บทที่ 89 วางแผน
เมื่อจางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ กลับมาเป็นหนที่สอง มันก็ไม่แปลกนักที่ผู้นำแต่ละตระกูลต่างตอบตกลงกันทั้งสิ้น
หากซูเฉินยอมมอบตำราเปิดพลังไคฮวงให้ พวกเขาก็จะปล่อยให้เรื่องในอดีตเป็นเรื่องในอดีตไป
หากแต่ซูเฉินทำทีเป็นบอกว่าฉือไคฮวงเป็นคนคิดค้นตำราเปิดพลังไคฮวง ดังนั้นวิชาจึงถูกเก็บไว้ในหอพลังต้นกำเนิด ที่นั่นมีค่ายกลพลังต้นกำเนิดและแผ่นภาพอยู่ ดังนั้นหากเขาคิดจะชิงของไปฉือไคฮวงก็จะรู้ และหากเรื่องกลายเป็นเช่นนั้นฉือไคฮวงอาจกำจัดเขาก่อน 6 ตระกูลลงมือก็เป็นได้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องชิงวิชามาเป็นของตนเองก่อน
แม้ 6 ตระกูลจะไม่ใช่คนจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น แต่จางเทียนเยว่ก็เคยได้ยินชื่อฉือไคฮวงมาก่อน ดังนั้นจึงสงสัยว่าเหตุใดฉือไคฮวงจึงเลือกเก็บมันไว้เป็นความลับแทนที่จะเผยแพร่มันออกไปอย่างที่เคยตั้งใจ
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตอบว่าไม่ว่าใครต่างมีความเห็นแก่ตัวเล็ก ๆ ทั้งสิ้น ความมุ่งมั่นของฉือไคฮวงถูกวันเวลาหลากหลายปีที่ต้องลงมือทำการค้นคว้าไม่หยุดหย่อนทำให้แปรเปลี่ยน หลังจากสร้างตำราเปิดพลังไคฮวงขึ้นมาได้จึงเดินตามรอยผู้มาก่อน เก็บวิชาไว้กับตนเอง ไม่ปล่อยให้แพร่ออกไปโดยง่าย ไม่เช่นนั้นแล้ว ตำราเปิดพลังไคฮวงมีมาระยะหนึ่งแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีใครได้รู้วิชากัน ?
เป็นอย่างที่อวิ๋นเป้าได้ว่าไว้ คนเห็นแก่ตัวย่อมมองว่าคนอื่นเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกัน
สำหรับจางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ เช่นนี้ย่อมน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะอย่างไรหากมนุษย์ไร้ความเห็นแก่ตัวย่อมไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่กังขาในคำซูเฉินแม้แต่น้อย
พวกเขาไม่จำเป็นต้องสงสัยมากอยู่แล้ว หากได้มองก็รู้ในทันทีว่าวิชานี้จริงหรือปลอม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังคงวางแผนสังหารซูเฉินไว้ ดังนั้นความสงสัยจึงไม่มีผลมากนัก
ทั้งสองฝ่ายตกลงเรื่องการลงมือทำตามแผนการโดยเร็ว
อีก 2 วันฉือไคฮวงจะออกไปทำธุระระยะหนึ่ง
เมื่อถึงตอนนั้นซูเฉินจะปิดค่ายกลในหอพลังต้นกำเนิด จางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ จะได้สามารถเข้ามาชิงตำราเปิดพลังไคฮวงได้ หากแต่การกระทำทุกอย่างจะถูกบันทึกไว้ในแผ่นภาพ ใช้เป็นหลักฐานให้ฉือไคฮวง
แม้จะน่ารำคาญใจไปสักหน่อย แต่สุดท้ายจางเทียนเยว่ก็ตกลง
แต่เพื่อความปลอดภัย ผู้นำ 6 ตระกูลย่อมไม่มาด้วยตนเอง เพียงส่งหมากไร้ค่ามาชิงเอาวิชาเท่านั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่กระทบทางตระกูล
แต่อีกฝ่ายไม่อาจรู้ได้ว่าซูเฉินไม่คิดสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น
จางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ขาดข้อมูลทำให้ตกเป็นรองตั้งแต่ต้นต่างหาก
