย่งไปจากมือนางด้วยซ้ำ
เมื่อได้ฟังแล้วสีหน้าของหลี่ซื่อก็เปลี่ยนไป คนตรงหน้าเป็นตัวปลอมชัด ๆ แต่เหตุใดจึงรู้เรื่องนี้ ?
มิรอให้หลี่ซื่อได้เปิดปาก อันหลิงเกอก็กล่าวต่อทันที “มิเพียงเท่านั้น ลูกยังจำได้ว่าตอนนั้นน้องหญิงสามชอบเครื่องหอมมากจนถึงขั้นแย่งไปจากมือของลูกและยังบอกว่าถึงอย่างไรลูกก็มิได้ออกจากจวน ได้เครื่องหอมไปก็มิมีประโยชน์อันใด สู้ยกเครื่องหอมให้นางใช้ยังดีเสียกว่าเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอแฉพฤติกรรมของอันหลิงอีออกมาทำให้หลี่ซื่อรู้สึกโมโหจึงหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม “เป็นไปมิได้ เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ? ”
หลายปีมานี้เนื่องจากจวนโหวอยู่ในช่วงตกต่ำ น้อยครั้งที่จักมีคนมาเยี่ยมเยียน
ต่อให้มีขุนนางมาจริงก็เป็นเพียงขุนนางระดับล่างเท่านั้น ส่วนขุนนางระดับสามขึ้นไปมิข้องแวะกับจวนโหวถึงขั้นหลบหลีกให้ห่างเสียด้วยซ้ำ เพราะเกรงว่าฝ่าบาทจักพลอยระแวงพวกเขาไปด้วย แล้วสุดท้ายจักกระทบต่ออนาคตการเป็นขุนนางของพวกเขา
ดังนั้นหลี่ซื่อจึงจำสหายเก่าของอันอิงเฉิงที่เดินทางมาจากแดนตะวันตกได้อย่างแม่นยำ
ตอนนั้นหลังจากที่อันหลิงอีแย่งเครื่องหอมของอันหลิงเกอมาแล้วยังเคยเอามาอวดพร้อมพูดทำนองว่า ‘นางโง่อันหลิงเกอมิคู่ควรกับเครื่องหอมเช่นนี้หรอกเจ้าค่ะ’
เมื่อนึกได้เช่นนั้นหลี่ซื่อก็มีท่าทีตื่นตระหนก ส่วนอันหลิงเกอที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับยกมุมปากเผยรอยยิ้มที่ส่งไปมิถึงดวงตาให้อีกฝ่ายเท่านั้น
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในจวนของเรา ข้าต้องรู้เป็นเรื่องธรรมดา มิเหมือนกับหลี่อี๋เหนียงที่รู้สึกว่าอันใดก็น่าสงสัยไปหมดจนถึงขั้นคิดว่าข้าโดนคนสวมรอยเช่นตอนนี้”
“เป็นไปมิได้ ! ” หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตากลมโตจ้องอันหลิงเกอราวกับจักดูดกลืนเข้าไปก็มิปาน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “บนตัวเจ้ามิมีปานแดง จักเป็นคุณหนูใหญ่ตัวจริงได้เยี่ยงไร ? ”
“ข้ามิรู้ว่าเจ้าทราบเรื่องนี้ในอดีตได้อย่างไร แต่เจ้าต้องเป็นตัวปลอมที่สวมรอยมาอย่างแน่นอน ขอเพียงข้าให้คนมาตรวจร่างกายเจ้า แล้วความจริงก็จักเปิดเผย”
กล่าวถึงเรื่องนี้หลี่ซื่อก็มีท่าทีร้อนรน แทบรอมิไหวที่จักเผยโฉมหน้าแท้จริงของอันหลิงเกอตัวปลอมออกมา
“บังอาจ ! ”
อันหลิงเกอตะโกนออกมาอย่างโมโห เสียงใสกังวานของนางเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“หลี่อี๋เหนียงชั่วร้ายเสียจริง ข้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวอัน เป็นเจ้านายตัวจริงของที่นี่ ส่วนท่านเป็นแค่อนุภรรยาคนหนึ่ง เป็นแค่อี๋เหนียงยังกล้าให้คนมาตรวจร่างกายข้าหรือ ? ”
อันหลิงเกอยังมิได้ออกเรือน หากปล่อยให้คนมาตรวจร่างกายจริง ๆ สำหรับนางถือเป็นเรื่องอัปยศยิ่งนัก
แต่หลี่ซื่อมิสนใจว่าอันหลิงเกอรู้สึกอับอายหรือไม่ สิ่งที่นางต้องการคือเปิดเผยโฉมหน้าแท้จริงของตัวปลอม เพราะหากมิทำเช่นนี้ก็มิสามารถหาหลักฐานมามัดตัวผู้ที่ทำให้นางต้องอับอายหลายต่อหลายครั้งได้
“เฮอะ คุณหนูใหญ่อย่างนั้นหรือ ? ” หลี่ซื่อส่งเสียงขึ้นจมูกพร้อมแสดงท่าทางดูแคลน “ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม แต่พอวางอำนาจเช่นนี้ก็ดูคล้ายอยู่หรอก”