หลากหลายเรื่องราวก็ออกมาเป็นเช่นนี้ แผนการที่ฟังดูง่ายดายไม่ซับซ้อนกลับสามารถใช้ได้ผลเกินคาด เนื่องจากที่แต่ละฝ่ายมีข้อมูลในมือไม่เท่ากัน ผู้มาทีหลังอาจคิดเดาและพยายามคิดแทนผู้อื่น แต่หากไม่ได้เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายอย่างแท้จริงก็มีแต่จะสับสน
ในเย็นวันที่สอง ซูเฉินก็เดินทางออกจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นอีกครา
นี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนับตั้งแต่เข้าเรียนที่สถาบันที่เขามีท่าทางกระตือรือร้นเช่นนี้ เดินทางออกจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นมากถึง 2 ครั้งในเวลาเพียงไม่กี่วัน
หากแต่ออกไปครั้งนี้เพื่อพบกับเยี่ยเม่ย ส่วนซางเจินนั้นเดินทางกลับมณฑลสามเทือกเขาไปแล้ว ดังนั้นคนจากอารามนิรันดร์ที่ยังเหลือในเขตนี้และมีความสัมพันธ์อันดีกับซูเฉินคงจะมีเพียงเยี่ยเม่ย
ซูเฉินพบเยี่ยเม่ยในลานบ้านเก่า ๆ หลังเดิม
ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่เมื่อเห็นเยี่ยเม่ยกลับทำให้นึกถึงเยว่หลงซา นางทำให้เขานึกถึงเหตุการณ์ลอบสังหารใตแสงจันทร์ในคืนนั้น ทำให้นึกถึงเงาร่างที่จางหายไปกับแสงจันทร์
“นี่ เจ้ามองอะไรของเจ้า ?” เยี่ยเม่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นซูเฉินดูเหม่อไป
“อ๊ะ !” ซูเฉินดึงตนเองออกจากภวังค์ความคิด “ไม่มีอะไรมาก”
“เจ้านัดพบข้าที่นี่เพราะ ‘ไม่มีอะไรมาก’ งั้นหรือ ?” แม่นางน้อยผู้ใสซื่อยกมือขึ้นกอดอก “ข้าก็นึกว่าเจ้ามาส่งยาเสียอีก”
“ข้ามาส่งยา”
ซูเฉินโยนกล่องหนึ่งให้นาง
เมื่อเปิดออกก็พบกับขวดยาสองแถวที่เรียงไว้ด้านในอย่างมีระเบียบ
“เหตุใดจึงมีเพียง 80 ขวดเล่า ?” เยี่ยเม่ยถาม
“ปรุงยาจำต้องใช้เวลา เท่านี้คงพอช่วยพวกเจ้าได้อยู่ใช่หรือไม่ ?”
“ถูกต้อง พอช่วยได้บ้าง” เยี่ยเม่ยตอบหลังหยุดคิดชั่วครู่
โอสถปลุกวิญญาณไม่ใช่ยาธรรมดาสามัญ มันมีราคาสูง กระทั่งอารามนิรันดร์ยังไม่อาจใช้ได้อย่างเพลินมือเช่นยาธรรมดา
“ถ้าพอก็ดี ใช่แล้ว เจ้าจะส่งไปยังฐานทัพใหญ่ขององค์กรเลยหรือไม่ ?”
“ถูกต้อง ทางองค์กรต้องรีบใช้มาก” เยี่ยเม่ยตอบ
“จะส่งไปถึงที่นั่นคงต้องเดินทางไกลมากกระมัง ?”
“ใช่แล้ว ห่างไปเกือบพันลี้……” เยี่ยเม่ยกำลังพูด ๆ อยู่ก็หยุดปากในพลัน จากนั้นหันมองซูเฉินด้วยนัยน์ตาระวังภัย “เจ้าคิดจะถามที่อยู่ฐานทัพใหญ่หรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “ข้าจะอยากรู้ที่อยู่ทัพใหญ่ของเจ้าไปเพื่ออันใด ? ข้าเพียงถามไปอย่างนั้น ใช่แล้ว ในเมื่อพวกเจ้าต้องการโอสถปลุกวิญญาณมากถึงเพียงนี้ ข้าจะเริ่มปรุงยาชุดต่อไปวันพรุ่งนี้ สัก 80 ขวดเป็นอย่างไร ?”
“ดี ! แต่เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ส่งยาให้ข้าพรุ่งนี้ทีเดียวเล่า ? ทีนี้ข้าก็ต้องไปกลับถึง 2 ครั้ง” เยี่ยเม่ยเบ้ปาก
“ข้าเพิ่งนึกได้” ซูเฉินหัวเราะ “ใช่แล้ว ยังมีเรื่องให้เจ้าช่วยอยู่อีก”
“คือสิ่งใด ?”
“ข้าอยากวานให้เจ้าไปยังหอยาเปิดพลังแล้วซื้อส่วนผสมยาตามรายการนี้มา” ซูเฉินส่งรายการให้เยี่ยเม่ย “จำไว้ว่าส่วนผสมเหล่านี้ บางส่วนเป็นส่วนผสมลับของข้า มีแต่เจ้าที่ทำงานนี้ได้ อย่ามอบรายการนี้ให้คนอื่นเด็ดขาด”
“ไม่มีปัญหา แล้วข้าต้องออกเดินทางเมื่อไร ?” เยี่ยเม่ยรับรายการแผ่นนั้นมาแล้วเอ่ยถาม
“วันพรุ่ง”
“หอยาเปิดพลังอยู่ในเมืองเป่ยเหอ หากเป็นเช่นนั้นข้าอาจกลับมารับยาไม่ได้”
“เช่นนั้นให้หม่าเหรินเจ๋อมารับของจะได้ไม่ต้องอธิบายอันใดมาก แต่ข้าไม่อยากให้เขารู้จุดนัดพบของเรา ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะใช้ธูปหอมพันลี้ บอกให้เข้าตามกลิ่นธูปมาเพื่อพบข้า”
ธูปหอมพันลี้เป็นธูปหอมชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นเฉพาะ สามารถลอยไปได้ไกลมาก หากแต่มนุษย์ไม่อาจรับรู้ถึงกลิ่นนี้ มีเพียงหนูดมธูปชนิดหนึ่งที่สามารถจับกลิ่นได้ ดังนั้นเจ้าหนูดมธูปนี้จึงนิยมใช้ไล่ตามเป้าหมายที่มีกลิ่นธูปหอมพันลี้
องค์กรลับมักเปลี่ยนจุดนัดพบหลายครั้งหลายคราเพื่อความปลอดภัย อารามนิรันดร์คิดค้นธูปหอมพันลี้ขึ้นเพื่อกำหนดจุดนัดพบแบบฉับพลัน พวกเขาสอนวิธีนี้ให้ซูเฉินด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากซูเฉินเลือกใช้วิธีนี้
แต่ถึงกระนั้นเยี่ยเม่ยก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หากแต่นางไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นสิ่งใด
หลังจากซูเฉินคุยกับเยี่ยเม่ยอีกเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้น “ตกลงตามนี้ อย่าลืมออกเดินทางพรุ่งนี้เล่า ข้ารีบใช้ยา”
พูดจบแล้วเขาก็หันตัวเดินจากไป
“ฮึ่ม ใช้ข้าวิ่งไปวิ่งมาราวกับสาวใช้เลยหรือ ?” เยี่ยเม่ยบ่นพึมพำไม่พอใจ
แต่เมื่อนึกถึงว่าซูเฉินเชื่อใจเพียงนางก็พลันรู้สึกภาคภูมิในตนเองอยู่ไม่น้อย
เป็นเพราะนาง็นเพราะนาซูเฉินจึงเต็มใจปรุงยาอีก 80 ขวดให้ กลับไปรายงานเรื่องเสร็จสิ้นแล้วนางจึงจะออกไปทำงานให้อีกฝ่ายติดหนี้บุญคุณ
แค่เรื่องบุญคุณเช่นนี้ก็เพียงพอจะทำให้นางเต็มใจทำงานให้เขาแล้ว
หากแต่ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในหัว เยี่ยเม่ยเริ่มเข้าใจว่าคำซูเฉินมีสิ่งใดผิดปกติ
การปรุงโอสถปลุกวิญญาณนั้นมีวิธีการซับซ้อน ยา 80 ขวดนี้กินเวลาและพลังงานของซูเฉินไปมาก บางขวดยังเป็นขวดที่ทดลองทำสำเร็จเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย
เช่นนั้นแล้วจะสามารถปรุงอีก 80 ขวดภายในวันเดียวได้อย่างไร ?
แต่ไม่นาน เยี่ยเม่ยก็เผยความซื่อบื้อน่ารักของตนออกมาอีกครา นางกล่าวกับตนเองว่า “เขาคงจะมีเก็บอยู่อีกกระมัง โชคดีที่ข้าผู้นี้มีเสน่ห์เกินไป เขาจึงต้องมอบมันให้ข้า”
คิดจบนางก็ออกเดินทางไปทำตามหน้าที่ตน พึงพอใจอยู่ภายใน
เยี่ยเม่ยไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่นางเพิ่งมองช่องโหว่เดียวในแผนการของซูเฉินออก หากแต่นางกลับปัดมันทิ้งไปไม่ไยดี
ในขณะเดียวกันนั้น หลังจากคุยกับเยี่ยเม่ยเสร็จซูเฉินก็กลับไปยังสถาบันมังกรซ่อนเร้น
หลังจากเดินถามอยู่ทั่ว ซูเฉินก็เดินมาจนถึงหน้าห้องของคนผู้หนึ่ง
เขายกมือขึ้นเคาะประตู ยามประตูเปิดออก ใบหน้างามของเยว่หลงซาก็โผล่ออกมา
เมื่อเห็นซูเฉิน นางจึงเอ่ยขึ้นงง ๆ “เป็นเจ้า ?”
ซูเฉินเข้าเรื่องทันที “ข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้นหม่าเหรินเจ๋อ เจ้าว่าอย่างไร