นางกลอกตาไปมา ใบหน้าฉายชัดถึงการดูหมิ่น
สีหน้าของอันหลิงเกอก็เย็นชาขึ้นเช่นกัน แสดงถึงความมิพอใจอย่างมาก
“หลี่อี๋เหนียงชอบหาเรื่องจนทำให้ทั้งจวนมิได้อยู่อย่างสงบสุข มาวันนี้ยังหาเรื่องข้าอีก ช่างเป็นคนที่น่ารำคาญเสียจริง”
คำพูดของอันหลิงเกอมิเหลือความเกรงใจแม้แต่น้อยจึงทำให้หลี่ซื่อหน้าแดงก่ำไปหมด มิรู้ว่าเป็นเพราะกำลังโกรธหรืออับอายกันแน่
หลี่ซื่อลอบขบกรามแน่นอย่างโมโห หากมิใช่เพราะฐานะของนางต่ำต้อยกว่าอันหลิงเกอ นางจักสั่งให้คนลากอันหลิงเกอไปตรวจสอบว่าที่แผ่นหลังมีปานแดงอยู่จริงหรือไม่
ทว่าทำเช่นนั้นมิได้เพราะอันหลิงเกอเป็นบุตรีของภรรยาเอก ต่อให้นางสงสัยว่าคนตรงหน้าคือตัวปลอมก็มิกล้าทำอันใดโดยมิยั้งคิด เช่นนั้นพวกสาวใช้ในเรือนฉีอู๋คงมิอยู่เฉยแน่นอน
“ท่านพี่ ท่านต้องช่วยข้านะเจ้าคะ”
หลี่ซื่อมีท่าทีเปลี่ยนไป นางหันไปทำน้ำเสียงออดอ้อนใส่อันอิงเฉิง
นางก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าที่อ่อนหวานถูกเส้นผมปรกไว้บางส่วน “ข้าดูแลเรื่องต่าง ๆ ในจวนมาเป็นสิบปี แม้ไร้ผลงานโดดเด่นเป็นที่เชิดหน้าชูตา แต่อย่างน้อยก็มิเคยเกิดเรื่องผิดพลาดใหญ่โตอันใดเลย นางกลับกล่าวว่าข้าชอบหาเรื่องจนทำให้ทั้งจวนมิได้อยู่กันอย่างสงบสุขเจ้าค่ะ”
“ข้าแค่เห็นว่าที่หลังของนางมิมีปานแดง ดังนั้นจึงสงสัยว่านางเป็นตัวปลอม หรือว่าข้าทำอันใดมิถูกต้องเจ้าคะ ? ”
อันอิงเฉิงยื่นมือไปตบหลังมือของนางเบา ๆ แววตาดุดันหันไปทางอันหลิงเกอทันที
“เจ้าก็ได้ยินคำพูดของหลี่ซื่อแล้ว” เขาเอ่ยปาก “หลี่ซื่อมิมีทางอยู่เฉย ๆ ก็กล่าวเรื่องเช่นนี้ออกมา ข้าต้องให้คนมาตรวจร่างกายเจ้าเพื่อมิให้จวนโหวมีคนที่มิควรมาอยู่ปะปนได้”
ในเมื่อหลี่ซื่อเห็นกับตาว่าที่แผ่นหลังของอันหลิงเกอมิมีปานแดง เรื่องนี้จึงไร้ทางที่นางจักโกหก ดังนั้นต้องให้คนมาตรวจสอบจนกระจ่าง
“ท่านพ่อ ! ”
ใบหน้าของอันหลิงเกอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง มิอยากเชื่อว่าอันอิงเฉิงไร้ความรู้สึกถึงเพียงนี้
“หากเรื่องที่วันนี้มีคนมาตรวจร่างกายลูกแพร่ออกไป มันจักน่าอับอายแค่ไหนเจ้าคะ ? มีสตรีที่ใดโดนคนอื่นตรวจร่างกายราวกับสินค้าชิ้นหนึ่งบ้าง ? ”
ท่าทางของนางในสายตาของหลี่ซื่อดูเหมือนกำลังร้อนตัวจึงมิกล้าให้ผู้อื่นตรวจร่างกาย
ทำให้แววตาของหลี่ซื่อทอประกายดำมืดออกมา “เจ้าวางใจได้ หากสุดท้ายพิสูจน์ได้ว่าเจ้าคือคุณหนูใหญ่ตัวจริง ข้าจักเดิน 1 ก้าวแล้วคุกเข่าคำนับ 1 ครั้งจากเรือนข้ามาถึงเรือนฉีอู๋เพื่อเป็นการขออภัยเจ้าเอง ! ”
“ดี ประโยคนี้ท่านเป็นคนกล่าวเอง หวังว่าหลี่อี๋เหนียงจักจำคำของตนได้”
อันหลิงเกอเห็นว่าหลี่ซื่อติดเบ็ด มุมปากก็ยกยิ้มที่แฝงความนัยบางอย่างขึ้นมา
นางมองไปยังอันอิงเฉิงโดยไร้ท่าทีหลบเลี่ยงเช่นเมื่อครู่แต่แสดงความกระตือรือร้นแทน
“แต่คนที่จักมาตรวจร่างกายลูก ต้องเลือกจากเรือนของท่านย่าเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หากเป็นคนในเรือนของนางต้องเข้าข้างนางอยู่แล้ว หลี่ซื่อย่อมมิยอมอย่างแน่นอน
มีเพียงให้ฮูหยินผู้เฒ่าออกหน้าเท่านั้น เรื่องนี้จึงถือว่ายุติธรรม
“มิมีปัญหา”
หลี่ซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจในเจตนาของอันหลิงเกอ
ส่วนอันอิงเฉิงเมื่อเห็นว่าในที่สุดอันหลิงเกอก็ยอมให้ตรวจร่างกาย เขาจึงอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกมิได้